หลังจากที่จางจีพูดคำเหล่านี้จบ ทุกคนที่อยู่ในพื้นที่โดยรอบต่างก็ตกอยู่ในความเงียบ มู่หลงหยุนหลานและจ้าวเสี่ยวหยาต่างกลับมาทำตัวเรียบร้อย
“แค่ก ข้าพึ่งจะมาถึงและเตรียมที่จะกลับเข้าไปในสวนหน่ะ”
เฉินเฉินไอเบาๆออกมาสองทีเพื่อซ่อนความอับอายของเขาไว้
จางจีเห็นดังนั้นและต้องการที่จะพูดอะไรบางอย่างออกมา แต่เขาก็ทำตัวเงียบหงอยลง เมื่อเขาสังเกตเห็นเฉินเฉินจ้องมาที่เขาอย่างโกรธเคือง
“ไปพูดข้างในละกัน เข้าไปก่อนเถอะ”
เฉินเฉินเปิดประตูสวนออก
“ทุกคน เข้ามาด้านในได้เลย”
…
ไม่กี่ชั่วขณะต่อมา ทั้งสี่คนต่างนั่งกันอยู่ในห้องนั่งเล่นในสวนของเขา
จ้าวเสี่ยวหยาเป็นคนแรกที่พูดขึ้น
“ศิษย์พี่เฉินเฉิน ขอบคุณมากที่มาหาข้าเมื่อคืนก่อน ไม่อย่างงั้นแล้วข้าคงจะเอาชีวิตไม่รอดแน่เลยค่ะ เมื่อคืน ข้าไม่ได้มีเวลามากพอที่จะขอบคุณท่าน เนื่องจากข้าไม่สบาย ได้โปรดยกโทษให้ข้าด้วยค่ะ ศิษย์พี่เฉินเฉิน”
“ไม่เป็นไรหรอก พวกเราก็ต่างเป็นลูกศิษย์ของสำนักเดียวกัน” เฉินเฉินโบกมือ น้ำเสียงของเขาดูใจเย็นมาก เขาทำตัวเหมือนกับศิษย์พี่ของเธอจริงๆ
พูดตามจริงแล้ว เขาจะพูดธรรมดาได้นั้นทั้งสองคนจะต้องพูดคุยกันปกติธรรมดา ไม่อย่างงั้นแล้วหลังจากที่เขาได้ยินบทสนทนาของทั้งสองสาวแล้ว เขาคงจะทำตัวร้อนรนด้วยเช่นกัน
“มันไม่มีทางเลยที่ข้าจะสามารถตอบแทนบุญคุณที่ท่านช่วยชีวิตข้าไว้ได้เลย ศิษย์พี่เฉินเฉิน ถ้าท่านมีคำขออะไรในอนาคตแล้ว ข้าจะทำตามอย่างไม่ปฏิเสธอะไรค่ะ”
หลังจากที่เธอพูดจบ จ้าวเสี่ยวหยาเหลือบตามองไปที่เฉินเฉิน เหมือนกับว่าเธอกำลังสื่ออะไรบางอย่างออกมา
เฉินเฉินหน้าแดงและรีบหันหน้าไปมองมู่หลงหยุนหลานทันที
“ศิษย์น้องมู่หลง…เจ้ามีอะไรหรือ?”
