บทที่ 442 สมรู้ร่วมคิด

บัลลังก์พญาหงส์

​“แล้วแพร่กระจายมาถึงจวนตวนชินอ๋องได้อย่างไรพ่ะย่ะค่ะ?” หลี่เย่ถามเข้าประเด็นสำคัญ

เขาอยากจะถามมานานแล้ว คนที่มาก่อนหน้านี้ก็พูดไม่ชัดเจน บอกแค่ว่าแพร่กระจายมาจากวังหลวง แต่แพร่ออกไปอย่างไรกลับไม่รู้

เรื่องนี้ไทเฮารู้ต้นสายปลายเหตุ ดังนั้นจึงพูดให้หลี่เย่ฟัง สุดท้ายก็ถอนหายใจอีก “ในตอนนี้นอกจากพระชายารัชทายาทแล้ว ชายาเอกจวงอ๋อง ชายาเอกอู่อ๋องก็เช่นเดียวกัน โดยเฉพาะจวงอ๋อง ตอนนั้นเขาอยู่ที่จวน จึงถูกกักอยู่ในจวนไปพร้อมกัน”

หลี่เย่อดเลิกคิ้วสูงไม่ได้ นี่ช่างน่าสนใจเสียจริง จวงอ๋องและอู่อ๋องเป็นพี่น้องสายเลือดเดียวกัน และอู่อ๋องก็ถือเสาหลัก ครานี้จวงอ๋องถูกกักให้อยู่ภายในจวน อู่อ๋องคงจะกระวนกระวายไม่น้อย…

“ติดต่อมาจากนางกำนัลของวังฮองเฮาจริงหรือพ่ะย่ะค่ะ?” หลี่เย่ครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งถึงได้พูดออกมา “ถ้าเช่นนั้นวังของฮองเฮาถูกปิดหรือไม่พ่ะย่ะค่ะ?”

“ไม่ได้ปิดไว้ เพียงแค่กักคนที่เกี่ยวกันเอาไว้เท่านั้น อย่างไรฮองเฮาก็ยังไม่พบนางกำนัลคนนั้น แต่เรื่องก็วุ่นวายขนาดนี้แล้ว” ไทเฮาเข้าใจความหมายที่หลี่เย่ถาม จึงรู้สึกเสียใจ

หลี่เย่เม้มปาก กลับไม่ได้พูดอย่างอื่นออกมา ผ่านไปนานแล้วถึงพูดกับไทเฮาว่า “ไทเฮาเองก็ต้องระวังด้วยนะพ่ะย่ะค่ะ”

ไทเฮาพยักหน้า “ปกติแล้ววังหย่งโซ่วเงียบสงบ วันนี้ก็มีเพียงเจ้าและเสด็จพ่อของเจ้าเท่านั้นที่มา รอจนเจ้ากลับไปแล้ว ข้าเองก็จะให้คนปิดวัง ไม่อนุญาตให้คนนอกเข้ามาตามใจชอบ”

อย่างไรภายในวังหลวงเกิดโรคระบาดขึ้น หากแพร่กระจายติดต่อกันคงไม่ดี หากทำเช่นนี้ก็ยังพอป้องกันได้บ้าง

หลี่เย่พยักหน้าหนักแน่น จากนั้นก็ลุกขึ้นทูลลา

“เสด็จพ่อของเจ้าก็ไม่พอใจเรื่องนี้เช่นเดียวกัน เจ้าไปเกลี้ยกล่อมเขาหน่อยเถิด อย่าให้สุขภาพของเขาทรุดลง” ไทเฮาพูดกำชับ และตบบ่าของหลี่เย่ “เจ้าเองก็ไม่ต้องกังวลเรื่องในจวนมากเกินไป เซิ่นเอ๋อร์ไม่เคยสัมผัสมาก่อน ต้องไม่เป็นอะไรแน่นอน ถาวซื่อ…ก็คงจะไม่โชคร้ายถึงเพียงนั้น”

แน่นอนว่าถ้าพูดจากใจจริงแล้ว ไทเฮาเองก็ไม่ได้คิดสาปแช่งถาวจวินหลัน ถ้าเป็นไปได้นางเองก็หวังว่าถาวจวินหลันจะปลอดภัย อย่างไรจวนตวนชินอ๋องปลอดภัยถึงจะทำให้หลี่เย่ดีขึ้นไม่ใช่หรืออย่างไร?

