ราชันเร้นลับ 509 : คำขอร้อง โดย Ink Stone_Fantasy
“แล้วครอบครัวดิเมอดอร์อยู่ไหน?”
“ในภัตตาคาร”
เออร์ดี้·แบรนช์ตอบโดยไม่คิดมาก
จากนั้น มันชี้นิ้วไปทางจุดซึ่งเคยมีศีรษะเน่าเปื่อยขึ้นราเกลือกกลิ้ง พลางซักถาม
“เมื่อครู่มันอะไร”
ไคลน์ ผู้ต้องการรักษามาดเงียบขรึมของเกอร์มัน·สแปร์โรว์ ตัดสินใจไม่ตอบ เพียงชำเลืองเดนิสเล็กน้อยและเดินผ่านครอบครัวดอนน่าไปยังประตูภัตตาคาร
เดนิส·เพลิงพิโรธถือตะเกียงเดินตามหลังมาไม่ห่าง เมื่อตระหนักว่าถึงจุดหมายเสียที มันเผยสีหน้าโล่งใจเล็กๆ พร้อมกับยืดอด
“พวกคุณยังไม่ต้องสงสัยว่ามันคืออะไร ให้เข้าใจว่าเป็นสัตว์ประหลาดดุร้ายและพยายามทำร้ายมนุษย์ก็พอ”
หากไม่ใช่เพราะเกอร์มัน·สแปร์โรว์ยืนห่างออกไปไม่กี่เมตร มันคงจะโพล่งออกไปอย่างภาคภูมิใจว่า :
ท่านเดนิส·เพลิงพิโรธผู้ยิ่งใหญ่มาช่วยพวกแกทุกคนแล้ว!
คลีฟส์ชำเลืองเซซิลและทีก ก่อนจะเดินไปข้างหน้าเพื่ออธิบายกับนายจ้าง
“ไว้ค่อยถามหลังจากถึงโมราขาว”
บอดี้การ์ดทั้งสามล้วนเคยเป็นนักผจญภัยมาก่อน บางคนมีประสบการณ์มาก บางคนยังมือใหม่ แต่ก็มีหนึ่งสิ่งร่วมกันคือ ความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับสัตว์ประหลาดยังอยู่ในระดับข่าวลือและคำบอกเล่าจากขี้เมาในผับ ฉากเหตุการณ์เมื่อครู่จึงคล้ายกับกำลังฝันไป
แต่เนื่องจากเคยเห็นตัวเมอร์ล็อกมาแล้ว จึงพอจะทำใจยอมรับการมีตัวตนของสัตว์ประหลาดอัปลักษณ์และน่ากลัวอื่นๆ ได้
เมื่อใจเย็นลง สติของแต่ละคนเริ่มกลับมา สองมือบีบกำด้ามปืนแน่นกระชับ
อย่างไรก็ตาม แสงสีขาวโพลนจากฟากฟ้ายังอยู่นอกเหนือจินตนาการและความเข้าใจไปไกลมาก พวกมันกำลังรู้สึกว่า โลกทัศน์และมุมมองต่อชีวิตของตนช่างไร้เดียงสา
ประสบการณ์ชีวิตในอดีตเริ่มถูกสั่นคลอน
แต่ก็ทำอะไรไม่ได้มากนัก จำต้องยอมรับความอ่อนหัดของตัวเอง และสะกดอารมณ์หดหู่เอาไว้ในใจก่อน
ไคลน์หยุดยืนหน้าทางเข้าภัตตาคารมะนาว
ตามด้วยการยกมือขวาเคาะ
ก็อก! ก็อก! ก็อก!
มันเคาะสามครั้งเป็นจังหวะ แต่ไม่มีสิ่งใดตอบสนองกลับมานอกจากความเงียบงัน
ถ้าไม่ใช่เพราะแสงเทียนสีเหลืองส่องลอดช่องว่างหน้าต่างและประตู ไคลน์คงคิดว่าภัตตาคารแห่งนี้เป็นตึกร้าง
ตึง! ตึง! ตึง!