เขารู้ดีว่าเธอมาที่นี่เพื่ออะไร แต่เขายังแสร้งทำตัวเป็นไม่รู้อยู่ดี ไม่อย่างงั้นแล้วพวกเธอคงจะทำตัวกันไม่ถูก
เมื่อได้ยินคำพูดของเขาแล้ว มู่หลงหยุนหลานยิ้มและลุกขึ้นยืน เธอก้มหัวลงด้วยความเขินอายที่ประดับไว้บนใบหน้า เธอนำเสื้อคลุมออกมาจากกระเป๋าเก็บของที่เธอพกมาด้วย
“ศิษย์พี่ค่ะ ท่านได้ช่วยข้าจากสถานการณ์ที่น่าอึดอัดใจในวันนั้นและข้าไม่หลงลืมบุญคุณนั้นเลย ฤดูใบไม้ร่วงใกล้จะเริ่มต้นขึ้นแล้ว ข้าจึงได้ถักเสื้อคลุมนี้มาให้กับศิษย์พี่ค่ะ ข้าหวังว่าศิษย์พี่จะไม่รังเกียจนะคะ”
หลังจากพูดเสร็จ มู่หลงหยุนหลานเดินตรงไปหาเฉินเฉินและมอบชุดคลุมให้กับเขา
ด้วยเหตุผลบางอย่าง ห้องนั่งเล่นตกอยู่ในความเยือกเย็น
จางจีนั่งลงอยู่ตรงมุมห้อง ตาของเขาจดจ้องลงไปบนที่พื้น มันเหมือนกับว่าเขากำลังจ้องไปที่มดที่เดินอยู่บนพื้นยังไงยังงั้น
“ศิษย์น้อง…ขอบคุณมาก”
เฉินเฉินรับชุดคลุมและใส่มันลงไปในแหวนเก็บของ ตั้งแต่ที่เธอถักมันด้วยตัวเองแล้ว เขาก็ไม่มีทางที่จะปฏิเสธเธอลงได้
จ้าวเสี่ยวหยาดูเป็นคนที่เข้าถึงได้ยากภายนอกแต่เธอกลับเป็นคนอ่อนโยนตามธรรมชาติ ในขณะที่มู่หลงหยุนหลานเป็นอีกด้านหนึ่ง แต่ทั้งสองคนต่างงดงามกันทั้งนั้น
มันเป็นเรื่องโชคร้าย ถ้าภัยคุกคามของสำนักเทียนหยุนยังไม่ถูกจัดการไป เขาจะไม่มีอารมณ์ที่จะตกหลุมรักใครสักคน ไม่อย่างงั้นแล้วถ้าบุตรของเขาตายลงในอนาคต เขาคงจะเสียใจมากๆ
อะแฮ่ม นอกจากนี้แล้ว เขายังพึ่งจะอายุ 16ปีเท่านั้น ร่างกายของเขายังไม่ได้เติบโตเต็มที่ด้วยซ้ำ…
“ศิษย์น้องมู่หลง เจ้ามาจากตระกูลที่ร่ำรวยเช่นนั้น ข้าไม่ได้คาดคิดเลยว่าเจ้าจะรู้วิธีการถักสาน แต่มันก็เป็นแค่ความสามารถเล็กน้อยทั่วไปเท่านั้นแหละ อย่าทำให้เสียเวลาการฝึกตนกับเรื่องแบบนี้สิ”
จ้าวเสี่ยวหยาที่ยืนอยู่ด้านข้างพูดออกมาด้วยน้ำเสียงที่เย็นชา เธอเหลือบตามองไปที่มู่หลงหยุนหลานด้วยสายตาที่เต็มไปด้วยความอิจฉา
เนื่องจากเธอมาอย่างรีบร้อน เธอจึงไม่ได้มีโอกาสเตรียมของขวัญมดาด้วย มันมีของล้ำค่ามากมายที่อยู่ในแหวนเก็บของของเธอ แต่พวกมันไม่สามารถที่จะเทียบกับชุดคลุมทำมือได้เลย!
‘ฮึ่ม! เจ้าเด็กน้อยเจ้าเล่ห์นี่! มันก็ไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไรหรอก แม้ว่าเจ้าจะรู้วิธีเย็บปักถักร้อย! ข้าจะกลับไปฝึกฝนบ้าง!’
ในอีกด้านหนึ่ง มู่หลงหยุนหลานยังคงดูใจเย็นและเธอก็ตอบกลับ “ศิษย์พี่ไม่ต้องกังวลไปหรอกค่ะ ผู้อาวุโสสูงสุดได้รับข้าไปเป็นลูกศิษย์แล้ว นอกจากนี้แล้ว วิชาเย็บปักถักร้อยอาจจะเป็นวิชาเล็กน้อยทั่วไป แต่มันก็สามารถที่จะฝึกฝนความอดทนและควบคุมอารมณ์ให้ใจเย็นได้อีกค่ะ”
เมื่อเห็นสองสาวต่างโต้เถียงกันไปมา เฉินเฉินจ้องไปที่จางจีอย่างดุดัน
เมื่อเป็นลูกน้องของเขาแล้ว จางจีควรที่จะพูดขัดอะไรสักอย่างออกมาสิ มันจะได้ทำให้ความน่าอึดอัดอันนี้มันหมดไป
แต่เจ้าเด็กนี่มัวทำอะไรอยู่อีก?
เขายังเหม่อมองพื้นอยู่นั่นแหละ!
‘เจ้าเด็กนี่ไม่ไหวเลย!’