อย่างเดียวที่ไทเฮาไม่พอใจก็คือหลี่เย่ใส่ใจถาวจวินหลันมากเกินไป นางทำใจตำหนิหลี่เย่ไม่ลง ย่อมทำได้แค่โทษถาวจวินหลันเท่านั้น อาการแบบนี้เรียกว่าพาลหาเรื่อง

นางคงไม่หยุดหาเรื่อง นอกจากหลี่เย่จะปฏิบัติไม่ดีต่อถาวจวินหลัน แต่นั่นจะเป็นไปได้อย่างไร? ย่อมเป็นไปไม่ได้ ดังนั้นตราบใดที่หลี่เย่ยังคงดีกับถาวจวินนหลัน เกรงว่านางก็คงพาลหาเรื่องไปตลอด

เรื่องนี้จะโทษไทเฮาก็ไม่ได้ อย่างไรก็คงไม่มีใครยอมเห็นหลานชายของตนเองเพิกเฉยต่อภาพรวมเพราะผู้หญิงคนเดียวไม่ใช่หรือ?

หลี่เย่รับคำ ฝืนยิ้มออกมา แม้ว่าจะพยายามควบคุมอารมณ์เอาไว้ แต่ก็ปิดความกังวลในใจไว้ไม่อยู่

พอออกจากวังหย่งโซ่วของไทเฮามา หลี่เย่ก็หันไปกำชับหวังหรู “ไป ให้คนไปสืบดู ว่านางสนมคนนั้นติดเชื้อโรคระบาดมาได้อย่างไร”

หวังหรูได้ยินเช่นนี้ ฉับพลันก็มีสีหน้าลำบากใจ “นี่…เกรงว่าคงจะสืบยากพ่ะย่ะค่ะ” วังหลวงไม่ใช่พื้นที่ของจวนตวนชินอ๋อง แม้ว่าจะมีเส้นสาย แต่ก็ไม่อาจอวดอ้างได้มากเกินไป อีกทั้งไม่สามารถทำถึงขั้นนั้นได้

หลี่เย่กวาดตามองหวังหรูเรียบๆ ทีหนึ่ง พูดว่า “ในนั้นจะมีสักกี่คนที่ใช้เงินเปิดปากไม่ได้?”

เมื่อพูดแช่นนี้หวังหรูก็เข้าใจความหมายที่หลี่เย่ต้องการจะสื่อ รีบพูดว่า “พ่ะย่ะค่ะ  บ่าวเข้าใจแล้ว”

หลี่เย่สะบัดมือ “ไปจัดการเรื่องนี้เถิด ข้าจะไปเข้าเฝ้าเสด็จพ่อ” ตอนที่อยู่เบื้องหน้าฮ่องเต้ไม่จำเป็นต้องมีคนปรนนิบัติ ดังนั้นหวังหรูจึงไปจัดการเรื่องนี้ได้อย่างเหมาะเจาะ

ในวันเดียวกัน ฮ่องเต้ก็ออกคำสั่งสืบว่าหลี่ว์หลิ่วไปติดโรคระบาดมาได้อย่างไร หากสืบไม่พบก็ให้จัดการประหารคนในวังหลี่ว์หลิ่วทั้งหมด ไม่เพียงเท่านั้น ยังให้ประหารสามชั่วโคตรด้วย

เมื่อคำส่งลงมาเช่นนี้ ภายในวังหลวงพลันเต็มไปด้วยบรรยากาศอาฆาตแค้น หลายปีที่ฮ่องเต้ครองราชย์ นี่เป็นครั้งแรกที่มีการฆ่ากวาดล้างครั้งใหญ่เพียงนี้ พริบตาเดียวก็เหมือนกลับไปอยู่สมัยฮ่องเต้รัชกาลก่อน แต่บรรยากาศภายในวังหลวงตอนนั้นดีกว่านี้มากนัก

พูดกันตามเหตุผล เรื่องนี้ควรมอบให้ฮองเฮาจัดการ แต่สุดท้ายแล้วเรื่องนี้ก็ตกเป็นของซูเฟย ครั้งนี้จวงอ๋องลูกชายของซูเฟยพาลเข้าไปเกี่ยวข้องด้วย ซูเฟยกำลังกลัดกลุ้มหาโอกาสแก้แค้นไม่ได้ เมื่อได้รับหน้าที่เช่นนี้ ย่อมไม่เหลาะแหละใจอ่อนเป็นแน่แท้