ชายหนุ่มเคาะอีกสามครั้ง
ภายในร้านอาหาร ความเงียบงันยังคงครอบงำไม่แปรเปลี่ยน คล้ายกับทุกคนทำตามธรรมเนียมไม่ตอบสนองเสียงเคาะในยามสภาพอากาศเลวร้ายอย่างเคร่งครัด
ไคลน์ชักมือขวากลับและนำไปทาบไว้กับชายเสื้อโค้ทกระดุมสองแถว
จากนั้น มันโน้มตัวไปข้างหน้าเล็กน้อย ตามด้วยการใช้เข่าขวากระทุ้งใส่ประตู
เมื่อสิ้นเสียง ‘โครม!’ ประตูภัตตาคารเปิดออกทันทีในสภาพหมุดยึดหลุดกระเด็น
ฟ็อกซ์ในชุดทักซิโด้ ผู้เป็นเจ้าของใบหน้าอ้วนท้วน ยังคงยืนในจุดเดิม สุภาพบุรุษและสุภาพสตรีซึ่งเลือกจะพักค้างคืน ได้เปิดประตูออกมาจ้องอย่างเงียบงัน
“ต้องการอะไร” สีหน้าฟ็อกซ์ปราศจากความฉุนเฉียวเหมือนช่วงก่อน เพียงแต่ในมือกำลังถือลูกโม่ดัดแปลงแน่น
ไคลน์มองไปรอบตัวด้วยเนตรวิญญาณ แต่ก็ไม่พบออร่าความชั่วร้ายจากมนุษย์ภายในอาคารแม้แต่คนเดียว
มันจ้องฟ็อกซ์อย่างใจเย็น ก่อนจะหันไปมองใบหน้าของลูกค้ารายอื่นจนครบถ้วน
“ครอบครัวดิเมอดอร์อยู่ไหน”
ฟ็อกซ์พยายามระงับอารมณ์ ดวงตาสีน้ำเงินเข้มของมันคล้ายกับกำลังมีลมพายุเกรี้ยวกราดอาละวาดอยู่ภายใน มันยืนเงียบเช่นนั้นราวสองวินาที ก่อนจะเอียงคอในลักษณะผิดธรรมชาติและกล่าวเสียงเรียบ
“บนชั้นสอง… ยังเหลือโต๊ะใหญ่ของแขกต่างถิ่นอีกหนึ่งครอบครัว”
“เรียกพวกเขาลงมา” ไคลน์สั่งเย็นชา
ฟ็อกซ์เงียบงันสักพัก จนกระทั่งเห็นไคลน์ชักลูกโม่ดัดแปลงออกมาเล็งศีรษะตน
เจ้าของภัตตาคารสูดลมหายใจยาว ก่อนจะยอมส่งบริกรขึ้นไปพาครอบครัวดิเมอดอร์ลงมายังชั้นล่าง
“เกิดอะไรขึ้น” ดิเมอดอร์ชายอายุราวสามสิบ ผู้กำลังอยู่ในช่วงวันหยุดพักร้อนพร้อมกับภรรยาข้าวใหม่ปลามัน
ไคลน์ลดปากกระบอกปืนลงและพูดหน้านิ่ง
“ท่าเรือแบนชีมีเหตุการณ์ไม่ปรกติเกิดขึ้น คุณจะกลับไปกับพร้อมพวกผม หรือจะอยู่ร้านนี้ต่อ”
“เหตุการณ์ไม่ปรกติ?” ดิเมอดอร์ทวนคำพลางเหลือบมองเออร์ดี้·แบรนช์
มันพอจะทราบว่าอีกฝ่ายเป็นพ่อค้าส่งออกผู้มั่งคั่ง และจ้างบอดี้การ์ดร่วมทางมาด้วยจำนวนสามคน ฉะนั้น หากมีเหตุไม่คาดฝันเกิดขึ้นจริง การอยู่ร่วมกับคนกลุ่มนี้ย่อมปลอดภัยมากกว่าตามลำพัง
สำหรับธรรมเนียมพิสดารของท่าเรือแบนชี มันมองว่าเป็นแค่นิทานหลอกเด็กเท่านั้น!
