ภาคที่ 26 ศาสตร์ลับประจำวัง ตอนที่ 12 ข้ามีนามว่าหลัวไห่

Snow Eagle Lord อินทรีหิมะเจ้าดินแดน

ตอนที่ 12 ข้ามีนามว่าหลัวไห่ โดย Ink Stone_Fantasy

 

ทันทีที่ร่อนลงบนแผ่นดินอลหม่านแห่งนี้ ร่างแปรทั้งสามของตงป๋อเสวี่ยอิงก็สำแดงฟ้าดินโลกเทียมแล้วหลบไปไกลลิบอย่างรวดเร็ว

“ระลอกคลื่น…”

ตงป๋อเสวี่ยอิงอาภรณ์ดำสามคนยืนอยู่กลางอากาศ ระลอกคลื่นอันไร้รูปร่างส่งถ่ายออกมาแล้วแผ่คลุมไปทั่วทุกบริเวณของแผ่นดินอลหม่านอย่างรวดเร็ว ร่างจริงนั้นผ่านการหล่อหลอมของอากาศอันสับสนอลหม่าน เป็นที่โปรดปรานของอากาศอันสับสนอลหม่าน ส่วนร่างแปรเป็นเพียงพละกำลังของฟ้าดินโลกเทียมที่รวมตัวกันแล้วก่อร่างขึ้นมาเท่านั้น เมื่อเทียบกันแล้วการควบคุมอากาศก็อ่อนแอกว่ามากทีเดียว ยามนี้หากพูดถึงการตรวจสอบเป็นวงกว้างแล้ว ‘วิถีระลอกคลื่น’ กลับเหมาะสมเสียมากกว่า!

ทุกหนแห่งล้วนเต็มไปด้วยระลอกคลื่น

สิ่งมีชีวิตมีระลอกคลื่น ก้อนหินมีระลอกคลื่น พืชพันธุ์มีระลอกคลื่น แสงก็มีระลอกคลื่น…ระลอกคลื่นอันไร้ที่สิ้นสุดล้วนอยู่ในการตรวจสอบของตงป๋อเสวี่ยอิง

“มีสิ่งมีชีวิตแห่งห้วงอากาศขั้นผู้ปกครองเก้าตน และเทพอากาศหนึ่งตน” ตงป๋อเสวี่ยอิงพบในทันที “นอกจากนี้สิ่งมีชีวิตจำนวนนับไม่ถ้วนในแผ่นดินอลหม่านแห่งนี้ก็ถูกพวกเขากลืนกินเป็นอาหารด้วย”

ระหว่างที่ตรวจสอบก็พบว่า บรรดาสิ่งมีชีวิตผู้ยิ่งใหญ่บ้างก็ถูกจองจำ บ้างก็กลายเป็นบ่าวรับใช้ที่ใช้ชีวิตอยู่อย่างลำเค็ญ

ส่วนบรรดาเทพโลกาน่ะหรือ

ไม่มีความมุ่งมั่น ความกระหายสงครามและความสิ้นหวังเช่นนั้นอีกต่อไป ส่วนความท้อถอย ความคลุ้มคลั่งและความเกลียดชังและอื่นๆ กลับสูงเทียมฟ้า

“สิ่งมีชีวิตแห่งห้วงอากาศเหล่านี้กล้าได้อย่างไรกัน ไยจึงเหิมเกริมถึงเพียงนี้ได้” แววสังหารของตงป๋อเสวี่ยอิงกำลังพลุ่งพล่าน เมื่อมองเห็นแววตาสิ้นหวังของสิ่งมีชีวิตซึ่งถูกขังไว้ในกรง จวนจะถูกกินอยู่รอมร่อ เพลิงโทสะของเขาก็ลุกโชนอย่างมิอาจควบคุมได้ “บรรพชนห้วงอากาศมีคำสั่งมาเนิ่นนานแล้ว วังทวีสูญ สถานที่ศักดิ์สิทธิ์เหยากวงและอื่นๆ ก็ล้วนมีคำสั่งอันเคร่งครัด เหตุใดสิ่งมีชีวิตแห่งห้วงอากาศเหล่านี้จึงกล้ากลืนกินผู้บำเพ็ญจำนวนนับไม่ถ้วนตามอำเภอใจเช่นนี้ได้เล่า”

“ฆ่ามัน!”