ซูเฟยเองก็ไม่เกรงใจ นางสืบเรื่องนี้อย่างเอิกเกริกครึกโครม แน่นอนว่าเพื่อให้ได้ผลลัพธ์รวดเร็วจึงต้องใช้บทลงโทษโหดร้าย แต่บทลงโทษที่โหดเ**้ยมนี้ก็ทำให้เห็นผลชัดเจน

ใช้เวลาแค่เพียงสามวันก็มีนางกำนัลยอมสารภาพ เพียงแต่บอกแค่ว่าตนเองให้หลี่ว์หลิ่วใช้ผ้าที่ไม่สะอาด

แต่ยังไม่รู้ผ้านั้นมาจากที่ใดกันแน่ ขันทีที่นางกำนัลคนนั้นยอมคายชื่อออกมา ก็ฆ่าตัวตายกะทันหันไปเมื่อสองวันก่อนหน้านี้แล้ว

เมื่อเป็นเช่นนี้ข้อมูลก็ขาดหายไป

ยังดีที่อย่างน้อยก็สืบได้ว่าเรื่องนี้มีคนจงใจ

พอบอกข่าวนี้ให้ฮ่องเต้ทราบแล้ว ฮ่องเต้ก็โยนจอกชาในมือทิ้งทันที ก่อนแค่นหัวเราะเอ่ยว่า “ดี ดี ดี!”

ซูเฟยถูกเศษจอกชาที่แตกทิ่มเท้าก็ให้ตกใจจนตัวสั่น แต่ก็ยังร้องไห้แจ้งทุกข์ออกมาว่า “ฮ่องเต้เพคะ ท่านจะต้องให้ความยุติธรรมกับจวงอ๋องนะเพคะ! มีคนตั้งใจทำร้ายเขานะเพคะ!”

ความตั้งใจเดิมของซูเฟยนั้นคืออยากให้ฮ่องเต้เห็นว่าจวงอ๋องก็ได้รับความลำบาก จะได้ประทานสิ่งทดแทนให้กับจวงอ๋อง แต่นางกลับพูดไม่ถูกจังหวะ เมื่อนางพูดเช่นนี้ กลับกลายเป็นการเตือนฮ่องเต้ว่าคนที่อยู่เบื้องหลังทำเช่นนี้ ก็ด้วยต้องการทำร้ายลูกชายคนอื่นๆ ของตนอย่างนั้นหรือ? ใช่แล้ว บรรดาลูกชายที่บรรลุนิติภาวะแล้ว ก็มีเพียงองค์รัชทายาทคนเดียวเท่านั้นที่ปลอดภัย ส่วนคนอื่น…

ถ้าไม่ใช่เพราะหลี่เย่ถูกกันตัวเอาไว้ทันเวลา ก็คงจะเข้าไปในจวนตวนชินอ๋องเช่นกัน ตอนนี้ก็คงจะต้องถูกกักตัวอยู่ในจวนตวนชินอ๋องด้วย แล้วยังมีอู่อ๋องอีก ถ้าไม่ใช้เพราะวันนั้นอู่อ๋องออกไปหาความสำราญนอกบ้านแล้วล่ะก็ เกรงว่าคงจะตกอยู่ในสภาพเดียวกัน

เมื่อคิดได้เช่นนี้ฮ่องเต้ก็รู้สึกหนาวเหน็บ ถ้าหากบรรดาลูกชายของตนเป็นอะไรไป เกรงว่าจะเหลือองค์รัชทายาทคนเดียวที่บรรลุนิติภาวะแล้ว คนที่เหลือยังอายุน้อย ไม่สามารถแข่งขันกับองค์รัชทายาทได้…

ฮ่องเต้ลูบไล้แหวนหยกมรกตที่อยู่บนนิ้วโป้งไปมา สายตาเย็นเยียบ สั่งให้คนไปเรียกหลี่เย่เข้ามา

