ตอนที่ 540 แสงแห่งจันทรา

นายน้อยเจ้าสำราญ

ตอนที่ 540 แสงแห่งจันทรา

ในคืนที่จันทราเต็มดวงฉายชัดอยู่เหนือท้องนภา

แสงสีเหลืองนวลสาดส่องลงมาจากฝากฟ้าสร้างความสว่างให้กับเมืองจินหลิงที่หลับใหลอยู่ภายใต้แสงจันทรา

คืนนี้ไร้ซึ่งผู้คน !

ทันใดนั้น ก็ปรากฏเสียงฝีเท้าอาชาวิ่งมาจากด้านหนึ่งของถนน จากนั้นเสียงก็เงียบหายไปในชั่วพริบตาราวกับมิเคยเกิดขึ้นจริง เสียงนั้นมิได้ทำให้ผู้คนในเมืองหลวงสะดุ้งตื่น นอกจากหวู่ฟางไจที่พลิกตัวใต้ผ้าห่ม พลางคิดในใจว่ามือปราบเมืองจินหลิงไล่จับหัวขโมยในตอนกลางดึกเยี่ยงนั้นหรือ ?

ฟู่เสี่ยวกวน ฮั่วหวยจิ่น ซูเจวี๋ย และสวี่ซินเหยียน ควบอาชาไปยังประตูเมืองทางด้านทิศตะวันตก

ฮั่วหวยจิ่นแสดงป้ายสัญลักษณ์ต่อทหารเวรที่เฝ้าประตูเมืองอยู่ พวกเขาจึงรีบเปิดประตูเมืองให้ทันที

เมื่อฟู่เสี่ยวกวนควบอาชาพ้นประตูเมืองจึงหันกลับไปมอง พบว่าฮั่วหวยจิ่นเองก็มองมาทางตนพร้อมกับกล่าวว่า “ต้องปลอดภัยกลับมา ! ”

“วางใจเถิด ข้ามิตายง่าย ๆ หรอก ! ”

“แท้ที่จริงข้าก็อยากจะตามเจ้าไปด้วย เพราะเดรัจฉานนั้นสังหารบิดาข้า!”

“เจ้ารู้ได้เยี่ยงไร ? ”

“ท่านแม่ส่งคนมาบอกข่าว ข้าก็เพิ่งทราบคืนนี้เอง”

“เซวี๋ยติ้งชานเป็นคนเยี่ยงไรกัน ? ”

“เป็นคนเก่ง เจ้าแผนการ มีความเด็ดขาด ทำให้มีแต่ผู้เคารพยำเกรง”

ฟู่เสี่ยวกวนพยักหน้าเข้าใจ “ข้าจะไปแก้แค้นให้กับเจ้าเอง ! ”

“ข้าจะรอเจ้านำชัยชนะกลับมา ! ”

เมื่อฟู่เสี่ยวกวนได้ยินดังนั้นเขาก็ควบอาชาไปบนเส้นทางที่ยาวไกล แล้วจึงค่อย ๆ หายลับเข้าไปในแสงจันทรา

ฮั่วหวยจิ่นยังคงยืนมองอยู่ที่แห่งนั้นเป็นเวลาเนิ่นนาน จากนั้นจึงหันหลังกลับเข้าเมือง แต่ทว่ามิได้กลับไปยังที่พำนักของตนแต่กลับตรงไปยังจวนของหนิงหยู่ชุนแทน

“ทำตัวเป็นโจรยามค่ำคืนเยี่ยงนั้นหรือ ? ”

“อย่ามัวเอ่ยถึงเรื่องไร้สาระเลย มาดื่มเป็นเพื่อนข้าหน่อย”

“เจ้าบ้าหรือเยี่ยงไรกัน ! ”

“ข้ากล่าวจริง ! ”

เถ้าแก่ร้านสุรารู้สึกหดหู่ใจมากยิ่งนัก แม้ว่าบนท้องนภาจะมีแสงจันทราส่องลงมาให้ได้เห็น แต่ทว่าบัดนี้ก็ดึกมากแล้ว พวกท่านยังมินอนอีกหรือ หรือว่าพวกท่านเป็นแมวราตรีกัน ?