ร่างแปรสามร่างเคลื่อนไหวพร้อมกัน

อันที่จริงขณะที่ตงป๋อเสวี่ยอิงอาศัยวิถีระลอกคลื่นตรวจตราดูนั้น เทพอากาศผู้นั้นก็รู้ตัวบ้างแล้ว เพียงแต่ว่าเขายังคงเข้าสู่ห้วงนิทราต่อไปโดยไม่แยแสเลยสักนิด เขารู้สึกว่าผู้ใต้บังคับบัญชาจะสามารถจัดการเจ้าหนุ่มคนนั้นได้

แต่เพียงครู่เดียว เทพอากาศผู้นี้ก็รู้ว่าผิดไปแล้ว!

“ช่วยด้วย!”

สิ่งมีชีวิตแห่งห้วงอากาศขั้นผู้ปกครองใต้บังคับบัญชาทั้งเก้าคนของเขา มีเพียงคนเดียวเท่านั้นที่สามารถช่วยเอาไว้ได้ทัน นอกจากนี้สุดท้ายยังถูกสังหารอีกด้วย

“สามารถแปรเป็นหลายร่างลูกแล้วเอาชีวิตรอดได้ด้วยหรือนี่” สิ่งมีชีวิตแห่งห้วงอากาศเพียงตนเดียวซึ่งสามารถช่วยไว้ได้ทันนั้นมีรูปร่างเหมือนรังนกที่ค่อนข้างพิเศษ เขาสามารถแยกร่างออกเป็นหมื่นร่างได้ ร่างแปรของตงป๋อเสวี่ยอิงก็สำแดงบริเวณการเข่นฆ่าออกมา! ด้วยความเข้าใจวิถีเข่นฆ่าของเขาในตอนนี้ บริเวณการเข่นฆ่าก็ได้บรรลุไปบ้างแล้ว การสังหารร่างลูกที่ค่อนข้างอ่อนแอนั้นสามารถกวาดล้างได้ในชั่วพริบตา

ฟิ้วๆๆ

จากนั้นร่างแปรทั้งสามของตงป๋อเสวี่ยอิงก็ทะลุผ่านอากาศตรงมาถึงหน้าวังของเทพอากาศท่านนั้น

วังสีทองโดดเด่นพร่างพรายตา

สัตว์ประหลาดสี่เท้าผมขาวขนขาวตนหนึ่งเดินออกมาจากประตูวัง ขนของเขาขาวพิศุทธิ์นัก กรงเล็บเท้าย่ำอากาศเข้ามาก้าวแล้วก้าวเล่า ดวงตาสีทองคู่หนึ่งมองตงป๋อเสวี่ยอิง “ข้ามิได้เห็นผู้ปกครองตัวเล็กๆ อย่างเจ้าเป็นภัยคุกคาม แต่เจ้ากลับสามารถสังหารผู้ใต้บังคับบัญชาทั้งเก้าคนของข้าได้ในระยะเวลาสั้นๆ เพียงชั่วพริบตาเดียว”

“ต่อไปเป็นตาเจ้าแล้ว” ตงป๋อเสวี่ยอิงอาภรณ์ดำทั้งสามคนพูดขึ้นพร้อมกัน

“เช่นนั้นหรือ” สัตว์ประหลาดสี่เท้าขนสีขาวสัตว์ประหลาดสี่เท้าขนสีขาวพูดเสียงเย็นชา “พวกเขาจะตายก็ตายไปเถิด ได้พบขั้นผู้ปกครองที่มีพลังแข็งแกร่งเช่นเจ้าคนหนึ่งท่ามกลางคืนวันที่น่าเบื่อเช่นนี้ ก็นับว่าน่าสนใจดี”

“พูดจาไร้สาระมากเกินไปเสียจริง รับความตายเสียเถอะ!”

ตงป๋อเสวี่ยอิงอาภรณ์ดำทั้งสามคนก็หายวับเข้าไปในฟ้าดินโลกเทียมพร้อมกัน หมายจะลอบโจมตีประชิดตัว

สัตว์ประหลาดสี่เท้าขนสีขาวกลับยิ้มเย็นพลางพูดว่า “คุกเพลิง!”

