ตอนที่ 519 ไม่รู้จะเริ่มพูดอย่างไร / ตอนที่ 520 วางแผนอย่างรอบคอบ

เช่าท่านประธานมาปิ๊งรัก

ตอนที่ 519 ไม่รู้จะเริ่มพูดอย่างไร

 

 

ทั้งคู่คุยกันเรื่องการเลี้ยงลูกจากนั้นก็วกไปเรื่องสภาพแวดล้อมของครอบครัว

 

 

“ฉันอยากให้ลูกไปเรียนเปียโน จะได้ฝึกบุคลิกภาพด้วย”

 

 

ดูแล้วคุณแม่คนนี้น่าจะตั้งความหวังกับลูกสาวไว้สูงมาก ความหวังของพ่อแม่หลายๆ คนเริ่มแรกนั้นก็ไม่ได้มีอะไรมาก แค่อยากเห็นลูกๆ ค่อยเติบโตอย่างมีความสุข แต่ถ้าเราไปคาดหวังอยากให้ลูกเป็นนี่เป็นนั่นมากเกินไป จากความคาดหวังมันจะการเป็นความกดดันลูกทันที

 

 

“เรื่องแบบนี้เอาตามที่แกชอบจะดีกว่านะคะ ที่จริงเด็กผู้หญิงเรียนกู่ฉิน[1] ไม่ก็กู่เจิง[2]ก็ดูไม่เลวนะคะ”

 

 

ซย่าเสี่ยวมั่วไม่มีประสบการณ์เรื่องเลี้ยงดูเด็ก แต่ถ้าอนาคตเธอมีลูกเธอจะเลี้ยงลูกโดยยึดความชอบของลูกเป็นหลัก

 

 

“พวกที่มีพื้นฐานทางครอบครัวดี เพียบพร้อมก็คงจะเลี้ยงได้ดี แต่สำหรับฉันที่ไม่ไดมีพร้อมแบบนั้น ก็คงต้องอาศัยสิ่งพวกนี้มาช่วยเสริมให้ลูก”

 

 

ซย่าเสี่ยวมั่วไม่รู้จะตัดสินอย่างไร ตั้งแต่เล็กจนโตเธอได้ทำตามความชอบของตน โชคดีที่เธอพอมีพรสวรรค์อยู่บ้าง เลยไม่ได้ถูกพ่อสอนอย่างเข้มงวดนัก ชีวิตวัยเด็กเธอเลยผ่านมาแบบสบายๆ เธอจึงไม่ค่อยเห็นด้วยกับความคิดของคุณแม่คนนี้

 

 

ทั้งครู่เงียบไปสักพัก เนื่องจากอายุของซย่าเสี่ยวมั่วทำให้คุณแม่ของเด็กน้อยรู้สึกเกรงๆ แต่ก็ตัดสินใจถามออกไป “คุณทะเลาะกับแฟนมาเหรอคะ”

 

 

ซย่าเสี่ยวมั่วยังมีอาการเมาเครื่องอยู่ เอาหัวพิงพนักพิง ตอบคำถาม “เปล่าค่ะ”

 

 

“เมื่อครู่ตอนคุณร้องไห้คุณเอ่ยชื่อคนๆหนึ่งออกมา คงเป็นคนที่คุณลืมไม่ได้ใช่ไหมคะ”

 

 

“ค่ะ” ซย่าเสี่ยวมั่วพยักหน้า “คนบางคนมีไว้เพื่อให้จดจำตลอดชีวิต”

 

 

“คุณเป็นผู้หญิงที่เปิดเผยที่สุดที่ฉันเคยเจอมาเลย” ตอนแรกยังคิดว่าหล่อนอาจจะเลี่ยงไม่ตอบคำถามนี้ แต่กลับตอบมาอย่างหมดเปลือก

 

 

ซย่าเสี่ยวมั่วเป็นคนที่ไม่อยากทรมานตัวเอง ถึงแม้ตัวเองจะรู้สึกทุกข์ทรมานใจอย่างมาก แต่ความทุกข์เหล่านั้นก็ถือเป็นสมบัติของเธอ