แต่ทว่าเถ้าแก่ก็มิกล้าขัดใจแขกทั้งสอง เขาจึงจำใจละทิ้งเตียงนอนอันแสนสบายเพื่อมาต้อนรับแขก ฮั่วหวยจิ่นกล่าวกับเถ้าแก่ว่า “เอาถั่วลิสง 1 จาน เนื้อวัว 1 จาน สุรา 1 ไห ยกขึ้นมาที่ชั้นสาม หากนำมาหมดแล้วเจ้าก็ไปนอนได้ มิต้องสนใจพวกเรา”

คือ…

พอสั่งเสร็จ ฮั่วหวยจิ่นก็ได้ปิดประตูร้าน หนิงหยู่ชุนขมวดคิ้วทำหน้าสงสัย “เกิดเรื่องอันใดขึ้นเยี่ยงนั้นหรือ ? ”

ฮั่วหวยจิ่นดึงผ้าปิดปากไหสุราออกแล้วรินใส่จอก ยืนขึ้นอย่างช้า ๆ แล้วเทลงพื้น “ท่านพ่อของข้าเสียแล้ว”

หนิงหยู่ชุนทำหน้าแตกตื่นขึ้นมาทันที “เจ้าว่าเยี่ยงไรนะ ? ”

“เซวี๋ยติ้งชานทรยศ”

หนิงหยู่ชุนอ้าปากค้างอีกครา ลมหายใจเย็นยะเยือก เอื้อนเอ่ยสิ่งใดมิออก

ฮั่วหวยจิ่นนั่งลงที่โต๊ะดังเดิม รินสุราสองจอก แล้วยื่นให้กับหนิงหยู่ชุนหนึ่งจอก “เมื่อครู่ ข้าไปส่งฟู่เสี่ยวกวนออกนอกเมือง ”

สิ่งนี้ทำให้หนิงหยู่ชุนมีสีหน้าแตกตื่นขึ้นมาอีกครา เพียงแค่ระยะเวลาสั้น ๆ ที่เข้ามานั่งในห้องนี้ก็มีแต่เรื่องราวที่น่าตกใจ !

ดึกดื่นป่านนี้ ฟู่เสี่ยวกวนยังจะเดินทางออกนอกเมืองอยู่อีก แสดงว่าเรื่องนี้ต้องหนักหนาสาหัสอย่างแท้จริง

“ปล่อยไปเยี่ยงนี้จะดีหรือ ? ”

“ข้ามิรู้ แต่เกรงว่านับจากนี้ไปคงจะมีเรื่องด่วนมาแจ้งทุกวัน”

“คือ…ฟู่เสี่ยวกวนไปที่นั่นเพื่อทำอันใดกัน ? ฝ่าบาทบัญชาให้แม่ทัพหยูเคลื่อนทัพไปก่อนแล้วมิใช่หรือ ? ”

“ในเมื่อเขารีบไปด้วยตนเองเช่นนี้ เกรงว่าแม่ทัพหยูกำลังตกอยู่ในอันตราย ! ”

“…แต่เขามิมีทหารภายใต้บัญชา ! ”

“ข้าก็อยากถามเขาเช่นกัน แต่เขามิได้เอ่ยสิ่งใดออกมาเลย ข้าจึงมิได้เอ่ยถาม…” ฮั่วหวยจิ่นดื่มสุรากับหนิงหยู่ชุนไปหนึ่งจอก จากนั้นทอดสายตาออกไปนอกหน้าต่าง เห็นเพียงแสงจันทรานวลผ่องและยามราตรีที่เงียบสงบ

