ตอนที่ 325 การบรรจบกันระหว่างมังกรกับพยัคฆ์ โดย Ink Stone_Fantasy
“ขอบคุณความหวังดีของสหายหลิ่ว แต่ไม่เป็นไร เพียงแค่ผู้อาวุโสของนิกายเราท่านหนึ่งเสียชีวิตด้วยโรคเท่านั้น” เซียวเยวี่ยไป๋ตอบกลับด้วยรอยยิ้มอันขมขื่น คำพูดแฝงด้วยการปฏิเสธอย่างนุ่มนวล!
หลิ่วหมิงได้ยินเช่นนี้ ก็นึกถึงชายชราที่เสียชีวิตบนแท่นบูชาทันที เขารู้สึกตกใจสะดุ้งโหยง และไม่ถามอะไรต่ออีก หลังจากคุยกับชายฉกรรจ์สองสามประโยคแล้ว ก็กล่าวลาอย่างเป็นทางการ
เซียวเยวี่ยไป๋กับหานหลีไปส่งหลิ่วหมิงตรงประตูเข้านิกายหยวนหมัวด้วยตนเอง จากนั้นถึงกลับเข้าไปในนิกาย
“ศิษย์พี่เซียว ใครเสียชีวิตกันแน่? ตอนนี้สหายหลิ่วไม่อยู่แล้ว บอกชื่อมาเถอะ” ในระหว่างทาง หานหลีถามชายฉกรรจ์อย่างอดไม่ได้
“อาจารย์เสียชีวิตแล้ว” เซียวเยวี่ยไป๋เงียบไปครู่หนึ่ง และค่อยๆ กล่าวออกมา
“อาจารย์? อะไรนะ……ท่านหมายถึงอาจารย์ลุงซิ่ง เป็นไปได้อย่างไร!” ตอนแรกหานหลียังรู้สึกสับสนเล็กน้อย แต่หลังจากได้สติก็หลุดปากออกมา
“ตอนนี้มีแต่ผู้ฝึกฝนระดับสูงในนิกายที่รู้เรื่องนี้ ทางนิกายกำลังตรวจสอบสาเหตุการเสียชีวิตอยู่ เพราะตามหลักการแล้ว แม้ท่านจะถูกพลังปีศาจสะท้อนกลับ จนต้องอยู่ในแดนต้องห้าม แต่เสียชีวิตกะทันหันเช่นนี้ ยังคงน่าสงสัยยิ่งนัก ศิษย์น้องเองก็พยายามปิดข่าวเรื่องนี้ไว้ก่อน อย่าได้บอกศิษย์ทั่วไปโดยเด็ดขาด” เซียวเยวี่ยไป๋กล่าวด้วยสีหน้ามืดมน
หานหลีพยักหน้าตอบรับด้วยความตื่นตระหนกตกใจ
หลังจากหลิ่วหมิงไปจากนิกายหยวนหมัว และปล่อยเรือกลเหาะออกมาแล้ว ก็มุ่งหน้าไปยังแคว้นต้าเสวียนทันที
ผ่านไปสองเดือนกว่า ในที่สุดเขาก็กลับมาถึงนิกายปีศาจอีกครั้ง
การไปกลับครั้งนี้ ใช้เวลานานหลายเดือน แต่สำหรับคนในนิกายปีศาจแล้ว กลับไม่ค่อยมีคนสนใจเรื่องที่เขาไปจากนิกายมากนัก
พอหลิ่วหมิงกลับถึงถ้ำที่พักของตนเอง ก็พักผ่อนไปสามวัน จากนั้นก็เริ่มใช้วิธีการในคัมภีร์มังกรพยัคฆ์ทมิฬ ทำการปรับแต่งหัวพยัคฆ์
สิบกว่าวันผ่านไป เขาเดินออกจากถ้ำที่พักด้วยจิตใจกระปรี้กระเปร่า บนตัวเขามีของเหลวสีแดงม่วงที่ตั้งใจผสมขึ้นมา จากนั้นก็มุ่งไปยังถ้ำไอหยินที่เขาเคยไปฝึกฝน