ฟิ้วววว…

รอบบริเวณอันกว้างขวางหาใดเปรียบพลันมีเปลวเพลิงปะทุขึ้น เปลวเพลิงลูกแล้วลูกเล่าล้วนแต่เป็นสีฟ้าราวกับบุปผา ดอกเพลิงสีฟ้าจำนวนนับไม่ถ้วนแทรกเข้าไปในฟ้าดินโลกเทียมได้อย่างง่ายดาย และโอบล้อมร่างแปรทั้งสามร่างของตงป๋อเสวี่ยอิงเอาไว้ ร่างแปรทั้งสามร่างล้วนแต่สำแดงวิถีหอกออกมา เมื่อสำแดงกระบี่ที่หนึ่งผลาญโลกาออกมา แคว่กกก…มันทำให้เปลวเพลิงสีฟ้าโดยรอบที่เข้ามาโจมตีแตกกระจายไป

ทว่ากลับมีพละกำลังอันไร้รูปร่างชนิดหนึ่งแทรกซึมเข้าไป พละกำลังเช่นนี้เย็นเยียบจนถึงขีดสุด แต่หลังจากเข้าไปในกายแล้ว กลับกลายเป็นร้อนระอุถึงขีดสุด

ตงป๋อเสวี่ยอิงอาภรณ์ดำทั้งสามร่างสีหน้าเปลี่ยนแปรครั้งใหญ่

ร่างแปรของเขาสั่นสะท้านไปหมด จากนั้นก็แหลกสลายกลายเป็นผุยผงเสียงดังฟึ่บๆๆ

“อยู่ไหนน่ะ ร่างจริงของเขาอยู่ที่ใดกัน” ดวงตาสีทองของสัตว์ประหลาดสี่เท้าขนสีขาวกวาดมองรอบด้าน ขณะเดียวกันระลอกคลื่นอันไร้รูปร่างก็พลันกวาดผ่านทั้งแผ่นดินอลหม่าน และยังมุ่งไปตรวจตราอากาศอันสับสนอลหม่านอีกด้วย แต่กลับตรวจไม่พบเลย

……

สวบ

เดิมทีร่างจริงของตงป๋อเสวี่ยอิงก็หนีห่างไปไกลยิ่งนักอยู่แล้ว เมื่อพบว่าร่างแปรสู้จนตัวตาย ก็รีบเคลื่อนที่ในอากาศหลบหนีไปอย่างรวดเร็วในทันที

“บริเวณกฎเกณฑ์หรือ” ตงป๋อเสวี่ยอิงอ้าปากค้าง “เขาไม่ได้อยู่ในระบบการบำเพ็ญของเหล่ากลืนกินอย่างแน่นอน น่าจะเป็นระบบการบำเพ็ญอื่นๆ เขาทำให้บริเวณกฎเกณฑ์สมบูรณ์ได้ถึงขั้นนี้เชียวหรือ ระดับขั้นเช่นนี้น่าจะเป็นระดับยอดสุดของขั้นกำเนิดอากาศแล้ว จวนจะเข้าใกล้ขั้นรวมเป็นหนึ่งแล้วกระมัง”

ภายในบริเวณกฎเกณฑ์ พูดคำไหน คำนั้นก็กลายเป็นกฎ สามารถกำหนดกฎเกณฑ์ได้

เช่นจะกำหนดกฎเกณฑ์ว่า…สิ่งมีชีวิตที่ข้าปรารถนาจะสังหารต้องตายหมดในทันที!

อย่างสถานที่แรกเริ่มในจักรวาลบ้านเกิดของตงป๋อเสวี่ยอิงก็มีการกำหนดกฎเกณฑ์เอาไว้ ทำให้ทุกผู้ที่เข้าไปจะต้องเป็นเหมือนมนุษย์ธรรมดาทั้งหมดทันที! แน่นอนว่า ‘จอมกระบี่แห่งเกาะใจกลางทะเลสาบ’ มีพลังแข็งแกร่งพอ สามารถฝืนต้านทานกฎเกณฑ์นี้ได้

นี่ก็คือพละกำลังของกฎเกณฑ์

แน่นอนว่ากฎเกณฑ์มิได้กำหนดมั่วซั่วตามอำเภอใจ ผู้บำเพ็ญต้องเชี่ยวชาญด้านใดด้านหนึ่งค่อนข้างมากเสียก่อน ด้านเปลวเพลิงของเทพอากาศตนนี้ประสบผลสำเร็จสูงยิ่งนัก จึงสามารถทำให้ ‘บริเวณกฎเกณฑ์’ บรรลุถึงระดับขั้นสูงส่งเช่นนี้ได้ สิ่งมีชีวิต ‘ขั้นอลวน’ ในตำนานนั้น บริเวณกฎเกณฑ์ของพวกเขาถึงขั้นสามารถแปรเป็นจักรวาลขนาดเล็กอันกว้างใหญ่ไพศาลแห่งหนึ่งได้เลยทีเดียว

