ตอนที่ 1,666 : ลี่เฟิง
อย่างไรก็ตาม สุดท้ายในบรรดากลุ่มคนทั้งหมดของวัดฟ่าเทียน ผู้ที่ทุกคนสนใจที่สุดก็มีแต่ หลวงจีนลายบุปผา เท่านั้น
เพราะนั่นคือตัวเก็งในการประลองจัดอันดับสุดยอดนักรบในครานี้!
“พลังฝีมือของหลวงจีนลายบุปผา กับจิ้งชวีจื่อแห่งศาลเจ้าชุนหยางล้วนสูสี ผลัดกันแพ้ผลัดกันชนะมาโดยตลอด…ครานี้อยากรู้นักว่าผู้ใดจะเป็นฝ่ายมีชัย และได้อันดับ 1 ในการประลองสุดยอดนักรบไปครองกันแน่! เพราะผลการประลองครั้งีน้นับว่าเป็นเกียรติที่มิอาจยอมให้กันได้จริงๆ!”
“ถูกแล้ว! นั่นนับเป็นเกียรติยศสูงสุดจริงๆ หากชนะไม่ว่าเจ้าตัวหรือขุมพลังต้นสังกัด…ล้วนได้เชิดหน้าชูตาไปอีกนาน!”
“ก็นะ เกียรติยศอันดับ 1 รายนามสุดยอดนักรบฟ้าลิ่วล่อง มันธรรมดาที่ไหนเล่า…”
“คราวนี้ข้าว่าจะอย่างไรอันดับ 1 กับ 2 ก็สมควรเป็นหลวงจีนหลายบุปผากับจิ้งชวีจื่อช่วงชิงกันเองเหมือนเคย ข้าเพียงแต่สงสัยว่านายน้อยคฤหาสน์ฟ้าลิ่วล่องจะชิงที่ 3 มาได้หรือไม่?”
“ข้าว่าคงยาก เพราะเท่าที่ทราบจงกู้เองก็ทะลวงมาถึงขอบเขตเซียนขัดเกลาแล้วเช่นกัน”
“ก็ไม่แน่หรอกนะ…พวกเจ้าอย่าได้ลืม อย่างไรนายน้อยคฤหาสน์ฟ้าลิ่วล่องก็ได้รับทรัพยากรบ่มเพาะเยอะนัก ข้าเชื่อว่าปริมาณที่คฤหาสน์ฟ้าลิ่วล่องอัดฉีดให้มัน น่ากลัวจะมหาศาลสุดที่ผู้คนทั่วไปจะจินตนาการออก กระทั่งป่านนี้มันจะทะลวงถึงเซียนขัดเกลาขั้นกลางได้ก็ไม่แปลกอะไร”
“เรื่องนี้จะว่าไปมันก็นะ…เจ้าพูดอีกก็ถูกอีก! หากฉีจิ้งทะลวงถึงเซียนขัดเกลาขั้นกลางแต่จงกู้ไม่ ก็คงยากจะสู้กันได้”
……
ภายในหุบเขาหลิงหลง ผู้คนสนทนาออกความเห็นกันใหญ่ หัวข้อก็ไม่พ้นพวกหลวงจีนลายบุปผา จงกู้ จิ้งชวีจื่อ และฉีจิ้ง
เรียกว่าวันนี้ทั้ง 4 เป็นดั่งตัวละครเอกในการประลองคราวนี้!
หลังจากที่กลุ่มคนของวัดฟ่านเทียนโรยตัวลงมาถึงบริเวณยอดเขาที่คนของวัดฟ่านเทียนล่วงหน้ามาตระเตรียมไว้ตั้งแต่เมื่อ 2-3 วันก่อน ทั้งหมดก็เริ่มแยกย้ายหาที่นั่งพักทันที แต่มีหลวงจีนรูปหนึ่งที่ไม่ได้นั่งพักเหมือนชาวบ้าน หากแต่หันรีหันขวางมองสำรวจไปทั่ว
เป็นหลวงจีนลายบุปผานั่นเอง และตอนนี้มันก็กำลังจับจ้องไปยังร่างๆหนึ่งที่เตะตาพิกล
เป็นชายหนุ่มอันมีใบหน้าท่าทางเย็นชาห่างเหิน ยืนกอดอกโดยในมือถือกระบี่แลดูธรรมดาสามัญไว้เล่มหนึ่ง สภาวะกลมกลืนไปกับธรรมชาติโดยรอบ มองไปเห็นมีอยู่แต่คล้ายไม่มีอยู่
เหตุผลที่มันรู้สึกสนใจร่างๆนี้ ก็เพราะความนิ่งสงบไม่นำพาใดๆของอีกฝ่าย
หลวงจีนลายบุปผาสัมผัสได้ชัด ว่าตอนที่วัดฟ่านเทียนของพวกมันมาถึง มีเพียงชายหนุ่มผู้นี้คนเดียวที่ไม่ได้สนใจอะไรเลย ราวกับเมินการมาถึงของพวกมันไปอยน่างสิ้นเชิง…
แน่นอนว่าบางทีอาจเป็นเพราะอีกฝ่ายไม่แยแสพวกมัน
เพราะจากสภาวะร่างของอีกฝ่าย เห็นได้ชัดว่ายังไม่ได้ปิดประสาทสัมผัสทั้ง 5 ลงอย่างสมบูรณ์
เช่นนั้นก็มีอยู่ 2 ประการเท่านั้น หนึ่งคือเป็นคนเฉยเมยและไม่คิดจะสนใจอะไรวัดฟ่านเทียน สองอาจจะเป็นเพราะอีกฝ่ายมีความเป็นมาที่ไม่ธรรมดา ทำให้ไม่สนใจวัดฟ่านเทียนของพวกมัน
อย่างไรก็ตามสัญชาติญาณของมันร้องบอกว่าอีกฝ่ายไม่น่าจะใช่คนประเภทหลัง
“สหายท่านนี้ มาเข้าร่วมการประลองสุดยอดนักรบด้วยเหมือนกันหรือ?”