เวลาค่อยๆ ผ่านไป หลิ่วหมิงอยู่ในถ้ำไอหยินนานเดือนกว่าๆ
วันนี้ ศิษย์นิกายปีศาจจำนวนหนึ่ง ผ่านมาบริเวณยอดเขาที่ถ้ำไอหยินตั้งอยู่ พลันได้ยินเสียงดังโครมครามดังมาจากยอดเขา จากนั้นไอดำกลุ่มหนึ่งก็พุ่งออกมา หลังจากแยกเป็นสองกลุ่มแล้ว ก็กลายเป็นมังกรดำกับพยัคฆ์ดำขนาดใหญ่
หลังจากที่ทั้งสองปรากฏตัวกลางอากาศ พวกมันต่างก็กระโจนเข้าหากัน ตัวหนึ่งแหงนหน้าคำรามเสียงมังกรออกมา อีกตัวก้มหน้าคำรามออกมาติดต่อกัน พวกมันดูคล่องแคล่วปราดเปรียวราวกับมีชีวิต
ศิษย์นิกายปีศาจที่ผ่านมาเห็นเช่นนี้ ต่างก็จ้องมองจนปากอ้าตาค้าง
มีเงาร่างปรากฏบนอากาศเหนือยอดเขาเล็กๆ ที่อยู่ติดกัน ประมุขนิกายปีศาจปรากฏตัวออกมาอย่างไร้สุ้มเสียง และมองดูเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นด้วยสีหน้าตกใจ
“กลิ่นไอน่ากลัวยิ่งนัก หรือว่าศิษย์น้องผู้นี้เข้าสู่ระดับของเหลวขั้นปลายแล้ว ทะลวงขั้นในถ้ำไอหยินได้สำเร็จแล้วหรือ” มีคลื่นสั่นสะเทือนข้างประมุขนิกายปีศาจ ผู้อาวุโสผู้หนึ่งปรากฏตัวออกมา หลังจากสังเกตดูเหตุการณ์กลางอากาศแล้ว ก็กล่าวด้วยสีหน้าประหลาดใจ
ผู้อาวุโสผู้นี้ก็คือ ศิษย์พี่หวงที่ช่วยหลิ่วหมิงปรับแต่งมุกพลังวารีในตอนนั้น
ขณะเดียวกัน พลันมีเสียงดังมาจากอากาศ เหมือนกับว่าจะมีอาจารย์จิตวิญญาณคนอื่นๆ พุ่งยิงมาทางนี้เช่นกัน
“แม้กลิ่นไอนี้จะแข็งแกร่งมาก แต่ไม่ใช่สัญญาณบ่งบอกว่าทะลวงระดับของเหลวขั้นปลายสำเร็จ แต่ดูคล้ายกับสำเร็จวิชาบางอย่าง และยังไม่สามารถเก็บมันได้ดังใจ ถึงได้เกิดเหตุการ์เช่นนี้ขึ้น แต่ปรากฏการณ์ที่มังกรกับพยัคฆ์บรรจบกัน เป็นเรื่องพบเจอได้น้อยมาก ข้านึกไม่ออกว่า วิชาอะไรในนิกายเราที่ฝึกสำเร็จแล้ว จะเกิดปรากฏการณ์เช่นนี้ได้ ศิษย์น้องหวง เจ้ารู้อะไรบ้างไหม?” ประมุขนิกายปีศาจส่ายศีรษะ และถามออกไปราวกับคิดอะไรอยู่
“ในเมื่อศิษย์พี่ท่านประมุขกล่าวเช่นนี้ มันคงไม่ผิด แต่จะบอกว่าเป็นวิชาประเภทใดนั้น ศิษย์น้องยิ่งไม่รู้ไปใหญ่” ศิษย์พี่หวงกระพริบตาปริบๆ และส่ายหน้ากล่าว
พอมีเสียงดัง “ฟู่!” “ฟู่!” กลางอากาศ เงาร่างของคนสองคนก็ร่อนลงมา