บริเวณก็คือจักรวาลขนาดเล็ก

ภายในจักรวาลขนาดเล็กมีดวงดารา มีท้องฟ้า มีสิ่งมีชีวิตมากมายนับไม่ถ้วน ทั้งยังมีกฎเกณฑ์ที่พวกเขากำหนดขึ้นด้วย! ผู้ที่ทนรับกฎเกณฑ์ไม่ไหว เกรงว่าคงจะต้องตายไปในทันทีอย่างแน่นอน

“ร่างจริงของข้าค่อนข้างแข็งแกร่ง ความสามารถในการรักษาชีวิตก็แข็งแกร่งเช่นกัน คาดว่าจะสามารถเอาชีวิตรอดได้ แต่เมื่อได้รับการกดดันจากบริเวณกฎเกณฑ์ เกรงว่าพลังของข้าคงจะสำแดงออกมาได้เพียงสามสี่ส่วนเท่านั้น” ตงป๋อเสวี่ยอิงไม่อยากประมือเลย เพราะความแตกต่างค่อนข้างชัดเจนนัก

ศิษย์อาภรณ์ทองแห่งวังทวีสูญ

ต่อให้ร้ายกาจกว่านี้ ก็แค่ผู้ปกครองข้ามขั้นไปห้ำหั่นเทพอากาศทั่วไปเท่านั้น

หากพบเทพอากาศขั้นกำเนิดซึ่งร้ายกาจอย่างยิ่งเช่นเดียวกัน เช่นนั้นก็ช่วยไม่ได้แล้ว! นอกเสียจากจะรู้แจ้งกระบี่ที่สองผลาญโลกาซึ่งซับซ้อนและพิสดารกว่านับร้อยเท่าได้ แต่ความยากของกระบี่ที่สองผลาญโลกานี้ เทพอากาศขั้นกำเนิดบางคนก็ยังมิอาจรู้แจ้งได้ ในประวัติศาสตร์ของวังทวีสูญ ก็มีผู้ปกครองเพียงคนเดียวเท่านั้นที่สามารถทำได้ จะเห็นได้ว่ายากเย็นเพียงใด!

******

ศึกนี้ทำให้ตงป๋อเสวี่ยอิงก็เข้าใจว่า ตอนนี้เขาก็แค่รังแกเทพอากาศทั่วไปหรือเทพอากาศที่ค่อนข้างทึ่มทื่อในด้านการต่อสู้ได้บ้างเท่านั้น หากพบผู้ที่ร้ายกาจเข้าหน่อยก็ยุ่งยากแล้ว

เส้นทางต่อจากนั้นก็ได้พิสูจน์ทั้งหมดนี้

คืนวันต่อจากนั้น ตงป๋อเสวี่ยอิงก็เร่งเดินทางและบำเพ็ญต่อไป จากนั้นก็ส่งร่างแปรบุกเข้าไปในแผ่นดินอลหม่านเพื่อทำการต่อสู้ และได้สังหารเทพอากาศไปหลายตน ทว่าเหมือนพวกเขาจะค่อยๆ ได้รับข่าวแล้วเช่นกัน เทพอากาศเริ่มหลบซ่อนตัว ไม่อยู่ในดินแดนอลหม่านอีกต่อไปแล้ว

ผู้ที่ยังคงอยู่ในแผ่นดินอลหม่านต่อไปนั้น ล้วนค่อนข้างแข็งแกร่งทั้งสิ้น

ตงป๋อเสวี่ยอิงยังเคยพบกับ ‘เทพอากาศขั้นรวมเป็นหนึ่ง’ เข้าตนหนึ่ง ร่างแปรของตนเพิ่งจะร่อนลงไป บริเวณกฎเกณฑ์อันไร้รูปร่างก็ร่อนลงมา และเขาก็ถูกจับทั้งเป็นเสียแล้ว! เคราะห์ดีที่เป็นเพียงร่างแปรเท่านั้น เพียงชั่วความคิดเดียว ร่างแปรก็สลายหายไปแล้ว ตนมีคัมภีร์รัศมีเทพและวิชาลับผู้ท่องคอยป้องกันจึงสามารถต้านทานการโจมตีวิญญาณผ่านร่างแปรของอีกฝ่ายเอาไว้ได้