“หลังดื่มกับเจ้าเสร็จ ข้าก็จะไปด้วยเช่นกัน”

“เจ้าจะไปที่ใด ? ”

“ฆ่าเซวี๋ยติ้งชาน ! ”

“เจ้าบ้าไปแล้วหรือเยี่ยงไรกัน ! มิมีพระราชโองการจากฝ่าบาท แล้วเจ้าจะละทิ้งหน้าที่ในเมืองหลวงได้เยี่ยงไร ? ”

ฮั่วหวยจิ่นหัวเราะออกมาอย่างบ้าคลั่ง จากนั้นก็ร้องเพลงออกมา “อย่าได้ใส่ใจเสียงฝนที่ตกใส่ใบไม้ในป่า เหตุใดจึงมิร้องเพลงแล้วเดินเล่นไปช้า ๆ ไม้ไผ่ 1 กำ รองเท้าฟาง 1 คู่ ยังว่องไวกว่าควบอาชา ใยต้องกลัว ? หมอกฝนยังแผ่ปกคลุม…”

……

……

จวนฟู่ ณ เมืองจินหลิง

ต่งชูหลานสวมเสื้อขนสัตว์และจุดตะเกียงขึ้น

เมื่อจุดตะเกียงเสร็จก็ได้เดินไปยังห้องนอนของหยูเวิ่นหวินเพื่อดูว่านอนหลับสบายดีหรือไม่ จากนั้นก็ไปยังห้องของเยี่ยนเสี่ยวโหลวก็เห็นว่ากำลังนอนหลับอย่างสบายเช่นกัน

นางเดินมาถึงศาลาแล้วแขวนตะเกียงให้เรียบร้อย จากนั้นก็นั่งลง

ฟู่เสี่ยวกวนมิอยู่

นางรู้ว่าฟู่เสี่ยวกวนได้ออกเดินทางไปแล้ว

เขารีบร้อนไปเยี่ยงนี้ แสดงว่ามีบางอย่างเกิดขึ้นเป็นแน่

มีเรื่องอันใดกัน เหตุใดถึงต้องรีบร้อนถึงเพียงนี้ด้วย ?

ต่งชูหลานกังวลเรื่องการเมืองอยู่ตลอดเวลา นางรู้สึกว่าตนเองคิดมาก มิว่าจะเป็นม้าเร็วจากสถานที่ห่างไกล ไหนจะเรื่องดินแดนที่คราหนึ่งเคยเป็นของแคว้นอี๋ ไหนจะมีองค์ชายสี่ที่มิคิดยอมแพ้

มิว่าจะเรื่องใด ย่อมต้องเผชิญกับสงคราม

คืนนี้ เขาถูกฝ่าบาทเรียกตัวออกไป จะต้องเป็นเรื่องสงครามอย่างมิต้องสงสัย

จะไปที่ใดเยี่ยงนั้นหรือ ?

เขาจะเป็นอันตรายหรือไม่ ?

สายลมเย็นพัดมาทำให้นางรู้สึกหนาวเหน็บขึ้นมา อยู่ ๆ นางก็รู้สึกคลื่นไส้เล็กน้อยจึงลุกขึ้นยืนกอดเสาศาลาและอาเจียนออกมา

เสี่ยวเซวี๋ยรีบวิ่งเข้ามาดูอาการของฮูหยินอย่างตื่นตกใจ “คุณหนูรีบกลับไปพักผ่อนก่อนเถอะเจ้าค่ะ ดึกแล้วประเดี๋ยวจะมิสบายเอาได้เจ้าค่ะ”

ต่งชูหลานรู้สึกดีขึ้น อยู่ ๆ นางก็หัวเราะพร้อมกับแสงจันทร์ที่ส่องสว่างบนใบหน้าของนาง