 

 

“ฉันเป็นแม่เลี้ยงเดี่ยว เลิกกับสามีได้สองปีแล้ว”

 

 

แม่ของเด็กน้อยพูดอย่างอัดอั้น ซย่าเสี่ยวมั่วตอบรับเสียงเบา นั่งฟังที่หล่อนพูด

 

 

เรื่องรักน้ำเน่า ที่คาดเดาตอนจบได้อยู่แล้ว

 

 

คู่รักหนุ่มสาวสุดท้ายแบกรับภาระไม่ไหวก็เลิกรากันไป ส่วนลูกก็กลายเป็นของดูต่างหน้าสำหรับความรักที่ต้องจบลง อาศัยอยู่กับคนเป็นแม่คนเดียว สิ่งที่เกี่ยวกับคนเป็นพ่อทำได้แค่เก็บไว้ในความทรงจำอันเรือนลาง

 

 

“คุณล่ะ?” สีหน้าของคนเป็นแม่ไม่ได้ทุกข์ใจสักเท่าไหร่ แต่เล่าเรื่องตัวเองให้ฟังด้วยสีหน้าราบเรียบจากนั้นถามซย่าเสี่ยวมั่วกลับ

 

 

ซย่าเสี่ยวมั่วมองดูท้องฟ้ากว้างใหญ่ด้านนอกหน้าต่างนิ่งๆอยู่พักหนึ่ง จากนั้นก็เอ่ยเบาๆ “เขาเป็นคนที่ฉันให้คำนิยามไม่ได้ เขาไม่เคยอยู่ในโลกของฉัน ไม่เคยหยุดเพื่อฉัน แต่เป็นฉันที่พาตัวเองเข้าไปหาเขาอย่างเต็มใจ ฉันก็ไม่รู้ว่าแบบนี้มันดีสำหรับฉันไหม แต่ฉันทำตามเสียงหัวใจบอก ทำไปให้ถึงที่สุดแล้วก็ยอมรับกับผลลัพธ์มันแต่จนถึงตอนนี้ฉันก็ยังไม่รู้จริงๆว่าเขาเป็นคนแบบไหน”

 

 

เธอไม่อยากพูดเรื่องนี้ต่อ ไม่ใช่เพราะอีกฝ่ายอายุยังน้อยหรือเพราะเธอไม่อยากระบาย แต่เป็นเพราะเธอคิดว่าเรื่องแบบนี้เหมาะที่จะให้เธอเป็นคนทำความเข้าใจคนเดียว ไม่จำเป็นต้องแบ่งปันให้ใครฟัง

 

 

อีกฝ่ายได้ฟังก็ไม่ได้พูดอะไรต่อต่อและไม่ได้เอ่ยถึงเรื่องนี้อีก ทั้งคู่ต่างตกอยู่ในภวังค์ของตัวเอง ซย่าเสี่ยวมั่วยังรู้สึกเวียนหัวอยู่ เอนตัวไปพิงพนักพิงกะว่าจะพักผ่อนต่ออีกครู่

 

 

 

 

——

 

 

[1] กู่ฉิน คือ พิณโบราณของจีน มี เจ็ดสายเสียงเรียบง่ายแผ่วเบา ต้องอาศัยสถานที่สงบจึงจะได้ยิน

 

 

[2] กู่เจิง คือ พิณโบราณของจีน มี ยี่สิบเอ็ดสาย มีเสียงกังวาน สดใส สนุกนาน

 

 

 

 

 

 

ตอนที่ 520 วางแผนอย่างรอบคอบ

 

 

เหยียนเค่อเคลียร์งานเสร็จจึงไปหาฉินซื่อหลานที่โรงพยาบาลเพื่อให้สานงานต่อ

 

 

ฉินซื่อหลานไม่ได้เจอเหยียนเค่อมาพักหนึ่ง จู่ๆวันนี้ชายหนุ่มมาโผล่ที่ห้องทำงานของตนเลยค่อนข้างแปลกใจปนระแวงใจ

 

 

