ตอนที่ 424 ฝากดูแล

บุตรอสูรบรรพกาล

ตอนที่ 424

ฝากดูแล

“ท่านหลิงจง ท่านลั่วสุน ยินดีต้อนรับกลับขอรับ”หลังจากเดินผ่านในเมืองเข้ามา ในที่สุดพวกหลิงจงก็กลับมาถึงสำนักของพวกมันเสียที

“ว้าว ยอดเลยพี่หลิงจง สำนักของพวกท่านใหญ่มากจริงๆ”จูล่งพูดพลางมองอาคารของสำนักคร่าตะวันที่หลิงจงและลั่วสุนเป็นศิษย์อยู่ในสำนัก อาคารของสำนักคร่าตะวันนั้นเป็นตึกจำนวนเกือบ 50 ห้องตั้งอยู่ 2 ตึกโดยตรงกลางเป็นอาคารไม้ที่ดูเก่าแก่ตั้งอยู่ดูแล้วสวยงามและเก่าแก่ไปพร้อมๆกันเลยทีเดียว

“ท่านพี่ นึกว่าพวกท่านจะกลับมาไม่ทันเสียแล้ว นี่พวกท่านไปทำอะไรกันมาถึงได้กลับมาช้าเช่นนี้”หญิงสาวคนหนึ่งเดินเข้ามาหาลั่วสุน นางคือภรรยาของลั่วสุนที่พึ่งเข้าหอกันได้ไม่นาน และนางยังเป็นบุตรสาวของเจ้าสำนักอีกด้วย

“ท่านรู้ไหม ข้ากังวลถึงขนาดคิดว่าท่านจะเผลอทำร้ายพี่หลิงจงเพราะท่านพ่อจะมอบตำราตะวันฉานให้กับพี่หลิงจงซะอีก”ภรรยาของลั่วสุนพูดพลางถอนหายใจอย่างโล่งอก หารู้ไม่ว่าตนเองมีลางสังหรณ์ที่แม่นยำไม่น้อยเลย

“เอ่อ…พวกเราแวะระหว่างทางกันนิดหน่อย ก็เลยมาถึงล่าช้า”หลิงจงเห็นลั่วสุนไม่ทราบจะตอบคำถามอย่างไรจึงเสนอตัวตอบคำถามด้วยตนเอง

“งั้นหรือ เห็นพี่หลิงจงกับท่านพี่อยู่ด้วยกันแบบนี้แล้วข้าก็โล่งใจ”ภรรยาของลั่วสุนว่าพลางถอนหายใจอย่างโล่งอกจริงๆ เพราะตั้งแต่วันที่พ่อของนางประกาศจะมอบตำราตะวันฉานให้กับหลิงจง ลั่วสุนก็มีท่าทีไม่พอใจเป็นอย่างมาก จนนางได้แต่กังวลมาตลอดเลยทีเดียว

“พี่หลิงจง สำนักพี่คนเยอะแบบนี้ตลอดเลยงั้นหรือ”ไป๋จูล่งไม่ได้เข้าไปร่วมบทสนธนากับพวกหลิงจง แต่กลับเอาแต่มองในสำนักของหลิงจงด้วยความสนใจ เพราะยามนี้ที่ลานฝึกตรงกลางสำนักนั้นเต็มไปด้วยผู้คนจำนวนมากต่อแถวกันทำอะไรบางอย่าง

“จริงสิ ช่วงนี้เป็นช่วงที่อาจารย์เปิดรับสมัครศิษย์ใหม่นี่นา”หลิงจงตอบเหมือนพึ่งจะนึกออก ตัวหลิงจงเป็นศิษย์รุ่นเก่าจนมีตำแหน่งเกือบจะได้เลื่อนเป็นเจ้าสำนักอยู่แล้ว ฐานะของมันเทียบได้กับรองเจ้าสำนักเลยทีเดียว ทำให้มันไม่ได้ลงมารับสมัครศิษย์ใหม่มานานแล้ว ถึงกับลืมไปเลยว่าช่วงนี้เป็นช่วงรับศิษย์ใหม่ของสำนัก

“ศิษย์ใหม่ ! พี่หลิงจงงั้นข้าขอสมัครบ้างได้หรือไม่”จูล่งถามด้วยท่าทีตื่นเต้น เพราะได้ทราบเรื่องผู้ฝึกฝนพลังวิญญาณมาจากหลิงจง แม้จะได้ทราบว่าตนเองก็มีพลังวิญญาณเช่นกัน แต่ก็ยังไม่เข้าใจนักว่าระดับพลังของตนอยู่ขั้นไหน ในความคิดของจูล่งตนเองน่าจะอยู่เพียงระดับแรกๆเท่านั้นเพราะตั้งแต่เกิดมามันพึ่งเพิ่มพลังวิญญาณของตนได้ไม่กี่ขั้นเท่านั้น