……

ณ ภูเขาชิงหยุน

อีกาบินมาเกาะบนไหล่ของซูม่ออย่างกะทันหันจึงทำให้เขาขมวดคิ้วสงสัย

เขาจุดตะเกียงแล้วนำกระดาษที่มัดติดเท้าอีกาออกมา เหลือบมองไปที่มัน เห็นมันกระโดดขึ้นเตียงจนทำให้เยี่ยนถาวฮวาตกใจตื่นขึ้นมา

“เกิดอันใดขึ้นมากัน ? ”

“เจ้าอยู่ที่นี่ ข้าจะออกไปข้างนอกสักพัก”

ซูม่อลุกขึ้นยืน พอเยี่ยนถาวฮวาเห็นดังนั้นจึงรั้งเขาไว้ “เกิดอันใดขึ้น ? ข้าเป็นภรรยาของเจ้าและควรรู้ทุกเรื่องของเจ้า ! ”

ซูม่อประคองใบหน้าขาวผ่องของเยี่ยนถาวฮวา “ฟู่เสี่ยวกวนต้องการข้าและกองกำลังดาบเทวะทั้งสามพันนาย”

“ น่ากังวลมากใช่หรือไม่ ? ”

“เกรงว่าเขาจะกังวลมากกว่า”

“ข้าจะไปกับเจ้าด้วย”

“…ย่อมได้”

หลังจากนั้นไม่นาน เสียงสัญญาณหวีดแหลมก็ดังขึ้นในค่าย จากนั้นก็ได้ปรากฏเหล่าทหาร 3,000 นายภายใต้การฝึกฝนของซูม่อตลอดเวลา 6 เดือนจนกลายเป็นทหารที่มีฝีมือระดับสูง

ในช่วงระยะเวลาสั้น ๆ เหล่าทหารที่สวมเครื่องแบบเรียบร้อยแล้วก็ได้มารวมตัวกัน ณ ใจกลางค่าย

ซูม่อยืนอยู่เบื้องหน้าของพวกเขา แล้วเอ่ยด้วยน้ำเสียงหนักแน่น ที่เต็มไปด้วยพลังว่า “นี่มิใช่การฝึก ! ”

“ต่อไปนี้ พวกเราจะเดินทัพเป็นระยะทางไกลและเข้าสู่สนามรบทันที ! ”

“ทุกคนจงฟังข้า ! ”

“ข้าให้เวลาเตรียมตัวครึ่งชั่วยาม นำอาวุธทั้งหมดของพวกเจ้าไปด้วย เตรียมเสบียงไปให้เพียงพอสำหรับสิบวัน เตรียมม้าศึกแล้วออกเดินทาง ! ”

สงครามกำลังจะเริ่มขึ้นแล้ว !

ทันใดนั้น เหล่าทหารก็ตื่นตัวขึ้นมา พวกเขาแยกย้ายไปเตรียมทุกอย่างในเวลาอันรวดเร็ว จากนั้นก็ไปที่คอกม้า จูงม้าศึกออกมายืนเป็นระเบียบอยู่ตรงกลางลาน

“ขึ้นหลังม้าแล้วตามข้ามา ! ”

เสียงเกือกม้าดังก้องไปทั่วทั้งหุบเขา ผู้สังเกตการณ์ยืนมองอยู่เงียบ ๆ ภายใต้แสงจันทรา ทันใดนั้นก็หันไปเอ่ยกับเกาหยวนหยวนว่า “พวกเจ้าก็ออกเดินทางได้”

“ให้ไปที่ใดเยี่ยงนั้นหรือ ? ”

“ลัทธิจันทรา ! ”

เกาหยวนหยวนพาศิษย์น้องสามคนออกจากสำนักไปภายใต้แสงจันทราสีเหลืองนวล จึงเหลือเพียงผู้สังเกตการณ์คนเดียวเท่านั้นที่ยังคงอยู่ในสำนักเต๋า

ทันใดนั้นเขาก็มองไปที่จันทราแล้วหัวเราะออกมา

“มิโดดเดี่ยวไปหน่อยหรือ… ? ”