เพียงแค่เฉินเฉินกำลังจะจัดการกับสถานการณ์ที่เกิดขึ้น เสียงใสก็ดังขึ้นมาจากด้านนอกสวน
“ศิษย์พี่สาวจ้าว เรื่องแบบนี้จะไม่อยู่ไปตลอดหรอกนะ อย่ารังแกคนที่อ่อนแอกว่าสิ!”
ทันทีที่เสียงนี้ดังขึ้น ทุกคนที่อยู่ในห้องต่างตกอยู่ในความเงียบ มันเงียบจนกระทั่งได้หยินเสียงเข็มตกลงบนพื้นได้เลย ใบหน้าที่งดงามของมู่หลงหยุนหลานเขินอายขึ้นทันที เธออยากที่จะขุดหลุมและกระโดดลงไปมาก
เฉินเฉินตกใจ!
‘เจ้าผักบุ้งน้อยที่ชอบเลียนแบบคำพูดเอาอีกแล้วนะ เจ้ารอให้พวกเราไปก่อนไม่ได้หรือไง?’
‘เจ้าคิดว่ามันยังน่าอายไม่พออีกหรือไง?!’
ถึงแม้ว่าเฉินเฉินจะตื่นตกใจ เขาก็ยังใช้ชีวิตมาอย่างยาวนานมาก เขาจึงอธิบายออกมาด้วยความหน้าด้าน “ข้าได้เลี้ยงดอกไม้อสูรไว้ในสวนสมุนไพร ซึ่งมันชอบพูดเรื่องไร้สาระออกมาหน่ะ ทุกคน อย่าไปใส่ใจมันเลยนะ”
หลังจากที่เขาพูดจบ เจ้าผักบุ้งน้อยพูดขึ้นอีกครั้ง ครั้งนี้เสียงของมันต่ำมาก ซึ่งมันกำลังเลียนเสียงของจ้าวเสี่ยวหยา
“ศิษย์น้องมู่หลง ข้าแนะนำว่าเจ้าควรที่จะหลีกเลี่ยง ไม่ต้องมายังยอดเขาหลักบ่อยนักนะ มันรบกวนศิษย์พี่เฉิน”
หลังจากที่ได้ยินคำพูดเหล่านี้ เฉินเฉินกรอกตาและนั่งเอนหลังทันที
‘ช่างมัน เจ้าทำตามที่เจ้าต้องการได้เลย ข้ายอมแพ้ที่จะปรับความคิดพวกเจ้าแล้ว มันไม่มีลูกน้องข้าคนใดที่พึ่งพาได้เลยสักคน’
มันมีความกระอักกระอ่วนอย่างมากในห้องนั่งเล่น นอกจากเฉินเฉินแล้ว ทั้งสามคนต่างจดจ้องกันไปที่เพดานกันทั้งนั้น
หลังจากผ่านไปสักพักหนึ่ง มู่หลงหยุนหลานไม่สามารถที่จะทนอยู่ในห้องได้อีกต่อไป เธอลุกขึ้นยืนด้วยใบหน้าที่แดงฉาน ก่อนที่จะพูดขึ้น “ศิษย์พี่เฉินเฉินคะ ข้าขอตัวกลับไปฝึกตนก่อนละ ขอตัวก่อนนะคะ”
ทันทีที่เธอพูดจบ จ้าวเสี่ยวหยาก็ยืนขึ้นด้วยเช่นกัน
“ศิษย์พี่ ข้าก็ต้องกลับไปรับประทานยาด้วยเช่นกันค่ะ ขอตัวก่อนนะคะ”
หลังจากที่จ้าวเสี่ยวหยาพูดเสร็จ ทั้งสองสาวต่างรีบวิ่งออกไปจากในสวน ก่อนที่เฉินเฉินจะได้พูดอะไร พวกเธอต่างหวาดกลัวว่าเจ้าผักบุ้งในสวนสมุนไพรจะพูดอะไรที่ทำให้พวกเธออับอายอีกไหม
…
หลังจากที่ทั้งสองสาวจากไป จางจีเงยหน้าขึ้นและถอนหายใจยาวออกมาอย่างโล่งอก
หลังจากที่เห็นจางจีทำแบบนั้นแล้ว เฉินเฉินโกรธมาก มันเป็นครั้งแรกที่เขาเจอลูกน้องที่ขี้กลัวมากขนาดนี้!
‘เจ้าจะดูกลัวไปทำไมกัน? ตอนนั้นเจ้าเกือบจะให้น้องสาวของเจ้าแต่งงานกับข้าแล้ว เจ้ายังจะมากลัวอีกนะ?!’