ดิเมอดอร์จับมือภรรยาใหม่และเดินไปทางประตูด้วยรอยยิ้มสุภาพ
“ทรัพย์สินของเราอยู่บนเรือทั้งหมด ดังนั้นเราจะไปกับพวกคุณ… ขอบคุณมากสำหรับการแวะมารับ”
มันกับภรรยาเดินผ่านไคลน์และกล่าวขอบคุณอย่างจริงใจ ก่อนจะไปรวมตัวกับครอบครัวแบรนช์ด้านหลัง
ไคลน์ลดปืนลงและก้มหัวให้ฟ็อกซ์เล็กน้อย
“ขออภัย”
เมื่อพูดจบ ชายหนุ่มหันหลังกลับ และเห็นคลีฟส์กับคนอื่นกำลังถูกฉาบด้วยแสงสีเหลืองนวลจากด้านในภัตตาคาร
โครม! ประตูภัตตาคารมะนาวปิดสนิทอีกครั้งพร้อมกับสายลมหมุนวนแผ่วเบา
ไคลน์ตระหนักถึงบรรยากาศผิดแผก แต่เนื่องจากเนตรวิญญาณไม่พบสิ่งน่าสงสัย จึงปล่อยผ่านโดยไม่คิดสืบสวนลึกมากกว่านี้ เพราะเกรงว่าจะทำให้ ‘อันตรายซ่อนเร้น’ ของท่าเรือแบนชีปะทุออกมา
เมื่อกลับมายืนข้างเดนิส ไคลน์นับจำนวนคณะเดินทางในปัจจุบันด้วยความช่วยเหลือจากแสงตะเกียง
ครอบครัวดอนน่ามีสี่ บอดี้การ์ดอีกสาม รวมถึงคู่รักดิเมอดอร์และคนรับใช้…
ไคลน์ย้ายลูกโม่ดัดแปลงในมือขวาไปถือรวมกับไม้ค้ำในมืออีกข้าง ก่อนจะใช้มือขวาล้วงกระเป๋าเสื้อเพื่อสัมผัส ‘เข็มกลัดสุริยัน’ อย่างอ่อนโยน
ทันใดนั้น แสงสีทองเข้มได้ส่องประกายออกจากตัวไคลน์ แผ่ไปยังทุกคนรอบตัวในลักษณะคล้ายคลื่นน้ำ
ดอนน่าและคนอื่นๆ เริ่มรู้สึกคล้ายกับ กำลังอาบแดดใต้แสงอาทิตย์อบอุ่น ความหนาวเย็นในร่างลดทอนลงหลายระดับ
ความวิตกกังวลถูกขจัด คล้ายกับได้รับความกล้าหาญเพิ่มขึ้นเล็กน้อย
ไม่เพียงเท่านั้น เศษเสี้ยวออร่าของโลกวิญญาณซึ่งเกิดจากการกินเนื้อหมักเกลือเมืองท่าดาเมียร์ ได้ถูกขจัดไปพร้อมกัน
พลัง ‘ออร่าสุริยัน’ สามารถเสริมความกล้าหาญของพวกพวกพ้องภายในรัศมียี่สิบเมตรพร้อมกับขจัดความชั่วร้ายในร่างกาย
ภายใต้การควบคุมด้วยพลังวิญญาณและความนึกคิด ไคลน์สามารถเลือกได้ว่าจะช่วยเป้าหมายคนใดบ้าง และมองข้ามเป้าหมายคนใดบ้าง
“แวะสำนักงานโทรเลขก่อน” ไคลน์เน้นย้ำ พลางย้ายปืนกลับมาถือในมือขวา ก่อนจะเดินนำทุกคนไปยังด้านหน้าสุด
