ตอนที่ 510: การบาดเจ็บอย่างหนัก
ในตอนที่ทุกคนลอยขึ้นไปในอากาศ ก็ได้มีเสียงของเซียนผู้คุมกฎดังขึ้นอีกครั้ง “ถึงแม้ว่าเจ้าจะเป็นผู้พิทักษ์จักรพรรดิ แต่เจ้าก็ได้คุกคามชายแก่คนนี้ ถ้าข้าไม่ได้สั่งสอนเจ้าล่ะก็ คนอื่น ๆ คงดูแคลนข้าเป็นแน่” พื้นที่ด้านหลังของเจี้ยนเฉินเริ่มบิดเบี้ยวเข้าหากัน มีพลังงานอันมหาศาลได้ระเบิดออกมาจากพื้นที่ตรงนั้นแล้วเข้าปะทะกับแผ่นหลังของเจี้ยนเฉิน
แม้ว่าเจี้ยนเฉินจะรู้สึกได้ว่ามีบางอย่างพุ่งเข้ามาที่ด้านหลัง แต่เขาก็ไม่สามารถหลบมันได้เนื่องจากพื้นที่รอบ ๆ เขาได้ถูกแช่แข็งเอาไว้ ร่ายกายของเขาถูกตรึงอยู่กับที่และไม่สามารถเคลื่อนที่ไปทิศทางใดได้
“พรึบ ! ” รับรู้ได้ถึงพลังงานอันมหาศาลปะทะเข้าที่หลังของเขา เจี้ยนเฉินกระอักเลือดออกมาจากปากและใบหน้าของเขาก็ซีดขาวลง พื้นที่ที่ถูกแช่แข็งเอาไว้ได้หายไปกลับเป็นปกติ ร่างกายของเจี้ยนเฉินตกลงมาเหมือนกับกระสุนเนื่องจากการปะทะนั้น เขาตกลงมาบนยอดเขาหนึ่งซึ่งห่างออกไป 500 ม. พื้นที่ตรงนั้นแตกกระจายออกเป็นเสี่ยง ๆ และเกิดหลุมที่ตรงเจี้ยนเฉินหล่นลงไป
เมื่อได้รับการปะทะนั้นทำให้ภูเขาทั้งลูกสั่นไหวชั่วครู่และนิ่งในพริบตา แสดงความแข็งแกร่งของภูเขาลูกนั้น
“ผู้พิทักษ์จักรพรรดิ ! ” ที่ปรึกษาทั้ง 10 คนและแม่ทัพอีก 3 คนของอาณาจักรฉินหวงร้องออกมาก่อนที่จะบินไปยังภูเขาลูกนั้น และก็เป็นเซียวเทียนเองที่พุ่งเข้าไปพยุงเจี้ยนเฉินขึ้นจากหลุมนั่น
ในตอนนั้นร่างกายของเจี้ยนเฉินถูกเซียวเทียนอุ้มเอาไว้ แม้แต่การยืนยังเป็นเรื่องยากสำหรับเขาในตอนนี้ ใบหน้าของเขาซีดขาวเหมือนกับกระดาษและเลือดก็ได้ไหลออกมาจากปากของเขาไม่หยุด เสื้อของเขาได้ฉีกขาดหายไปเนื่องจากแรงระเบิด แม้แต่เศษเสี้ยวของเสื้อนิดเดียวยังไม่มี เหลือแต่เพียงร่างกายท่อนบนที่เปลือยเปล่า
การบาดเจ็บที่หลังของเจี้ยนเฉินนั้นไม่มีรอยฉีกขาดของผิวหนังให้เห็นเลย การบาดเจ็บที่เขาได้รับนั้นเป็นการฉีกขาดของอวัยวะภายใน แม้แต่กระดูกและหลอดเลือดก็ได้แตกออก
การโจมตีของเซียนผู้คุมกฎนั้นสามารถแยกบรรยากาศออกเป็นส่วน ๆ ได้ แม้ว่าร่างกายของเจียนเฉินจะมีพลังบรรพกาล แต่มันก็เหมือนกับเต้าหู้เท่านั้นเมื่ออยู่ต่อหน้าเซียนผู้คุมกฎ
“ผู้พิทักษ์จักรพรรดิ ท่านยังไหวหรือไม่ ? กินยาจิตวิญญาณธาตุแสงนี่เสีย” ฉินหวู่หมิงรีบเอายาจิตวิญญาณธาตุแสงออกมาจากแหวนมิติพร้อมกับยื่นให้เจี้ยนเฉิน
แม้ว่ายาจิตวิญญาณธาตุแสงนั้นจะไม่เพียงพอต่อการรักษาอาการบาดเจ็บของเจี้ยนเฉิน แต่อย่างน้อยมันก็พอจะช่วยให้บาดแผลของเขาไม่ให้หนักหนาไปมากกว่านี้