“วันนี้ประธานเหยียนมีเวลามาหาฉันด้วย” ฉินซื่อหลานวางเอกสารเคสคนไข้ไว้บนโต๊ะ ยืนพิงโต๊ะมองเพื่อน

 

 

“อือ วันนี้ว่าง มีเรื่องจะให้นายทำ”

 

 

ฉินซื่อหลานปวดจี๊ดที่หัว ในใจเริ่มระแวง “เรื่องอะไร”

 

 

“ต้องทำหน้าแบบนั้นด้วยหรือไง” อารมณ์เหยียนเค่อยังอารมณ์ไม่ดีอยู่ เมื่อครู่ก็เพิ่งทำเรื่องที่น่าเสียใจไป ดังนั้นตอนนี้อารมณ์เขาจึงไม่ค่อยปกตินัก “ถ้านายเกี่ยงฉันจะเพิ่มให้อีก”

 

 

“นายพูดเหมือนกับครูมัธยมที่กำลังจะแจกการบ้านเลย” ฉินซื่อหลานเดาได้ว่างานนั้นต้องเป็นงานที่ตนไม่เต็มใจทำอย่างแน่นอน

 

 

“ฉันจะล่วงหน้าไปงานแต่งสวีอันหรานเร็วกว่านายวันหนึ่ง นายต้องอยู่จนถึงช่วงสุดท้ายจริงๆถึงจะตามไปได้ ฉันจะนายเป็นคนคุมเมือง N แทนฉัน” เหยียนเค่อพูดด้วยน้ำเสียงราบเรียบ ส่วนฉินซื่อหลานได้ฟังก็รู้สึกถึงภาระอันหนักอึ้ง

 

 

“อย่าทำแบบนี้สิ นายไม่ใช่ไม่อยากไปเหรอ แล้วจะไปก่อนฉันทำไมตั้งหนึ่งวัน ฉันรับมือกับพวกปีศาจเจ้าเล่ห์เมือง N ไม่ได้หรอกนะ” ฉินซื่อหลานลำบากใจ เขาไม่ได้ทำเรื่องแบบนี้มานานแล้ว แม้จะแค่วันเดียวก็เขาก็คงจะทำอะไรได้ไม่เยอะอยู่ดี

 

 

“ไม่มีเรื่องอะไรหรอก เช้าวันที่หกนายค่อยเดินทางไปก็ได้แล้ว”

 

 

ฉินซื่อหลานตอบรับอย่างทำอะไรไม่ได้ ช่วงเวลานี้ก็คงไม่มีอะไรต้องกังวลมากนัก หากเหยียนเค่อมีทางเลือกที่ดีกว่านี้ก็คงไม่เลือกตน ดังนั้นเขาจึงทำได้แค่จำใจรับปาก

 

 

“อย่างนั้นมีแผนอะไรไหม”

 

 

“ไม่มี” เหยียนเค่อไม่เคยเสียเวลาไปกับการวางแผนอะไรพวกนี้อยู่แล้ว เอ่ยบอกเพื่อนแค่ประโยคหนึ่ง

 

 

“ดูตามสถานการณ์แล้วกัน”

 

 

เนื่องจากสวีอันหรานแต่งงาน ผู้บริหารตำแหน่งสูงของบริษัทตระกูลสวีและ YAN ต่างไปร่วมงาน ยังไม่รู้ว่าทางซีเฉิงกับเหยียนเฟิงมีความเคลื่อนไหวอะไรหรือเปล่า ดังนั้นต่อให้เป็นวันสุดท้ายก็ต้องมีคนหนึ่งคอยรักษาทางฝั่งเมือง N ไว้ เผื่อทางนั้นคิดจะเล่นตุกติกอะไร

 

 

“ประธานเหยียน นายประเมินสติปัญญาฉันสูงไปนะ” ความสามารถระดับฉินซื่อหลานที่จริงไม่มีอะไรต้องกังวล เพียงแต่ฝ่ายที่คิดจะโจมตี YAN ถ้าไม่ใช่พี่ชายแท้ๆของเหยียนเค่อ ก็ต้องเป็นตระกูลที่สนิทสนมกับตระกูลสวี เขายังไม่รู้จะทำอย่างไรดีเลย ทั้งหมดกลายเป็นศัตรูกันหมดเลย