ฮ่องเต้รู้เรื่องเหล่านี้ดี หลี่เย่เองก็รู้เช่นเดียวกัน ความคิดของเขาก็ไม่ต่างอะไรจากของฮ่องเต้นัก แต่สิ่งที่เขาคาดเดาก็คือฮองเฮาตั้งใจลงมือกับถาวจวินหลัน ถึงได้ทำให้เกิดละครฉากนี้ขึ้นมา อย่างไรในบรรดาชายาเอกทั้งหลาย แม้จะบอกว่าได้พบหน้าฉ่ายยวนทั้งหมด แต่มีเพียงถาวจวินหลันคนเดียวที่พูดคุยกับฉ่ายยวนมากที่สุด แล้วยังจับต้องสิ่งของที่ฉ่ายยวนมอบให้ ที่สำคัญก็คือของสิ่งนั้นยังเป็นสิ่งของของนางสนมที่ได้รับเชื้อโรคระบาดอีกด้วย

ที่สำคัญที่สุดก็คือ เขายังให้คนไปแอบถามมาว่าของสิ่งนั้นไม่ใช่ของที่นางสนมคนนั้นฝากฉ่ายยวนไปให้ นางสนมคนนั้นไม่เคยฝากฉ่ายยวนคำพูดอะไรไปบอกถาวจวินหลัน

ซึ่งก็หมายความว่าทั้งหมดนี้เป็นสิ่งที่ฉ่วยยวนหรือคนที่อยู่เบื้องหลังฉ่ายยวนจงใจกระทำ

หลี่เยายิ้มเย็น ฉ่ายยวนเป็นคนของใคร ไม่ต้องพูดก็เข้าใจชัดแจ้ง

หลี่เย่เพียงแค่นิงเงียบกับการคาดเดาของฮ่องเต้ ผ่านไปครู่ใหญ่จึงถอนหายใจเอ่ยว่า “อย่างไรองค์รัชทายาทก็เป็นพี่ใหญ่ของพวกกระหม่อม คิดแล้วไม่น่าจะทำเรื่องเช่นนี้ได้ แม้ว่าพี่ใหญ่จะมีจุดที่ไม่ดี แต่กระหม่อมคิดว่า เขาก็ยังคงเห็นพวกเราเป็นน้องชายนะพ่ะย่ะค่ะ”

หลี่เย่ช่วยพูดแก้ตัวให้องค์รัชทายาท ก็ด้วยต้องการเติมน้ำมันเข้ากองไฟ อีกทั้งพอฮ่องเต้นึกถึงสิ่งที่ไทเฮาพูดได้ว่า องค์รัชทายาทปฏิบัติกับหลี่เย่อย่างไร เขาและไทเฮารู้ดีเป็นที่สุด

หลี่เย่พูดเรื่องนี้ก็ไม่มีแรงจูงใจเลยแม้แต่น้อย

ฮ่องเต้กวาดตามองหลี่เย่ทีหนึ่ง พูดออกมาเรียบๆ ว่า “เจ้าไม่ต้องแก้ตัวแทนเขา ข้าถามเจ้าคำถามเดียว เจ้าเห็นว่าอย่างไร”

หลี่เย่ลังเลอยู่ครู่หนึ่ง สุดท้ายก็พูดขึ้นว่า “เรื่องนี้ดูเหมือนวางแผนล่วงหน้าจริงพ่ะย่ะค่ะ แต่ตอนนี้ยังสืบอะไรไม่พบ จึงไม่ดีหากจะไปใส่ความใครพ่ะย่ะค่ะ”

ฮ่องเต้ได้ยินหลี่เย่พูดเช่นนี้ ด้านหนึ่งก็คิดว่าหลี่เย่อ่อนหัดไปเสียหน่อย ไม่รู้ความเ**้ยมโหดของจิตใจคน อีกด้านหนึ่งก็รู้สึกว่าแม้แต่หลี่เย่ก็ยังคิดเช่นนี้ ถ้าเช่นนั้นเขาเองก็คงเดาไม่ผิด ที่บอกว่าไม่ดีหากจะไปใส่ความใคร กลับไม่ได้เข้าหูฮ่องเต้แม้แต่น้อย

จากที่ฮ่องเต้ดูแล้ว หากอยากจะรู้ว่าใครวางแผนเรื่องนี้ก็ง่ายนิดเดียว แค่ดูว่าใครเป็นคนได้รับผลประโยชน์เท่านั้น