หลวงจีนลายบุปผาเป็นคนตรงไปตรงมาคนหนึ่ง ในเมื่อมันสนใจชายหนุ่มที่แลดูไม่ธรรมดาคนนี้ มันก็ย่ำอากาศตัดระยะไปหยุดยืนข้างอีกฝ่าย ก่อนที่จะเริ่มกล่าวทักทายออกมาทันที
“เจ้ามีอะไรหรือ?”
ชายหนุ่มที่แลดูเย็นชา ทั้งค่อยๆลืมตาหันมองมาทางหลวงจีนลายบุปผาแล้วกล่าวออกเสียงเรียบ
“ไม่มีใดหรอกสหาย อาตมาเรียกว่าหลวงจีนลายบุปผา มิทราบสหายเรียกว่าอะไรรึ?”
หลวงจีนลายบุปผากล่าวถามออกมาด้วยรอยยิ้ม
“ลี่เฟิง”
ชยหนุ่มอันมีใบหน้าเย็นชาคนนี้ไม่ใช่ใครที่ไหน เป็นต้วนหลิงเทียนเอง
แน่นอนว่าถึงแม้ใบหน้าของต้วนหลิงเทียนจะเย็นชาห่างเหิน แต่ก็ไม่ใช่รูปลักษณ์เดียวกับที่ใช้ตอนเดินทางไปยังคฤหาสน์คลื่นขจี เขาเปลี่ยนไปใช้โฉมหน้าอื่นด้วยเคล็ดแปลงโฉมพิสดาร แม้จะแลดูเย็นชาห่างเหิน แต่ก็นับว่าแตกต่างจากใบหน้าของ หลิงเทียน ไม่น้อย
เขามาที่นี่เพื่อเข้าร่วมการประลองสุดยอดนักรบ
ลี่เฟิงเป็นนามของรูปโฉมนี้
ลี่ มาจากแซ่ของมารดาเขา
ส่วนเฟิง เป็นพยางค์สุดท้ายจากชื่อบิดาไม่เอาไหนของเขา
“ที่แท้เป็นพี่ลี่เฟิงนี่เอง ท่านเองก็มาเข้าร่วมการประลองสุดยอดนักรบด้วยหรือ?”
หลวงจีนลายบุปผายิ้มแย้มแจ่มใส กล่าวถามออกมาคำเดิม
“อือ”
ต้วนหลิงเทียนพยักหน้าทั้งขานรับเบาๆ ในใจลอบคิดไป ‘หลวงจีนลายบุปผาคนนี้นับว่าสมดั่งคำร่ำลือจริงๆ ไม่ยึดติดจรรยาอะไรทั้งนั้น บวชเป็นหลวงจีนแต่ก็ไม่เหมือนหลวงจีนสักนิด…สมแล้วที่ถูกผู้คนเรียกว่าเป็นตัว ‘ผ่าเหล่า’ ในวัดฟ่านเทียน’
‘อย่างไรเสีย การที่มันมีพลังพลังฝีมือมากพอจะเอาชนะฉีจิ้งนายน้อยคฤหาสน์ฟ้าลิ่วล่องได้…ก็นับว่ามันไม่ธรรมดาจริงๆ’
สำหรับ หลวงจีนลายบุปผา คนนี้ ต้วนหลิงเทียนก็ได้ยินเสียงคำร่ำลือของอีกฝ่ายมาไม่น้อย
นอกจากหลวงจีนลายบุปผา เขายังได้ยินเรื่องของ จิ้งชวีจื่อ มาด้วยเช่นกัน
ในขณะที่หลวงจีนลายบุปผาคิดจะกล่าววาจาอะไรสืบต่อ มันก็คล้ายจะสังเกตเห็นอะไรบางอย่าง มันละสายตาออกจากต้วนหลิงเทียน ก่อนที่จะหันมองไปสุดฟ้าไกลตาทางหนึ่ง
มีขบวนแลดูน่าเกรงขามหนึ่งกำลังเหินข้ามฟ้ามา มาหยุดลอยยังพื้นที่ว่างจุดหนึ่ง
ผู้นำขบวนดังกล่าวเป็นชายชราในชุดนักพรตสีน้ำเงิน ในมือถือไว้ด้วยไม้ปัดฝุ่น ผมของมันสีขาวหากแต่สีผิวกลับแดงก่ำ ชุดคลุมของมันสั่นไหวสะบัดแม้ไร้ลม มองไปคล้ายเทพเซียนในนิทาน
ด้านหลังของชายชราเป็นชายหนุ่มคนหนึ่งกับชายชราอีก 2 คน พวกมันมาในชุดนักพรตสีน้ำเงินเช่นกัน ในมือยังถือไม้ปัดฝุ่นเอาไว้
ด้านหลังทั้ง 4 ก็ยังมีกลุ่มนักพรตวัยกลางคน และนักพรตชราอีกไม่น้อย
“เป็นนักพรตจากศาลเจ้าชุนหยาง!”