เดนิสรู้งาน มันเดินขยับเฉียงมาด้านข้างโดยปล่อยให้คลีฟส์ เซซิล และทีก ประกบอีกสามมุมของขบวนแถว
คณะเดินทางรวมสิบห้าชีวิต… หากถูกโจมตีกะทันหันคงเลี่ยงความเสียหายได้ยาก เพราะนอกจากเดนิสก็ไม่มีใครช่วยแบ่งเบาภาระ…
เราควรทำยังไงดี…
ทันใดนั้น ไคลน์ฉุกคิดบางสิ่ง มือขวาเลื่อนปืนพกกลับไปเก็บในซองใต้รักแร้ และย้ายไม้ค้ำมาถือด้วยมือขวาแทน
ชายหนุ่มเลื่อนมือซ้ายล้วงหากล่องบุหรี่โลหะซึ่งกางกำแพงวิญญาณผนึกไว้ ก่อนจะเปิดฝ่าและนำนกหวีดทองแดงของอะซิกออกมาถือและควงเล่นเป็นครั้งคราว
ไคลน์เชื่อว่า ‘สัตว์ประหลาดหัวคน’ จะไม่เล็งเป้าหมายอื่นนอกจากนกหวีดทองแดงทรงโบราณอันนี้
ด้วยเจ้านี่ เราก็ไม่ต้องกังวลว่าจะช่วยสมาชิกคนอื่นไม่ทัน เฮ่อ…บทบาทของตัวแทงค์ช่างวุ่นวายซะจริง…
ไคลน์ถอนหายใจยาวและเริ่มเดิน
ทันใดนั้น ศีรษะน่ารังเกียจสามเศียรได้พุ่งออกจากสายหมอกเจือจางด้านหน้า ทั้งหมดตรงดิ่งมายังไคลน์ราวกับหัวลูกศร ไม่แยแสเป้าหมายอันโอชะโดยรอบเลยสักนิด
สามหัว…!
รูม่านตาเดนิสพลันหดตัว มันกังวลว่าสัตว์ประหลาดเกอร์มัน·สแปร์โรว์อาจลนลานจนจัดการไม่ทัน แต่ขณะเดียวกันก็อยากเห็นฝีมือแท้จริงของอีกฝ่าย
สามเลยหรือ…
ไคลน์ตวัดมือซ้ายคล่องแคล่ว โยนนกหวีดทองแดงของอะซิกลอยขึ้นไปในอากาศ
และไม่ผิดคาด ศีรษะน่ารังเกียจทั้งสามได้พุ่งเป็นวิถีโค้งขึ้นไปหาเป้าหมายหลักของมัน
ไคลน์ถอยกลับมาครึ่งก้าว พลางใช้มืออีกข้างล้วงจับเข็มกลัดสุริยันโดยไม่เปลี่ยนสีหน้า
ทันใดนั้น ในจุดของนกหวีดทองแดง กลุ่มก้อนเปลวเพลิงสีทองผุดขึ้นจากอากาศว่างเปล่าอย่างหนาแน่น บรรยากาศโดยรอบพลันท่วมท้นด้วยกลิ่นอายความศักดิ์สิทธิ์
“เพลิงแสงศักดิ์สิทธิ์!”
ศีรษะเน่าเปื่อยและเหี่ยวแห้งทั้งสามส่งเสียงกรีดร้องพร้อมเพรียง ก่อนจะกลายเป็นละอองเถ้าถ่านท่ามกลางเปลวเพลิงสีทอง
ไคลน์ขยับไปข้างหน้าสองก้าวเพื่อคว้านกหวีดทองแดงซึ่งกำลังร่วงหล่น
…ทำแบบนี้ได้ด้วยหรือ? ยังมีสมบัติวิเศษซ่อนอยู่อีกรึไง?