“เจ้าน่ะนะ….”หลิงจงหน้าเบ้พลางมองจูล่งด้วยท่าทีแหยงๆ ให้มันสมัครเข้าสำนักคร่าตะวัน แล้วใครจะไปกล้าสั่งสอนมันกัน ต่อให้เป็นท่านบรรพบุรุษผู้ก่อตั้งก็ไม่ทราบจะเทียบไป๋จูล่งผู้นี้ได้หรือไม่ด้วยซ้ำ

“ไม่ได้หรอกนะ สำนักเราจะรับศิษย์จากสำนักย่อยเท่านั้น ทุกคนที่เจ้าเห็นอยู่ตรงนี้คือศิษย์ที่ผ่านการฝึกจากสำนักย่อยของเรามาแล้ว”ภรรยาของลั่วสุนตอบพลางยิ้มให้จูล่ง นางสัมผัสพลังวิญญาณจากจูล่งไม่ได้เลยแม้แต่น้อย แม้ไม่ทราบว่าทำไมสามีของนางและพี่หลิงจงถึงได้พามันมาด้วย แต่เด็กที่ไม่มีพลังวิญญาณเลยจะให้เข้าสำนักก็คงไม่ได้

“งั้นหรือขอรับ น่าเสียดายจริงๆ”จูล่งว่าพลางทำหน้าหงอยน้อยๆ ส่วนหลิงจงกับลั่วสุนกลับมองหน้ากันเหมือนจะสื่อความหมายให้กันได้ไม่มีผิด

“น้องซู ข้าจะไปพบท่านเจ้าสำนักหน่อย ฝากเจ้ากับลั่วสุนดูแลจูล่งด้วยก็แล้วกัน”หลิงจงว่าพลางหันมาบอกภรรยาของลั่วสุนและตัวลั่วสุนเอง ตัวมันนั้นกำลังจะไปบอกท่านเจ้าสำนักว่าจะส่งมอบตำราตะวันฉานให้กับลั่วสุนและจะขอออกไปช่วยเหลือไป๋จูเหวินในการเลี้ยงดูไป๋จูล่งสักพักหนึ่ง

“ได้เจ้าค่ะพี่หลิงจง ว่าแต่ท่านพาเด็กคนนี้มาทำไมหรือ”น้องซูถามพลางมองมาทางไป๋จูล่ง

“น้องจูล่งเป็นคนช่วยพาหลิงจงไปรักษาตอนที่หลิงจง…ได้รับบาดเจ็บ”ลั่วสุนตอบพลางกระแอมกระไอนิดหน่อย เพราะคนที่ทำให้หลิงจงบาดเจ็บคือลั่วสุนเอง

“บาดเจ็บ! เป็นไปได้ยังไง”น้องซูถามด้วยท่าทีตกใจ หลิงจงเป็นคนรุ่นใหม่ที่มีฝีมือทีเดียว หากไม่ใช่เพราะเจอคนระดับฝีมือสูงกว่าทำร้ายก็แทบไม่มีทางได้รับบาดเจ็บได้นี่นา

“เรื่องนั้น…”

“พี่ลั่วสุน ดีจริงๆที่พี่กลับมาแล้ว”ลั่วสุนยังไม่ทันจะหาข้ออ้าง อยู่ๆศิษย์ในสำนักกลุ่มหนึ่งก็วิ่งเข้ามาหาลั่วสุนทันที

“เกิดอะไรขึ้น”ลั่วสุนได้ทีเปลี่ยนเรื่องจึงตีหน้าจริงจังหันไปถามศิษย์พวกนั้นถึงเรื่องที่ทำให้พวกมันต้องวิ่งกระหืดกระหอบมาหามันทันที

“พวกสำนักจันทร์กระจ่างนะสิขอรับ พวกมันทำร้ายคนของเราที่ตลาดทางเหนือ”ได้ยินเหล่าศิษย์ในสำนักเล่าให้ฟังลั่วสุนก็มีท่าทีไม่พอใจทันที สำนักคร่าตะวันกับจันทร์กระจ่างเป็นสำนักใหญ่ในเมืองแห่งนี้ทั้งคู่ เมื่ออำนาจใกล้เคียงกันก็ย่อมเกิดเรื่องปะทะกันเป็นปกติ ทำให้สำนักทั้งสองไม่ค่อยถูกกันนัก

“แถมมันยังจับคนของเราเอาไว้ด้วย มันบอกว่าให้เอาเงินไปไถ่ตัวพวกมันคืน”ได้ยินเช่นนั้นลั่วสุนก็ปล่อยพลังวิญญาณออกมาทันที