 

 

“ปิดประตูตีแมว” เหยียนเค่อเหล่มองเพื่อนตน

 

 

งานแต่งงานของสวีอันหรานพวกเขากล้าไปที่โน่นกันหมด จะต้องออมมือทำไม ในเมื่อให้โอกาสแล้วไม่เอาก็มีแต่พวกงั่งนั่นแหล่ะที่จะทำได้

 

 

ฉินซื่อหลานรู้สึกว่าวันนี้เหยียนเค่อดูอารมณ์ไม่ดีเอามากๆ แต่ไม่รู้ว่าเพราะอะไร แค่ดูๆก็น่ากลัวแล้ว

 

 

“ใครทำให้นายไม่พอใจล่ะ” ฉินซื่อหลานเอ่ยถามอย่างระวัง

 

 

เหยียนเค่อส่ายหน้า “เปล่า”

 

 

“ไหนบอกว่าที่จิงตูราบรื่นดีไง” ฉินซื่อหลานตบไหล่เพื่อนเบาๆ แล้วเอ่ย “ยินดีด้วย”

 

 

“ไม่มีอะไรน่ายินดี มันต้องเป็นไปตามนั้นอยู่แล้ว ฉันกะว่าจะยกธุรกิจที่เมืองจิงตูให้เสิ่นมั่วหลีเป็นคนดูแล”      เหยียนเค่อบอกแผนการของตนกับเพื่อน

 

 

ทางฝั่งเสิ่นจิ้งเฉินไม่คัดค้านอะไร สวีอันหรานก็รู้เรื่องนี้ดีอยู่แล้ว ส่วนเส้าหมิงฟ่านไม่ก้าวก่ายในส่วนของธุรกิจ YAN อยู่แล้ว ดังนั้นเขาไม่จำเป็นต้องป่าวประกาศออกไป แต่ก็ต้องบอกให้ฉินซื่อหลานรับรู้ไว้เหมือนกัน

 

 

“เสิ่นมั่วหลี?พี่ชายเสิ่นจิ้งเฉินเหรอ” ฉินซื่อหลานดูคุ้นหูกับชื่อนี้ เพราะได้ยินเพื่อนเอ่ยถึงหลายครั้งอยู่

 

 

เหยียนเค่อพยักหน้า “ใช่ เสิ่นมั่วหลีตกลงแล้ว”

 

 

“ฉันไม่มีปัญหาอะไร” เดิมทีฉินซื่อหลานก็ไม่ได้จะคัดค้านอยู่แล้ว ต่อให้เขาคัดค้าน แต่ก็ไม่มีปัญญาไปนั่งเป็นCEO บริหารสาขาจิงตูอยู่ดี

 

 

เหยียนเค่อรู้อยู่แล้วว่าเพื่อนตนต้องไม่ขัดข้อง สามารถทำให้ชายหนุ่มยอมอยู่ต่ออีกหนึ่งวันได้ก็เหนือความคาดหมายของเขาแล้ว นี่คือจุดประสงค์หลักที่เขามาที่นี่

 

 

“จะไปแล้วเนี่ยนะ” ฉินซื่อหลานเห็นว่าเพื่อนพูดจบแล้วเตรียมหยิบสูทเดินไปข้างนอก จึงยืดตัวขึ้นแล้วเดินไปส่ง

 

 

เหยียนเค่อกลับมาก็เอาแต่ยุ่งไม่หยุด ตอนนี้ยิ่งหยุดไม่ได้ แม้ปากจะพูดว่าไม่ได้วางแผนอะไรไว้ แต่ว่าก็ทำสิ่งที่เตรียมการไว้ป้องกันไม่น้อยทีเดียว “ไม่อย่างนั้นล่ะ รอให้นายเซ็นเอกสารพวกนั้นหรือไง”

 

 

ฉินซื่อหลานหมดคำพูด ยืนส่งเพื่อนเดินออกไปเงียบๆ มองดูเขาขึ้นรถขับออกไป