คนหนึ่งเป็นหญิงสาวใบหน้างดงาม อีกคนเป็นชายรูปร่างสูงใหญ่ ซึ่งก็คือหลินไฉอวี่แห่งสาขาระบำปีศาจ กับชายฉกรรจ์แซ่เหลยแห่งสาขากลลับสวรรค์นั่นเอง
ทั้งสองทักทายประมุขนิกายปีศาจกับศิษย์พี่หวงก่อน จากนั้นก็จ้องมองปรากฏการณ์มังกรพยัคฆ์เหนือยอดเขาใกล้เคียงด้วยสีหน้าตกใจ
มังกรพยัคฆ์กลางอากาศเพียงแค่เล่นกันเล็กน้อย ทันใดนั้นก็ระเบิดร่างออกมา จากนั้นก็กลายร่างเป็นไอดำ และพุ่งยิงลงไปด้านล่าง เพียงแค่เคลื่อนไหวไม่กี่ที ก็มุดหายไปในยอดเขา
“ดูท่าศิษย์น้องผู้นี้ คงจะเก็บพลังได้แล้ว ตอนนี้คงทำให้ระดับให้มั่นคงอยู่ในถ้ำไอหยิน เกรงว่าไม่สามารถออกมาพบพวกเราได้ในเร็วๆ นี้” ประมุขนิกายปีศาจเห็นเช่นนี้ก็กล่าวอย่างเสียดาย
“ศิษย์พี่อยากรู้ว่าศิษย์น้องคนใดอยู่ในถ้ำไอหยิน ไม่ใช่เรื่องยาก เพียงแค่เรียกศิษย์ที่คอยเฝ้าถ้ำไอหยินมาถามก็รู้แล้ว” หลินไฉอวี่ได้ยิน ก็หัวเราะออกมาเบาๆ
“อืม ศิษย์น้องหลินกล่าวได้มีเหตุผล แต่ศิษย์พี่รู้สึกสับสนเล็กน้อยแล้ว” ประมุขนิกายปีศาจหัวเราะออกมา จากนั้นก็ทำท่ามือด้วยมือเดียว และขยับปากส่งเสียง โดยไม่มีเสียงเล็ดลอดออกมาเลยแม้แต่น้อย
ไม่นาน ก็มีเงาร่างเคลื่อนไหวจากยอดเขาตรงหน้า ศิษย์ชุดคลุมสีเขียว อายุสามสิบกว่าปีผู้หนึ่ง ขี่เมฆเหาะออกมาด้วยสีหน้าตื่นตระหนกตกใจ
“ศิษย์คารวะท่านประมุขและอาจารย์อาทุกท่าน!” พอศิษย์ผู้นี้เห็นคนจำนวนมาก ก็รีบเข้าไปคารวะอย่างนอบน้อม
“ข้าถามเจ้าหน่อย หลายวันนี้ ใครเข้าไปในถ้ำไอหยิน?” ประมุขนิกายปีศาจโบกมือ และกล่าวด้วยสีหน้าสงบ
“เรียนท่านประมุข คนที่อยู่ในถ้ำไอหยินตอนนี้ มีแต่อาจารย์อาหลิ่วหมิงเท่านั้น” ศิษย์ชุดคลุมสีเขียวโค้งตัวตอบ
“อะไรนะ! เป็นศิษย์น้องหลิ่ว! เขาเข้าไปตั้งแต่เมื่อไหร่กัน?” ประมุขนิกายปีศาจได้ยินก็รู้สึกตะลึงขึ้นมา
คนอื่นๆ ก็รู้สึกตกใจเช่นกัน
“เรียนท่านประมุข เข้าไปเมื่อหนึ่งเดือนก่อน!” ศิษย์ชุดคลุมสีเขียวคิดใคร่ครวญเล็กน้อย และตอบตามตรง
“เอาล่ะ! ข้ารู้แล้ว เจ้าลงไปเถอะ!” ประมุขนิกายปีศาจกล่าว
พอศิษย์ผู้นี้ได้ยินก็ทำการคารวะอีกที จากนั้นก็ถอยออกไปอย่างนอบน้อม