“พวกสำนักจันทร์กระจ่างเห็นว่าข้ากับพี่หลิงจงไม่อยู่ก็เลยหาเรื่องกันสินะ น้องซู ฝากดูแลน้องจูล่งด้วยข้าจะไปช่วยเหลือคนของเรา”ได้ยินเช่นนั้นน้องซูก็กะพริบตาปริบๆพลางมองลั่วสุนเดินออกไป สำนักทั้งสองมีเรื่องกันมาตลอดอยู่แล้ว การปะทะกันนางเห็นจนชิน แถมเพราะสำนักคร่าตะวันมีคนรุ่นใหม่ฝีมือดีอย่างลั่วสุนกับหลิงจง ทำให้ช่วงหลังๆสำนักจันทร์กระจ่างเริ่มไม่ค่อยมาหาเรื่องสำนักคร่าตะวันเท่าไหร่ แต่เพราะหลิงจงและลั่วสุนเดินทางออกไปจากเมืองหลายวันยังไม่กลับ ทำให้เกิดเรื่องแบบนี้ขึ้นมาเสียอย่างนั้น

“งั้นเจ้าก็อยู่กับข้าก็แล้วกันนะน้องจูล่ง….”น้องซูว่าพลางหันไปหาไป๋จูล่ง แต่เมื่อนางหันไปมองตัวไป๋จูล่งกลับหายไปเสียแล้ว เหลือเพียงม้าสีขาวที่จูล่งพามาด้วยเท่านั้น

.

.

“เฮ้ เจ้าหนู ทำไมไม่ไปเข้าแถวกับคนอื่นๆ”เสียงของชายวัยกลางคนผู้หนึ่งดังขึ้นขณะมองเห็นไป๋จูล่งกำลังก้มๆเงยๆมองการทดสอบเข้าสำนักด้วยท่าทีสนใจ มันไม่เคยเห็นไป๋จูล่งมาก่อน ก็เดาเอาว่าจูล่งเป็นผู้มารับการทดสอบแน่ๆ เพราะหากไม่ใช่ก็คงเข้าสำนักมาไม่ได้ตั้งแต่แรก

“เอ๊ะ…ข้า”จูล่งไม่ทราบจะตอบว่าอย่างไรดี มันแค่มามองดูเพราะสนใจเท่านั้น

“เจ้าเป็นผู้เข้าสอบไม่ใช่หรืออย่างไร ไปเข้าแถวให้เรียบร้อย อย่ามาเดินเกะกะข้างนอก”ได้ยินเช่นนั้นจูล่งก็ไม่ได้ต่อคำให้ยืดยาวแต่อย่างไร อีกฝ่ายท่าทางจะเข้าใจว่าจูล่งเป็นผู้เข้าสอบ มันจึงเดินไปต่อแถวตามที่ชายคนนั้นบอก เพราะอย่างไรมันก็อยากดูการสอบใกล้ๆอยู่แล้ว

เปรี้ยง!!การสอบของสำนักคร่าตะวันดูเหมือนจะให้ศิษย์ใหม่ต่อสู้กับอาจารย์กันตัวต่อตัวเพื่อวัดระดับฝีมือ โดยมีอาจารย์ทั้งสิ้น 15 ท่านค่อยต่อสู้กับศิษย์ใหม่ทีละคนๆ

เปรี้ยง!! พวกศิษย์ใหม่ส่วนใหญ่ก็จะพยายามโจมตีใส่อาจารย์ผู้ฝึกกันอย่างตั้งใจ แต่เพราะเกณรับสมัครของสำนักคร่าตะวันอยู่ที่ระดับหลอมรวมวิญญาณ ทำให้การต่อสู้ระหว่างศิษย์เข้าใหม่กับเหล่าอาจารย์ดูไม่ค่อยเข้มข้นเท่าไหร่นัก ส่วนใหญ่อาจารย์ก็จะยืนรับการโจมตีสบายๆและดูว่าศิษย์คนนี้มีแววหรือไม่เท่านั้น

“……”ตัวไป๋จูล่งได้ฟังที่พี่สาวซูบอกแล้วว่าผู้เข้าฝึกนั้นจำเป็นต้องฝึกฝนมาจากสำนักย่อยของสำนักคร่าตะวันมาก่อน หรือก็คือเหล่าผู้เข้าสอบนั้นเป็นผู้ฝึกฝนพลังวิญญาณที่มีประสบการณ์แล้วนั่นเอง ทำให้จูล่งคิดว่าพวกมันต้องเก่งกาจกว่าตนเองที่ไม่มีแม้แต่สิทธิ์เข้าทดสอบหลายเท่าอย่างแน่นอน