เจี้ยนเฉินได้ไอออกมาหลายครั้งพร้อมกับพ่นชิ้นส่วนอวัยวะบางชิ้นในร่างกายของเขาออกมาจากปาก พื้นตรงนั้นถูกย้อมไปด้วยสีแดงและยังมีชิ้นส่วนของอวัยวะภายในบางส่วนให้เห็นด้วย
เจี้ยนเฉินค่อย ๆ เปิดตามองไปที่เซียวเทียนผู้ซึ่งคอยช่วยเขาอยู่ เขานั่งพิงกับก้อนหินใหญ่อย่างหมดแรงและอ้าปากค้าง ร่างกายของเขาตอนนี้นั้นไร้เรี่ยวแรงเนื่องจากอาการบาดเจ็บนั่น คงมีบางอย่างจุกอยู่ที่ลำคอเขา เขาคงไม่สามารถพูดอะไรออกมาได้
เมื่อเห็นอาการบาดเจ็บที่เจี้ยนเฉินได้รับจากเซียนผู้คุมกฎของนิกายพยัคฆ์มังกร ทุกคนจากอาณาจักรฉินหวงก็ได้แสดงใบหน้ามืดหม่นออกมา สายตาของพวกเขาแต่ละคนแสดงความอาฆาตออกมา
แม้ว่าพวกเขาและเจี้ยนเฉินจะไม่ได้มีฝีมือระดับสูง แต่เจี้ยนเฉินเองก็เป็นถึงผู้พิทักษ์จักรพรรดิของอาณาจักรฉินหวง เขาเป็นตัวแทนของอาณาจักรฉินหวง สำหรับเซียนผู้คุมกฎแล้ว การทำร้ายเขาเช่นนี้เหมือนกับเป็นการตบหน้าอาณาจักรฉินหวง
“เซียนผู้คุมกฎแห่งนิกายพยัคฆ์มังกรช่างดื้อด้านเสียจริง ๆ เรื่องนี้ไม่ควรจะเป็นเช่นนี้เลย” ฉินหวู่เทียนพูดขึ้นพร้อมกับแสดงความโกรธออกมา
“พวกเราจะให้นิกายพยัคฆ์มังกรตอบแทนอย่างสาสมสำหรับเรื่องนี้ รอให้พวกเรากลับไปรายงานแก่ผู้พิทักษ์จักรพรรดิทั้งสี่เสียก่อน นี่เป็นเรื่องเกียรติยศของอาณาจักรฉินหวงของเราด้วย ผู้พิทักษ์จักรพรรดิของเราจะไม่นิ่งเฉยต่อเรื่องนี้แน่” ฉิงเส้าฟานพูดขึ้น
“อันที่จริงพวกเราต้องให้ผู้พิทักษ์จักรพรรดิมาที่นี่ ถ้าพวกเราไม่ทวงความยุติธรรมคืนแล้ว อาณาจักรฉินหวงของเราคงไม่กล้าจะมีตัวตนอยู่บนทวีปเทียนหยุนแห่งนี้ มีเพียงคนเดียวก็ยังคงเป็นหนึ่งในแปดที่แข็งแกร่งที่สุด ฉินหวู่เจี้ยนคำรามออกมา แม้ว่านิกายพยัคฆ์มังกรนั้นจะอยู่ห่างไกลแต่ทุกคนในตอนนี้คับแค้นใจเป็นอย่างมาก ไม่มีสักคนในตอนนี้ที่กลัวว่าเซียนผู้คุมกฎของนิกายพยัคฆ์มังกรจะได้ยินสิ่งที่พวกเขาพูด
ฉินหวู่หมิงพูดขึ้น “พวกเราควรออกไปจากที่นี่เสียก่อนและค่อยปรึกษากันในระหว่างทาง”
“ได้ เช่นนั้นก็ออกจากที่นี่เสียก่อน บาดแผลของผู้พิทักษ์จักรพรรดินั้นดูรุนแรงมาก เขาคงไม่สามารถเดินทางได้ พวกเราต้องแบกเขาไป” เซียวเทียนพูดขึ้น
ไม่นานหลังจากที่พูด เซียวเทียนก็ได้อุ้มเจี้ยนเฉินขึ้นพร้อมกับมีพลังงานของโลกห่อหุ้มรอบตัวเขาไว้ แล้วลอยขึ้นไปในอากาศ สิ่งที่ทุกคนกังวลในตอนนี้นั้นคือกลัวว่าเซียนผู้คุมกฎจะโจมตีเข้ามาอีก พวกนั้นรู้ว่าเจี้ยนเฉินนั้นสำคัญต่ออาณาจักรฉินหวงเพียงใด เขาจะเป็นเซียนผู้คุมกฎในอนาคต ดังนั้นนั่นจึงทำให้เขาเป็นบุคคลที่สำคัญอย่างมาก