“เจ้าคิดว่าควรจัดการเรื่องนี้อย่างไร?” ฮ่องเต้ถามอีก

หลี่เย่ส่ายหน้า พูดว่า “เรื่องที่เร่งด่วนที่สุดในตอนนี้ไม่ใช่การสืบว่าใครเป็นคนทำเรื่องนี้พ่ะย่ะค่ะ แต่เป็นการให้กรมหมอหลวงรีบคิดค้นเทียบยาออกมา อย่างไรแล้วคนภายในวังหลวงก็มีมากมาย หากแพร่กระจายจริง เกรงว่าจะควบคุมเอาไว้ไม่ได้พ่ะย่ะค่ะ แม้แต่ประชาชนที่อยู่นอกเมืองเหล่านั้นก็ต้องรีบรักษาโดยเร็วเช่นกันพ่ะย่ะค่ะ เมื่อวานนี้คนป่วยนอกเมืองเสียชีวิตไปกว่าสิบคนแล้ว แต่ที่พบว่าติดโรคกลับมีมากกว่าร้อยคนแล้วพ่ะย่ะค่ะ ถ้าเป็นเช่นนี้ต่อไปเกรงว่าประชาชนเหล่านั้น… ”

ฮ่องเต้ไม่ได้สนใจคนพวกนั้น แต่เขากลัวว่าถ้าโรคระบาดแพร่กระจายจริง ต้องรู้ด้วยว่าจะตายเป็นพันเป็นหมื่นคนเขาก็ไม่กลัว แต่ถ้าโรคระบาดแพร่กระจายหนักจริง ก็จะไม่ใช่แค่เรื่องคนตายกว่าพันกว่าหมื่นชีวิตอีกแล้ว

ถ้าถึงตอนนั้นจริงราชสำนักก็ต้องเสียหายเป็นอันมาก ไม่ว่าจะเป็นพื้นที่ด้านนอกหรือด้านในต่างก็เป็นปัญหาทั้งนั้น น้ำและภูเขากว้างใหญ่ไพศาล เขาไม่ยอมให้โดนลำลายลงเพราะเรื่องนี้เป็นเด็ดขาด

ฮ่องเต้คิดอย่างโกรธแค้น ครั้งนี้ไม่ว่าคนที่อยู่เบื้องหลังเป็นใคร เขาไม่มีทางวางมือแน่! จะต้องฆ่าล้างโคตรคนผู้นั้น แล่เนื้อถกหนังประหารไปให้หมดถึงจะดี!

หลี่เย่มองฮ่องเต้ที่มีท่าทีโหดเ**้ยม ใบหน้ากลับสงบนิ่ง ความเป็นจริงแล้วเขาเองก็เคียดแค้นไม่ได้น้อยไปกว่าฮ่องเต้เลยสักนิด

แต่เขายังไม่รีบร้อนแก้แค้น ที่เขาวางแผนเอาไว้ก็คือ รอจนมั่นใจว่าถาวจวินหลันปลอดภัย  เขาเองจะหาเวลามาจัดการเรื่องนี้ ก่อนหน้านั้นจะต้องหาวิธีรับมือหยุดโรคระบาดนี่เสียก่อน

ความเป็นจริงแล้วหลี่เย่รู้อยู่แก่ใจว่าคนในกรมหมอหลวงมีจำกัด จึงให้คนไปตามหาหมอชื่อดังมาจากทั่วทุกที่แล้ว จุดประสงค์ก็เพื่อพยายามคิดค้นวิธีการยับยั้งโรคระบาดให้เร็วที่สุด

แต่ตอนนี้เวลาผ่านไปแต่ละวันกลับไม่มีข่าวคราวอะไรส่งกลับมา อีกทั้งทางด้านจวนตวนชินอ๋องเองก็ไม่มีข่าวคราว เขาจึงยิ่งรู้สึกหงุดหงิดใจอย่างพูดไม่ถูก

แต่เมื่ออยู่ต่อหน้าฮ่องเต้ เขาย่อมแสดงออกมาไม่ได้ เพื่อสงบอารมณ์เดือดดาลของตนเอง หลี่เย่รู้สึกว่าบางทีจะต้องเก็บดอกเบี้ยสักหน่อยเสียแล้ว