“น่ากลัวนัก” ตงป๋อเสวี่ยอิงเข้าใจขึ้นมา ยอดฝีมือขั้นกำเนิดอากาศมิใช่ผู้ที่ตนจะสามารถต่อกรได้ ส่วนขั้นรวมเป็นหนึ่ง…ก็ยิ่งไม่ต้องพูดถึงแล้ว

……

เวลาล่วงเลยไป เพียงพริบตาเดียวก็ผ่านไปสามล้านกว่าปีแล้ว เนื่องจากทุกครั้งตงป๋อเสวี่ยอิงเพียงแค่ส่งร่างแปรเข้าไป แล้วตนเองก็อาศัยป้ายอักขระรักษาชีวิตหลบอยู่ห่างๆ จึงมิได้เกิดเรื่องอันใดขึ้น ทว่าชื่อเสียงของเขาก็เริ่มเลื่องลือออกไปทั่วขุมอำนาจในแผ่นดินอลหม่านเหล่านี้

“เจ้าก็คือเจ้าหนุ่มผู้บำเพ็ญที่กล้าใช้แค่ร่างแปรต่อสู้น่ะหรือ” กลางฟากฟ้าเหนือแผ่นดินอลหม่านแห่งหนึ่ง ตงป๋อเสวี่ยอิงอาภรณ์ดำสามคนกำลังล้อมโจมตีสิ่งมีชีวิตแห่งห้วงอากาศรูปร่างมนุษย์ตนหนึ่งอยู่ สิ่งมีชีวิตแห่งห้วงอากาศรูปร่างมนุษย์ตนนั้นมีลักษณะเป็นบุรุษเกราะสีเขียว ผิวหนังสีดำ การควบคุมอากาศของเขาไม่แพ้ร่างจริงของตงป๋อเสวี่ยอิงเลยแม้แต่น้อย

สิ่งมีชีวิตแห่งห้วงอากาศรูปร่างมนุษย์ตนนี้มิอาจสังหารตงป๋อเสวี่ยอิงได้ในชั่วพริบตา แต่ร่างแปรทั้งสามของตงป๋อเสวี่ยอิงก็มิอาจทำร้ายเขาได้เลยแม้แต่น้อย

แต่ตงป๋อเสวี่ยอิงกลับห้ำหั่นอย่างสุขสันต์

“เขาเป็นคู่ต่อสู้ที่ดีคนหนึ่ง สามารถเคี่ยวกรำวิถีหอกทั้งหลายของข้าได้” ร่างแปรทั้งสามล้อมโจมตีอย่างบ้าคลั่ง

“เจ้าสังหารข้าไม่ได้หรอก แม้แต่เทพอากาศขั้นรวมเป็นหนึ่งจะสังหารข้าก็ยากนัก” บุรุษผิวดำผู้สวมเกราะสีเขียวตนนี้ก็ยินดีต่อสู้ด้วย เขาซึมซับประสบการณ์จากการต่อสู้อันพิสดารกับผู้ปกครองตรงหน้า ก็เติบโตขึ้นด้วยเช่นกัน

“เจ้าหนุ่ม ไม่เลวเลย ผู้ปกครองอย่างเจ้าคนหนึ่งก็สามารถสังหารเทพอากาศได้เช่นนี้เชียวหรือ”

หลังจากเสียงก้องกังวานเสียงหนึ่งดังขึ้น

เงาร่างสีเงินสายหนึ่งก็ร่อนลงมา

นี่คือบุรุษอาภรณ์เงินคนหนึ่งซึ่งสวมเกือกรบโลหะอันแปลกประหลาด เขาสะพายดาบรบเล่มหนึ่งเอาไว้ด้านหลัง จู่ๆ เขาก็ร่อนลงมาอย่างไร้วี่แววมาก่อนแล้วตะกายคว้ามาทางเทพอากาศเกราะสีเขียว ดูเหมือนจะเป็นการคว้าธรรมดาๆ ครั้งหนึ่ง แต่ที่น่าประหลาดก็คือบุรุษผิวดำผู้สวมเกราะสีเขียวจะหลบหลีกอย่างไรก็มิอาจหลบได้พ้น คิดจะลงมือโจมตีกลับยังคงถูกคว้าศีรษะเอาไว้