เดนิสยืนตัวแข็งไปสักพัก มันยังไม่อยากเชื่อว่าอีกฝ่ายจะจัดการได้ง่ายดายเช่นนี้
ดิเมอดอร์และภรรยาย่อมเห็นฉากเมื่อครู่เต็มสองตา คนหนึ่งยืนสั่นด้วยสีหน้าซีดเซียว ส่วนอีกคนซักถามด้วยริมฝีปากระริก
“ม…เมื่อครู่มันอะไรกัน”
ดอนน่ารีบหันไปมองและพยักหน้าขึงขัง
“ไว้ค่อยถามหลังจากถึงโมราขาวค่ะ”
เมื่อพูดจบ เด็กสาวยกนิ้วชี้ขึ้นมาทาบริมฝีปากในแนวตั้ง เป็นการเลียนแบบภาษากาย ‘เงียบก่อน’ ของลุงสแปร์โรว์
ดิเมอดอร์หวนนึกถึงบรรยากาศศักดิ์สิทธิ์รอบตัวชายหนุ่มด้านหน้าสุด จึงทำเพียงกลืนน้ำลายอึกใหญ่และกุมมือภรรยาไว้แน่น ส่วนคนรับใช้อื่นๆ ต่างก็ไม่กล้าแสดงความเห็น
คณะเดินทางยังคงเดินต่อไปบนถนนสลัวฉาบแสงจันทร์ สองฝั่งทางเดินมีเพียงบ้านเรือนมืดมิด ราวกับไม่เคยมีใครอาศัยอยู่
ดอนน่าสัมผัสได้ว่า สายตาหลายคู่กำลังมองตามการเคลื่อนไหวของทุกคน แต่ด้วยเหตุผลบางประการ พวกมันยังไม่กล้าปรากฏตัวออกมา
พวกมันหวาดกลัวลุงสแปร์โรว์!
เด็กสาวรีบบีบมือน้องชายแน่นและเดินจูงเข้าไปในวงล้อมอ้อมอกพ่อแม่
ทันใดนั้น ร่างหนึ่งปรากฏตัวบนถนนตรงหน้า สวมเสื้อคลุมสีดำ ลำตัวโน้มมาด้านหน้าเล็กน้อยคล้ายเต็มกระโจนใส่ แสงจันทร์ช่วยเผยให้เห็นลำคอโชกเลือดอันปราศจากศีรษะ
แฮ่ก!
ร่างไร้หัวส่งเสียงหายใจคล้ายสัตว์ร้ายกำลังหายใจดัง พร้อมกับปรี่เข้าหาไคลน์ด้วยความเร็วอันน่าทึ่ง
แต่จากตำแหน่งดังกล่าว มันต้องวิ่งผ่านเดนิสก่อนมาถึงไคลน์
แม่เย็*! เดนิสสบถพลางโบกแขนโยนก้อนเพลิงสีส้มอมเหลือง เป็นเวทมนตร์ไฟซึ่งเกิดการบีบอัดเพลิงเข้าไปหลายชั้น
บึ้ม!
ก้อนไฟปะทะร่างศพไร้หัว มันชะงักพร้อมกับเซถอยหลังไปสามก้าว
เสื้อผ้าไหม้เกรียม ผิวหนังถูกแผดเผา ตามชายเสื้อคลุมยังคงมีประกายไฟหลงเหลือ
แต่สำหรับสัตว์ประหลาดซึ่งตายไปแล้ว อาการบาดเจ็บเท่านี้ไม่มากพอจะทำให้สั่นคลอน
ทันใดนั้น เศษเปลวเพลิงตกค้างบนเสื้อคลุมสีดำ เกิดลุกโชนขึ้นมาอีกครั้งอย่างไร้เหตุผล ปลายไฟลอยสูงขึ้นไปในอากาศ
ไคลน์ในเสื้อโค้ทกระดุมสองแถวโผล่ออกจากยอดเพลิงด้านบน อาศัยแรงโน้มถ่วงและพละกำลังส่วนตัว เสียบไม้ค้ำใส่ต้นคอชุ่มเลือดอย่างสุดแรง
ฉึก!
ปลายไม้ค้ำสีดำ ทะลวงเป็นเส้นตรงจากลำคอลงมาโผล่ใต้เป้ากางเกง
โครม!
ไคลน์เกร็งกล้ามเนื้อหลังและจับร่างของชายไร้หัวทุ่มลงกับพื้น
ฉวยโอกาสได้เปรียบ ชายหนุ่มเกร็งแขนข้างถือไม้ค้ำเพื่อตรึงมิให้ ‘ร่างเสียบไม้’ มีโอกาสขยับเขยื้อน ตามด้วยการถ่ายพลังวิญญาณเข้าไปในเข็มกลัดสุริยัน
เมื่อประเมินข้อมูลจากเนตรวิญญาณ มันทราบว่าพลัง ‘อัญเชิญแสงศักดิ์สิทธิ์’ ‘ฟาดฟันชำระล้าง’ และ ‘เพลิงแสงศักดิ์สิทธิ์’ ไม่รุนแรงพอจะจัดการกับสัตว์ประหลาดออร่าเขียวเข้มตนนี้ได้ จำเป็นต้องใช้วิธีอื่นแทน
ห้าวินาที. สี่วินาที. สามวินาที.