“พี่ชาย! มันเหมือนกับที่ข้าจินตนาการไว้เลย! มันช่างดุเดือดมาก!”
จางจีตบหน้าอกตัวเองด้วยท่าทางจริงจัง
“พอได้แล้ว เลิกพูดเรื่องไร้สาระนี่กับข้าได้แล้ว สิ่งที่ข้าบอกให้เจ้าไปทำ เป็นยังไงบ้าง?” เฉินเฉินรีบเปลี่ยนหัวข้อ เนื่องจากเขาไม่อยากพูดเรื่องก่อนหน้านี้อีกแล้ว
เมื่อได้ยินคำพูดของเฉินเฉินแล้ว สีหน้าของจางจีซีดลงทันที
“พี่ใหญ่ ข้าได้ทำตามที่พี่บอกไว้เลย ข้าล้มเหลวที่จะตักเตือนผู้อาวุโสนักแปรธาตุ แต่กลับกันข้าได้ทำให้น้ำอมฤตที่เขากำลังทำอยู่สำเร็จเสียอย่างงั้น…”
เฉินเฉินถอนหายใจอย่างโล่งอก เขาไม่ได้ทำพลาดเลยสักนิดและผลลัพธ์มันก็เป็นไปตามที่เฉินเฉินคาดการณ์
“เขาได้มอบอะไรให้กับเจ้าไหม?” เฉินเฉินถามอีกครั้งหนึ่ง
เขาจำได้ว่าระบบนั้นพูดเกี่ยวกับผู้อาวุโสจะมอบน้ำอมฤตระดับสร้างรากฐานสองขวดและคัมภีร์บางเล่ม
เมื่อได้ยินคำพูดของเฉินเฉินแล้ว จางจีโบกมือและตอบกลับ “พี่ เขาพูดว่าเขาต้องการที่จะมอบน้ำอมฤตระดับสร้างรากฐานให้กับข้าละ! เพื่อตอบแทนบุญคุณ ข้าจะรับไปได้ยังไงกัน?” สุดท้ายแล้วเขาได้ยั่วยุพี่ใหญ่ไป! ข้าจึงไม่ได้รับอะไรจากเขาไปและยังด่าเขาตรงนั้นอีก! ไม่ต้องกังวลไปหรอกนะพี่ชาย ข้าไม่ได้เอ่ยถึงชื่อของพี่เลย!”
หลังจากที่เขาพูดเสร็จ จางจีทำหน้าตาภาคภูมิใจมาก มันเหมือนกับว่าเขากำลังรอรับคำชมอยู่
ทันทีที่เขาได้ยินมัน เฉินเฉินก็เงยหน้ามองไปที่เพดานโดยที่ไม่รู้จะพูดอะไรออกมาดี
หลังจากผ่านไปสักพักหนึ่ง เขาก็ตอบกลับ “จางจี นับตั้งแต่นี้เป็นต้นไป มาที่ห้องเรียนของข้าเพื่อเรียนเป็นเวลาสองชั่วโมงในทุกคืน เจ้าจะต้องได้รับการสั่งสอนบ้างแล้ว นอกจากนี้แล้ว ในอนาคต เจ้าต้องออกไปพูดคุยกับคนอื่นให้บ่อยครั้งมากขึ้นด้วย ไม่อย่างงั้นแล้วเจ้าจะกลายเป็นคนโง่ เข้าใจไหม?”
“ครับ แต่พี่ชาย หลังจากที่ข้าด่าเขาไป ผู้อาวุโสยังบอกว่าเขาชอบในนิสัยของข้าและยังดื้อรั้นที่จะรับข้าไปเป็นศิษย์อีก ข้าคิดว่าข้าจะต้องยอมรับโจรให้เป็นอาจารย์ของข้าได้ยังไงกัน ข้าจึงปฏิเสธเขาลง แต่เขายังดื้อรั้นและกระจายข่าวนี้ไปทั่วสำนัก ข้าจึงมาหาพี่ เพราะเรื่องนี้แหละ พี่ชาย พี่ไปบอกเขาได้ไหมว่าไม่ต้องรับข้าเป็นศิษย์หรอก จะได้ไหมครับ?”
จางจีดูไม่พอใจมาก
เฉินเฉินมองไปที่เขาและทุบโต๊ะลง ก่อนที่จะตะโกนออกมาสุดเสียง “ไม่ได้!”