“ปัง” “ตู้ม” “ฟึ่บ” บุรุษอาภรณ์เงินอาศัยมือและเท้าทั้งคู่รุกคืบเข้ามาใกล้ บางครั้งก็กระแทกเข่าออกมา บางครั้งก็ใช้ฝ่ามือฟาดลงมาอย่างแรง บางครั้งก็ใช้ศอกถองเข้าไปอย่างแรง กระบวนท่าที่ดูเหมือนจะธรรมดากลับทำให้ตงป๋อเสวี่ยอิงตะลึงงันไปกับความพิสดารของมัน การต่อสู้ของอีกฝ่ายยังพิสดารกว่ากระบี่ที่หนึ่งผลาญโลกาเสียอีก

แน่นอนว่าตงป๋อเสวี่ยอิงก็มองออกว่าบุรุษอาภรณ์เงินผู้นี้เป็นเทพอากาศคนหนึ่งเช่นเดียวกัน

“ฆ่าไม่ตายหรือนี่” บุรุษอาภรณ์เงินตกตะลึงอยู่บ้าง

“ฆ่าข้าให้ตายไม่ได้หรอก เทพอากาศขั้นรวมเป็นหนึ่งยังยากที่จะฆ่าข้าให้ตายเลย” เทพอากาศเกราะสีเขียวคำรามเสียงต่ำ เขาก็โกรธแค้นนัก โกรธแค้นที่ตนถูกเหยียบย่ำอย่างสิ้นเชิง ทว่าร่างกายของเขาแปลกประหลาดผิดธรรมดา ภายในร่างกายมีมิติทับซ้อนกันอยู่ ทำให้อานุภาพการโจมตีของฝ่ายตรงข้ามถูกหักเหออกไปอย่างต่อเนื่อง

“ยังฝึกไม่ได้อยู่ดี ช่างเถิด” บุรุษอาภรณ์เงินชักดาบที่สะพายเอาไว้ด้านหลังออกมาทันใด

ฟิ้ว!

ประกายดาบแปลบปลาบ

รวดเร็วเกินไปแล้ว

น่าตกตะลึงเกินไปแล้ว

ตงป๋อเสวี่ยอิงอาภรณ์ดำทั้งสามร่างด้านข้างต่างก็เบิกตากว้าง เขาถึงขั้นพยายามอาศัยฟ้าดินโลกเทียมรับรู้ดาบนี้ แต่มันรวดเร็วเกินไปแล้ว ความพิสดารของมันทำให้เขาต้องกลั้นหายใจ แต่ก็มิใช่ว่ามิอาจไขว่คว้าได้เลย ตนเคยรับรู้กระบี่ที่สองผลาญโลกามาก่อน แม้จะมิได้รู้แจ้ง แต่ก็พอจะเข้าใจบ้าง เขารู้สึกว่าดาบนี้น่าจะสูงส่งกว่ากระบี่ที่สองผลาญโลกาอยู่ขุมหนึ่ง

“เคร้ง” บุรุษอาภรณ์เงินจึงเสียบดาบรบกลับลงฝักด้านหลัง

“ทำให้ข้าต้องชักดาบออกมา เจ้าตายก็คุ้มค่าแล้วล่ะ” บุรุษอาภรณ์เงินหันไปมองตงป๋อเสวี่ยอิง ส่วนบุรุษเกราะสีเขียวที่ยืนอยู่ตรงนั้นยังคงยิ้มเยาะ “ดาบนั้นของเจ้าไม่…” พูดไปได้เพียงครึ่งประโยค ร่างกายของเขาก็พลันอ่อนยวบ นัยน์ตาก็หม่นหมองลง จากนั้นเขาก็ร่วงหล่นลงไป ร่างกายของเขายังคงสมบูรณ์ไร้ความเสียหาย แต่กลิ่นอายวิญญาณกลับหมดไปอย่างสิ้นเชิง สมบัติต่างๆ ก็ร่วงหล่นลงมา

บุรุษอาภรณ์เงินกวักมือคราหนึ่ง สมบัติเหล่านั้นก็ถูกเขาเก็บลงไป

“หนุ่มน้อย กล้าหาญดีนี่” บุรุษอาภรณ์เงินมองตงป๋อเสวี่ยอิงยิ้มๆ “ใช่แล้ว ข้ามีนามว่าหลัวไห่”

“ข้ามีนามว่าตงป๋อเสวี่ยอิง” ตงป๋อเสวี่ยอิงก็พูดยิ้มๆ เขารู้สึกดีมากต่ออีกฝ่ายเช่นกัน ในที่สุดก็ได้เห็นผู้แกร่งกล้าคนอื่นลงมือกับสิ่งมีชีวิตแห่งห้วงอากาศพวกนี้เสียที

…………………………………….