“ศิษย์น้องเหลย พวกเจ้ามีความเห็นอย่างไรเกี่ยวกับเรื่องนี้?” ประมุขนิกายปีศาจรอจนเงาร่างของศิษย์ที่สวมชุดคลุมสีเขียวหายไปแล้ว ถึงถามชายฉกรรจ์แซ่เหลยและคนอื่นๆ ด้วยสีหน้าเคร่งขรึม
“การที่ศิษย์น้องหลิ่วสำเร็จวิชา ไม่ว่าจะมองจากมุมไหน ก็ล้วนเป็นเรื่องนี้สำหรับนิกายเราทั้งสิ้น” ชายฉกรรจ์แซ่เหลยกล่าวด้วยตาที่เป็นประกาย
“เฮ่อๆ! ใยศิษย์น้องเหลยต้องใช้คำพูดนี้มาตบตาพวกเราด้วยเล่า เจ้าก็รู้อยู่ว่าข้าไม่ได้หมายถึงเรื่องนี้” ประมุขนิกายปีศาจได้ยิน ก็หัวเราะและกล่าวออกมา
“ศิษย์พี่รู้สึกไม่ค่อยวางใจที่ศิษย์น้องหลิ่วฝึกฝนรุดหน้าเร็วเช่นนี้ล่ะสิ! เพราะศิษย์น้องหลิ่วเพิ่งเข้าสู่ระดับอาจารย์จิตวิญญาณไม่นาน ภายในระยะเวลาสั้นๆ ก็ฝึกฝนพลังมาได้ถึงขั้นนี้ เกรงว่าคงอยู่ห่างจากระดับของเหลวขั้นกลางไม่มากแล้ว ศิษย์พี่คงกลัวว่าศิษย์น้องหลิ่วใช้โอสถอะไรบางอย่าง กระตุ้นพลังเวทย์ หรือฝึกฝนเคล็ดวิชาบางอย่างที่ให้ผลใกล้เคียงกัน ซึ่งเป็นการฝึกฝนในแนวทางที่ผิดใช่หรือไม่?” หลินไฉอวี่ยิ้มหวานแล้วกล่าวออกมา
“ไม่ผิด! เพราะตามปกติแล้ว การฝึกฝนของศิษย์น้องหลิ่วไม่ควรจะรุดหน้าเร็วถึงเพียงนี้ อีกอย่างดูจากกลิ่นไออันแข็งแกร่งที่ปล่อยออกมาในก่อนหน้า เกรงว่าคงไม่ด้อยไปกว่าระดับของเหลวขั้นปลายโดยทั่วไป หากเป็นเช่นนี้ล่ะก็ ยิ่งทำให้ข้ารู้สึกกังวลว่าเขาจะรีบร้อนไปหน่อย” ประมุขนิกายปีศาจกล่าวด้วยความกังวล
“หากศิษย์น้องหลิ่วไม่ใด้ใช้วิธีการนอกรีตในการฝึกฝน และสามารถฝึกฝนจนถึงระดับของเหลวขั้นกลางได้รวดเร็วเช่นนี้ นับว่าเขาเป็นผู้ที่มีความสามารถมาก เพราะทั่วทั้งนิกายปีศาจ ก็มีอาจารย์จิตวิญญาณขั้นกลางแค่ไม่กี่คน ส่วนจะฝึกฝนวิชานอกนิกายหรือทานโอสถกระตุ้นพลังเวทย์หรือไม่นั้น ล้วนเป็นการตัดสินใจของเขา พวกเราไม่อาจแทรกแทรงได้” ชายฉกรรจ์แซ่เหลยเงียบไปครู่หนึ่งแล้วกล่าวออกมา
“ไม่ผิด! แม้ข้าจะรู้สึกตกใจที่ศิษย์น้องหลิ่วฝึกฝนได้รวดเร็วเช่นนี้ แต่ก็แสดงให้เห็นว่าศิษย์น้องหลิ่วมีโอกาสไม่น้อย หากท่านประมุขไม่วางใจ อย่างมากก็แค่ตักเตือนเล็กน้อยก็พอ ส่วนที่ว่าเขาจะใช้วิธีการทานโอสถกระตุ้นพลังเวทย์หรือไม่นั้น ไม่ใช่เรื่องที่พวกเราต้องมาเป็นห่วงแล้ว เฮ่อๆ! หากตอนที่ข้ายังหนุ่มมีวิธีการฝึกฝนที่รวดเร็วเช่นนี้ล่ะก็ ย่อมไม่ละทิ้งอย่างแน่นอน” ศิษย์พี่หวงหาวก่อนกล่าวออกมา