ตอนนี้เองผู้คนในหุบเขาหลิงหลงที่สังเกตเห็นการมาถึงขบวนนักพรต ก็เริ่มกล่าวกันออกมาอื้ออึง
ผู้ที่นำกลุ่มขบวนนักพรตมาก็ไม่ใช่ใครที่ไหน เป็นผู้นำศาลเจ้าชุนหยางนั่นเอง
สำหรับชายชราทั้ง 2 ที่อยู่ด้านหลังก็คือรองผู้นำศาลเจ้าชุนหยาง ส่วนชายหนุ่มที่อยู่ข้างๆทั้งคู่นั้น ก็คือ จิ้งชวีจื่อ นักพรตเต๋าที่มีอัจฉริยะภาพสูงสุดในศาลเจ้าชุนหยาง
ตอนนี้ในศาลเจ้าชุนหยาง ยกเว้นชายชราและผู้อาวุโส ผู้คนในวัยไล่เลี่ยกันทั้งหมดล้วนเรียกหามันว่า ศิษย์พี่ใหญ่ ทั้งสิ้น
ดังนั้นจึงเป็นที่รู้กันทั่วในเขตอิทธิพลคฤหาสน์ฟ้าลิ่วล่อง ว่าหากกล่าวถึง ศิษย์พี่ใหญ่ของศาลเจ้าชุนหยาง ก็คือ จิ้งชวีจื่อ คนนี้นี่เอง
แตกต่างจากคนที่เอาแต่ใจไร้จรรยาอย่างหลวงจีนลายบุปผาคนละโลกนัก! เพราะจิ้งชวีจื่อคนนี้นับว่าเป็นคนเจ้าระเบียบแถมยังประพฤติตัวอยู่ในศีลธรรมอันดี…ในด้านอัจริยะภาพทางเชิงยุทธ์ทั้งคู่อาจทัดเทียมกัน แต่บุคลิกภาพของพวกมันนับว่าต่างกันสุดขั้ว!
“เฮ่! โยมชวีจื่อพวกเรามิได้พบกันนานแล้วนะ…การประลองสุดยอดนักรบคราวนี้ อาตมาขอบิณฑบาตอันดับ 1 แล้วกัน!”
หลวงจีนลายบุปผามองจิ้งชวจื่อค่อยกล่าวออกมาพร้อมหัวร่าอย่างสนุกสนาน ในวาจายังเต็มไปด้วยความเอาแต่ใจไม่น้อย
ในเขตอิทธิพลของคฤหาสน์ฟ้าลิ่วล่อง ไม่ว่าใครก็รู้ดีว่าทั้งงคู่ล้วนตั้งตัวเป็นคู่แข่งกับอีกฝ่ายมาโดยตลอด มักจิกกัดกันอยู่เสมอ ไม่ค่อยจะญาติดีกันสักเท่าไหร่
“หึ!”
เผชิญหน้ากับวาจาเหลวไหลยั่วยุของหลวงจีนลายบุปผา จิ้งชวีจือเพียงแค่นเสียงขึ้นจมูกสวนไปหนึ่งคำ แลคล้ายขี้คร้านตอบกลับอะไรอื่น
แต่ถึงแม้มันจะไม่กล่าววาจาอะไร แต่สีหน้าท่าทางเหยียดๆนั่น ก็เผยให้เห็นว่ามันไม่คิดสักนิดว่าคราวนี้หลวงจีนลายบุปผาจะเป็นฝ่ายได้รับชัยชนะไป!