ชายหัวขาดพยายามดิ้นรนขัดขืน แต่สภาพก็ไม่ต่างจากงูถูกตอกหมุดตรึงไว้กับพื้น
สองวินาที. หนึ่งวินาที!
ไคลน์อ้าปากพ่นถ้อยคำเฮอร์มิสโบราณ
“สุริยัน!”
เหนือร่างไร้หัว ประกายแสงระยิบระยับผุดจากความว่างเปล่า ก่อนจะควบแน่นกลายเป็นหยดน้ำสีขาวโพลนจำนวนมาก และโปรยปรายลงบนตัวชายหัวขาด
ฉ่า—! ฉ่า!
ควันสีเขียวเข้มปะทุท่วมท้น ไคลน์รีบปล่อยมือจากไม้ค้ำและขยับหลบไปด้านข้างสองก้าว
ในระหว่างนั้น ‘ฝน’ โปรยปรายได้ทำให้ร่างกายของสัตว์ประหลาดชักกระตุกรุนแรง
ผ่านไปสักพัก เหตุการณ์สงบลงพร้อมกับการละลายหายไปของศพไร้หัว เหลือเพียงบ่อเลือดแดงฉานข้นคลั่ก
ไม่มีตะกอนพลัง… หมายความว่าเจ้านี่ไม่ใช่ศัตรูตัวจริง…
อ้างอิงตามทฤษฎีคงเป็นสัตว์รับใช้…
ไคลน์ดึงไม้ค้ำกลับและหันไปหาทุกคน
“เท่มาก!” แดนตันอุทาน
ดวงตาของดอนน่าเองก็กำลังเปล่งปลั่ง
ยังคงใช้สมบัติวิเศษเป็นหลัก… แต่การหายตัวไปโผล่ด้วยประกายเพลิงคือพลังพิเศษของเส้นทาง ถือเป็นพวกรับมือได้ยาก…
เดนิส·เพลิงพิโรธพลันโล่งใจและภูมิใจว่าตนฉลาดมากเพียงใด กับการไม่เลือกเป็นศัตรูกับเกอร์มัน·สแปร์โรว์ส่งเดช
ราวเจ็ดถึงแปดนาทีถัดมา คณะเดินทางซึ่งเก็บกวาดการโจมตีเพิ่มอีกสองระลอก ได้มาถึงสำนักงานโทรเลขประจำท่าเรือแบนชี
คลีฟส์อาสาเดินไปเคาะประตู
“ใคร?” เสียงผู้หญิงอ่อนโยนดังเอื่อย
“พวกเรากำลังตามหามิสเตอร์ไอร์แลนด์ กัปตันของโมราขาว” คลีฟส์ตอบ
ท่ามกลางค่ำคืนเงียบงัน หญิงสาวกล่าวด้วยน้ำเสียงไม่เร่งรีบ
“เขาและต้นเรือเข้าไปหลบพายุในวิหารด้านข้าง”
เสียงของเธอค่อนข้างแปลก… หรือพูดในลักษณะนี้เป็นปรกติอยู่แล้ว?
ไคลน์โยนเหรียญทองเพื่อทำนายยืนยันว่าอีกฝ่ายไม่ได้โกหก
เมื่อคณะเดินทางกำลังจะจากไป ผู้หญิงด้านในสำนักงานกล่าวด้วยเสียงลังเล
“พวกคุณ… ช่วยฝากข้อความไปถึงคนคนหนึ่งแทนฉันได้ไหม เขาเป็นเพื่อนร่วมงาน แต่ออกไปข้างนอกก่อนพายุจะเข้า จากนั้นก็ไม่กลับมาอีกเลย ชื่อของเขาคือ… ฟราโว·คอร์ท”
……………………