เพียงแต่…เหตุใดคนเหล่านี้ถึงโจมตีกันได้เบานักนะ แม้กระบวนท่าจะรวดเร็วและหลากหลาย แต่กำลังที่ออกมาจากการโจมตีกลับทำให้ไป๋จูล่งรู้สึกว่าเบามากๆ เหมือนกำลังมองสัตว์ป่าธรรมดาๆกำลังต่อสู้กันไม่มีผิด

“อย่างนี้นี่เอง”เมื่อมองการทดสอบไปได้สักพัก ไป๋จูล่งก็เหมือนจะนึกออก หรือว่าจริงๆแล้วนี่ไม่ใช่การทดสอบกำลัง แต่จะเป็นการทดสอบออมมือเหมือนที่ท่านน้ามังกรให้มันทำก่อนออกจากหมู่บ้านกัน

“ยอดเลย พวกพี่ๆลดพลังลงจนพวกอาจารย์ไม่บาดเจ็บเลยสักนิด”จูล่งว่าพลางมองภาพตรงหน้าตาเป็นประกาย ถึงน้ามังกรจะบอกว่าจูล่งออมมือได้เก่งแล้ว แต่หากเทียบกับผู้เข้าสอบเหล่านี้จูล่งยังไม่อาจเทียบเคียงได้ แต่ละคนโจมตีได้เบามาก ทำเอาจูล่งเกิดความนับถือขึ้นมาเลย

“คนต่อไป”อาจารย์คนหนึ่งที่พึ่งทดสอบเด็กคนหนึ่งไปพูดพลางหันมามองจูล่ง

“เอ๊ะ ข้า…”จูล่งเอานิ้วชี้มาที่หน้าของตนเอง พลางมองไปรอบๆ ไม่ทราบจูล่งมายืนอยู่แถวหน้าตั้งแต่เมื่อไหร่ แต่คิวต่อไปก็เป็นคิวของจูล่งจริงๆเสียด้วย

“เข้ามาได้แล้ว ยังมีสอบรอบถัดไปอีกนะ”อาจารย์ของสำนักคร่าตะวันพูดพลางเร่งให้จูล่งลงมารับการทดสอบได้แล้ว ทำให้จูล่งไม่มีทางเลือกเดินเข้าไปหาอาจารย์ของสำนักคร่าตะวันทันที

“……….”ตัวอาจารย์ของสำนักคร่าตะวันมองมาทางไป๋จูล่งด้วยท่าทีประหลาดใจ เหตุใดถึงสัมผัสพลังวิญญาณของจูล่งไม่ได้ หรือมันเป็นผู้ฝึกวิชาปิดซ่อนพลังวิญญาณกัน?

“เริ่มเลย”เมื่อเห็นว่าจูล่งหยิบทวนไม้ออกมาเป็นอาวุธแล้ว อาจารย์ของสำนักคร่าตะวันก็บอกให้จูล่งเริ่มโจมตีได้

“ขะ ขอรับ”จูล่งทำตาเลิกลักก่อนจะกำด้ามหอกแน่น ในใจของมันนึกถึงคำสอนของท่านน้ามังกร พยายามเก็บเอาพลังของตนเอาไว้ และใช้กำลังกายให้น้อยที่สุด…..

เพี๊ย!! ทวนไม้ของจูล่งฟาดใส่แขนของอาจารย์สำนักคร่าตะวันด้วยกำลังแทบไม่ต่างจากคนธรรมดา

“สำเร็จ”จูล่งพูดด้วยท่าทีตื่นเต้นมาก นั่นเบาที่สุดเท่าที่จูล่งทำได้เลยทีเดียว มันออมมือได้มากกว่าตอนฝึกกับท่านน้ามังกรอีก

“นั่นดีที่สุดของเจ้าแล้วงั้นหรือ”อาจารย์ของสำนักคร่าตะวันถามพลางมองมาทางจูล่ง

“ขอรับ ดีที่สุดเท่าที่เคยลองมาเลย”จูล่งยิ้มอย่างมั่นใจ แต่อาจารย์ของสำนักคร่าตะวันกลับถอนหายใจแล้วก็ส่ายหน้า ยิ่งจูล่งไม่มีพลังวิญญาณให้มันสัมผัสได้อยู่แล้วยิ่งแล้วใหญ่

“นี่เจ้าหลงเข้ามาทดสอบหรืออย่างไร ระดับฝีมือเท่านี้สำนักย่อยยังไม่รับเลย เจ้าไม่ผ่าน”อาจารย์ของสำนักคร่าตะวันว่าพลางส่ายหน้าช้าๆ ทำเอาจูล่งอึ้งไปทันที

“ขอรับ”จูล่งก้มหน้าลงด้วยความผิดหวัง ไม่นึกว่าสำนักคร่าตะวันจะร้ายกาจเช่นนี้ ระดับของมันไม่ผ่านแม้แต่การสอบแรกเสียด้วยซ้ำ