“อืม! ศิษย์น้องทุกท่านกล่าวได้มีเหตุผล ศิษย์น้องหลิ่วคงแค่ฝึกฝนสำเร็จเล็กน้อยเท่านั้น ดูท่าจะยังอยู่ห่างจากขั้นกลางสักระยะหนึ่ง รอข้ามีเวลาจะชี้แนะให้เขาเล็กน้อยก็แล้วกัน แต่อาจารย์อาเยี่ยนให้ความสำคัญกับเขามาก ข้ายังหวังว่าเขาคงไม่ใช้วิธีการที่ผิด เพื่อรีบร้อนที่จะสำเร็จ” สีหน้าประมุขนิกายปีศาจเปลี่ยนไปมาอยู่ครู่หนึ่ง และค่อยๆ พยักหน้ากล่าวออกมา
คนอื่นๆ ได้ยินเช่นนี้ ย่อมไม่มีข้อคัดค้านใดๆ
“ใช่สิ! ศิษย์พี่ท่านประมุขได้ข่าวอาจารย์อาเยี่ยนบ้างไหม ผลการประลองหกแก่นสามศิษย์คงออกมาแล้ว ศิษย์หลานเกามีลุ้นเข้าสู่หนึ่งในหกศิษย์หรือไม่?” ชายฉกรรจ์แซ่เหลยพลันนึกเรื่องหนึ่งขึ้นมาได้ จึงถามออกไป
“ข้าเพิ่งจะได้รับข่าวที่อาจารย์อาเยี่ยนส่งกลับมา สามแก่นได้ประกาศผลออกมาแล้ว สหายเหลิ่งเยวี่ยไม่ได้ถูกคัดเลือก ซึ่งผู้ที่ถูกคัดเลือกได้แก่ เทียนซาจื่อจากนิกายหยวนหมัว ไป๋เวิ่นโจวจากนิกายเอกะ หานชุนชิวจากหุบเขาตะวันเดือด ส่วนหกศิษย์นั้น เป็นเพราะมีคนเข้าร่วมคัดเลือกค่อนข้างมาก และยังมีการคัดเลือกที่เข้มงวด ดังนั้นจึงยังไม่ได้ผลออกมา แต่ดูจากคำพูดของอาจารย์อาเยี่ยน เกาชงมีโอกาสเข้าสู่หกศิษย์ไม่ค่อยมากนัก แต่จางซิ่วเหนียงจากนิกายจันทราสวรรค์กลับมีลุ้นมาก เพราะนางมีร่างสื่อสารจิตวิญญาณกระบี่ ซึ่งเมื่อเทียบกับศิษย์ที่มีชีพจรจิตวิญญาณสวรรค์ของนิกายหยวนหมัวผู้นั้นแล้ว ก็ด้อยกว่ากันไม่มากนัก” ประมุขนิกายปีศาจได้ยินเช่นนี้ ก็ขมวดคิ้วและถอนหายใจก่อนกล่าวออกมา
“ที่แท้ก็เป็นเช่นนี้ ช่างน่าเสียดายจริงๆ หากการคัดเลือกหกศิษย์ในครั้งนี้ ไม่คำนึงถึงคุณสมบัติกับพลังอันแข็งแกร่งล่ะก็ ไม่แน่ศิษย์น้องหลิ่วอาจมีโอกาสถูกเลือกก็ได้” ชายฉกรรจ์แซ่เหลยได้ยิน ก็กล่าวด้วยความเสียดาย
“หากการคัดเลือกหกศิษย์ไม่มีเงื่อนไขเรื่องคุณสมบัติล่ะก็ คนแรกที่ข้าจะเสนอชื่อก็คือศิษย์น้องหลิ่ว เพราะเทียบกันแล้ว พลังของเขาเกาชงเทียบกับเขาไม่ได้เลย” ประมุขนิกายปีศาจก็แสดงสีหน้าเสียดายออกมาเช่นกัน
……………………………………