สองวันต่อมาทุกคนก็ได้กลับมายังพระราชวังที่ตั้งอยู่ในอาณาจักรอินทรีสวรรค์ แม้ว่าพวกเขาจะไม่อยู่หลายวันแต่พระราชวังนี้ยังคงเงียบสงบเช่นดังเดิม มีแต่เพียงเสียงช่างฝีมือที่ทำการแยกชิ้นส่วนท้องพระคลังให้ได้ยินเท่านั้น เมื่อไม่มีคำอนุญาตจากอาณาจักรฉินหวง ไม่มีผู้ใดกล้าก้าวเข้าไปในพระราชวังนั้นเลย
ภายในพระราชวังนั้น เซียวเทียนพาเจี้ยนเฉินเข้าไปในห้องเพื่อพักผ่อน เจี้ยนเฉินนอนอยู่บนเตียงอย่างไร้เรี่ยวแรง โดยที่มีคนอื่น ๆ จากอาณาจักรฉินหวงยืนรายล้อมด้วยสีหน้าสลด
“ข้าจะใช้ทักษะลับเพื่อรักษาตนเอง ทุกท่านโปรดออกไปก่อน อย่าเข้ามารบกวนข้าในตอนที่ข้ากำลังฟื้นฟูตัวเองอยู่” เจี้ยนเฉินพูดอย่างอ่อนแรง
เซียนสวรรค์ทั้ง 13 คนคำนับก่อนที่จะออกจากห้องเพื่อให้เจี้ยนเฉินใช้เวลาฟื้นฟูตัวเอง
เมื่อออกจากห้องของเจี้ยนเฉินแล้ว ชายทั้ง 13 คนก็ได้นั่งอยู่ตรงโต๊ะข้างหน้าห้องเขา พวกเขาแต่ละคนกำลังครุ่นคิดบางอย่างอยู่ ทันใดนั้นฉินหวู่หมิงก็พูดขึ้นมา “ฉิงเส้าฟาน เจ้าเป็นผู้ฝึกตนที่มีความสามารถธาตุลมและเป็นคนที่เร็วที่สุดในหมู่พวกเรา เจ้าจงกลับไปที่อาณาจักรฉินหวงพร้อมกับรายงานให้ผู้พิทักษ์จักรพรรดิทราบถึงสิ่งที่เกิดขึ้น ไม่ว่ายังไงพวกเราต้องกอบกู้ชื่อเสียงของเราคืนมา”
“ไม่มีปัญหา เนื่องจากไม่มีเวลารีรออันใด งั้นข้าจะออกไปตอนนี้เลย!” ฉิงเส้าฟานลุกขึ้นเพื่อจะเดินทางออกไป
“ช้าก่อน ! ” ฉินหวู่หมิงหยิบแผนที่ออกมาจากแหวนมิติแล้วมอบให้กับฉิงเส้าฟาน “อาณาจักรที่ใกล้ที่สุดที่มีประตูมิตินั้นคืออาณาจักรต้าโจว ข้าได้ทำเครื่องหมายไว้บนแผนที่แล้ว เจ้าจงไปยังอาณาจักรนั้นและขอยืมประตูพื้นที่ของพวกเขาเสีย” ฉิงเส้าฟานหยิบแผนที่ไปและได้สังเกตมันสักพักก่อนที่จะเก็บมันลงแล้วได้ออกเดินทาง
หลังจากที่ฉิงเส้าฟานเดินทางออกไป สายตาของฉินหวู่หมิงก็มองไปรอบ ๆ สถานที่ตรงนั้นก่อนที่จะถอนหายใจออกมา “งั้นพวกเราคงต้องรออยู่ที่นี่เพื่อรอดูว่าจะมีข้อมูลอันใดบ้าง เซียนผู้คุมกฎนั้นเป็นบุคคลที่พวกเราไม่สามารถสู้ได้ พวกเราต้องรอข่าวจากผู้พิทักษ์จักรพรรดิ”
แม้ว่าจะมีเซียนสวรรค์ทั้ง 12 คนในพระราชวัง แต่ไม่มีผู้ใดกล้าเข้าไปรบกวนเจี้ยนเฉินในขณะที่เขาพักฟื้นอยู่ เขาได้ใช้ห้องโถงหลักในการฟื้นฟูตนเองและคนที่เหลืออีก 12 คนได้ออกไปใช้ห้องโถงอื่นที่อยู่ในพระราชวังแห่งนั้น
ในห้องของเขา เจี้ยนเฉินยังคงนอนอย่างอ่อนแรงบนเตียง หลังจากที่เขารู้สึกได้ว่าเซียนสวรรค์ทั้ง 12 คนได้ออกไปแล้ว เขาก็เริ่มพลังของเซียนธาตุแสงบนโลกเพื่อมารักษาตนเอง
เจี้ยนเฉินนั้นอยู่ในระดับเทียบเท่าได้กับเซียนผู้เชี่ยวชาญธาตุแสงขั้นที่ 6 ดังนั้นความสามารถในการควบคุมพลังเซียนธาตุแสงนั้นแข็งแกร่งยิ่งกว่าแต่ก่อน ในตอนนั้นเองก็ได้มีลูกบอลสีขาวของพลังเซียนธาตุแสงปรากฏขึ้นในห้อง ทั่วทั้งห้องถูกอาบไปด้วยแสงของลูกบอลนั้น สำหรับดวงตามนุษย์แล้ว แสงนี้ไม่ได้ทำร้ายสายตาแม้ว่าแสงนั้นมันสว่างยิ่งกว่าแสงของพระอาทิตย์ แต่มันกลับให้ความรู้สึกสบายเมื่อมองมัน
ที่บนเตียง เจี้ยนเฉินได้ถูกอาบไปด้วยพลังของเซียนธาตุแสง เขาสามารถเห็นได้ว่าพลังนั้นได้เดินทางไปทั่วทั้งตัวเขา ร่างกายของเขาดูดซึมแสงนั่นโดยไม่หยุดพักแม้แต่นิดเดียว
ในตอนที่รักษาอยู่ อาการบาดเจ็บของเจี้ยนเฉินก็ได้รับการฟื้นฟูอย่างรวดเร็ว ผิวหนังที่ได้รับการบาดเจ็บและอาการบาดเจ็บภายในของเขาค่อย ๆ ฟื้นตัวช้า ๆ แม้แต่กระดูกที่แตกหักและหลอดเลือดที่ฉีกขาดก็ได้สร้างตัวขึ้นใหม่เร็วยิ่งกว่ามนุษย์จะสังเกตได้
เนื่องจากเจี้ยนเฉินได้ใช้พลังบรรพกาลกับร่างกายของตนเอง ทำให้ความแข็งแกร่งของร่างกายเขาในตอนนี้แข็งแกร่งขึ้นกว่าเดิมหลายเท่า ด้วยการที่แข็งแกร่งกว่าเดิมหลายเท่าทำให้การฟื้นฟูของร่างกายเขานั้นเป็นไปได้ยากขึ้นกว่าเดิม มันไม่ง่ายเฉกเช่นแต่ก่อน นั่นหมายความว่าการที่พลังบรรพกาลที่ใช้ควบคุมร่างกายของเขานั้นทำให้ต้องใช้พลังของเซียนธาตุแสงมากกว่าเดิมเพื่อทำการรักษาเขา
เจี้ยนเฉินรู้จักร่างกายของตนเองดี พลังบรรพกาลนั้นทำให้ร่างกายของเขาแข็งแกร่งขึ้นหลายเท่า แต่ถ้าเป็นในเรื่องการบาดเจ็บมันจะทำให้การฟื้นฟูนั้นยากขึ้นกว่าแต่ก่อน
เจี้ยนเฉินเองอยากจะใช้พลังบรรพกาลเพื่อข่มร่างกายและเพิ่มความแข็งแกร่งให้กับร่างกายตนเอง แต่ถ้าเป็นเช่นนั้นคงต้องใช้พลังเซียนธาตุแสงมากกว่าเดิม และสุดท้ายแล้วพลังเซียนธาตุแสงก็คงไร้ค่า
“ข้าคงต้องเข้าถึงระดับเซียนผู้เชี่ยวชาญธาตุแสงขั้นที่ 7 เสียก่อน ด้วยการที่อยู่ในระดับนั้นข้าคงสามารถทำการฟื้นฟูตัวเองได้เมื่อใช้พลังบรรพกาล อีกอย่างข้ายังมีแขนและขาของพี่ชายข้าด้วย อีกทั้งยังมีมารดาของลูกเสือขาว รัมกุยเนส ที่ต้องรักษา” เจี้ยนเฉินคิดกับตนเอง แต่เขารู้ดีกว่าเซียนผู้เชี่ยวชาญธาตุแสงขั้นที่ 7 นั้นยังอยู่อีกห่างไกล และเส้นทางนั่นอาจจะยาวนานยิ่งกว่าเส้นทางที่จากเซียนสวรรค์สู่เซียนผู้คุมกฎ