อวี้เชียนเสวี่ยยิ่งได้ยินคำพูดของมู่เหนียนซี ก็ยิ่งรู้สึกอารมณ์ไม่ดี
เยี่ยนอ๋อง เชียนเยี่ยเสวี่ย ในแคว้นฉินจื้อนับเป็นบุคคลที่มีชื่อเสียงเลื่องลือคนหนึ่ง
ทั้งความรู้เชิงหนังสือและพลังยุทธ์ของเขาล้วนไม่เลว ซ้ำยังเป็นทายาทคนเดียวในราชตระกูล หากไม่ใช่เพราะฮ่องเต้แห่งแคว้นฉินจื้อหลงไหลในตัวหวงกุ้ยเฟย และค่อนข้างรักเยี่ยนอ๋องซึ่งเป็นบุตรจากหลิวกุ้ยเฟย เยี่ยนอ๋องคงได้ครองตำแหน่งองค์รัชทายาทตั้งนานแล้ว
แต่ว่า…เชียนเยี่ยเสวี่ยผู้นี้จะเจ้าชู้และหลายใจเกินไปแล้ว!
อิงจากเหล่าสนมรูปงามที่อยู่ในจวนอ๋อง แม้จะมีไม่ถึงหนึ่งพันแต่ก็ถึงห้าร้อยคน!
บุรุษเจ้าชู้พรรค์นี้ต้องอยู่ห่างๆ หน่อย!
กลับไปเขาจะต้องตักเตือนเสี่ยวเยียนเยียน เพราะนางยังเด็กไม่ประสีประสา เพื่อกันไม่ให้ถูกความงามของบุรุษครอบงำ
รูปโฉมมิอาจกินข้าวได้ จะเฟ้นหาบุรุษต้องหาผู้ที่ซื่อสัตย์และแน่วแน่ถึงจะดี!
หากเปรียบเทียบกับความร้อนใจของคนอื่นๆ เหลียนจิ่นนั่งลงใต้ต้นไม้ วางหินเจ็ดดวงดาวพยากรณ์ไว้บนโต๊ะหิน
หินไข่ห่านที่่เป็นประกายประหนึ่งหยกทั้งเจ็ดลูกสับเปลี่ยนตำแหน่งในมือของเหลียนจิ่นไปมา ผ่านไปเพียงพริบตาเดียว สีหน้าเคร่งเครียดของเหลียนจิ่นก็ผ่อนคลายลง
นี่แท้เป็นเช่นนี้…หึ เยี่ยนอ๋องเป็นเพียงสตรีผู้หนึ่ง
ถือว่าวางใจได้แล้ว!
“เจ้านักต้มตุ๋ม เจ้ากำลังทำนายอะไรอยู่หรือ”
ซย่าโหวฉิงเทียนย่างเท้ามาอยู่ข้างกายเหลียนจิ่น ปีนไปยืนอยู่บนเก้าอี้เพื่อมองดูคำทำนายตรงหน้า ทว่าไม่ว่าจะมองอย่างไรก็ดูไม่ออก
แม้เขาจะอยากเข้าไปหาอวี้เฟยเยียนมากขนาดไหน ทว่าไม่รู้ว่าทำไมเขาถึงได้กลัว…
เมื่ออวี้เฟยเยียนเจอกับเชียนเยี่ยเสวี่ย ความดีใจที่ปรากฏบนใบหน้าของนางล้วนไม่ใช้เรื่องโกหก หากนางชื่นชอบเชียนเยี่ยเสวี่ยจริง ซย่าโหวฉิงเทียนเกรงว่าตนจะหยุดความบ้าระห่ำกระหายที่จะสังหารคนไม่ได้ ดังนั้นจึงทำได้แค่เพียงอดกลั้น ใช้ความพยายามบอกให้ตัวเองใจเย็น ต้องใจเย็นเข้าไว้
“ข้ากำลังทำนาย…”
เมื่อพูดถึงตรงนี้เสียงของเหลียนจิ่นก็ชะงักไป เสมือนกับเป็นการแย้มความอยากรู้อยากเห็นของผู้อื่น หลังจากนั้นค่อยๆ เก็บหินไข่ห่านลงกระเป๋า เมื่อเก็บหินไข่ห่านจนครบเหลียนจิ่นพลันเผยรอยยิ้มออกมา
“ข้าจะทำนายอะไรไฉนต้องบอกเจ้ากัน! เจ้ามิใช่ดูถูกนักต้มตุ๋นเช่นข้าหรอกหรือ!”
พรวด!
ซย่าโหวฉิงเทียนแทบจะกระอักเลือดออกมา เขาอดไม่ไหวจนต้องชี้นิ้วใส่หน้าของเหลียนจิ่น
“เจ้ากล้ามาก!”
“ข้าเป็นบุรุษ ก็ต้องมีความกล้าเป็นธรรมดา! ไม่ต้องให้เจ้ามายืนยันหรอก นี่เป็นเรื่องจริง!”
เมื่อเห็นใบหน้าเล็กรูปงามของซย่าโหวฉิงเทียนบึ้งตึง เหลียนจิ่นถึงรู้สึกอารมณ์ดีเป็นที่สุด “เจ้าว่า ข้าเห็นภาพพวกเจ้าต่อสู้กันอย่างดุเดือดประหนึ่งนกอีก๋อยต่อสู้กับหอย แล้วชาวประมงเช่นข้าคว้าเอาไปกินเสียเอง อย่างไรเรามิต่างกับแปดเซียนข้ามทะเล[1] ก็ต่างมีวิธีของตนใช่หรือไม่”
“เจ้านักต้มตุ๋ม เจ้าอย่าได้ทดสอบความอดทนของข้า!”
ซย่าโหวฉิงเทียนอยากจะบี้เหลียนจิ่นให้ตาย เสมือนบี้มดตัวหนึ่งให้ตายอย่างไรอย่างนั้น
ทว่าชั่วขณะนี้ซย่าโหวฉิงเทียนตัวน้อย ในสายตาของเหลียนจิ่นแล้ว เป็นเหมือนเสือกระดาษที่ไม่มีกำลังสังหาร
“ข้ายังไม่ฉวยโอกาสเหยียบเจ้า รอเจ้ามีอำนาจเสียก่อน ไฉนยังมีโอกาสคุยกับข้ากัน…”
เหลียนจิ่นประคองเสื้อคลุมขนสุนัขจิ้งจอก “ข้าคนนี้ เป็นผู้สามารถพินิจพิเคราะห์สถานการณ์ปัจจุบันได้ดีที่สุด และก็ฉวยโอกาสรังแกผู้อื่นได้ชำนาญที่สุดเช่นกัน! ซย่าโหวฉิงเทียน เจ้าว่า ข้าควรจะขอบคุณคนที่ทำให้เจ้ามีสภาพน่าอนาถขนาดนี้หรือไม่”
คำพูดของเหลียนจิ่นเหมือนกับเทน้ำมันลงกองไฟอย่างไม่ต้องสงสัย ทำให้โทสะที่มีในใจของซย่าโหวฉิงเทียนทั้งหมดลุกโชน
เมื่อเห็นใบหน้าโมโหเป็นหมีกินผึ้งของเด็กชายค่อยๆ สงบลงในที่สุด จากนั้นเริ่มเป็นไปเย็นชาจนถึงขีดสุด เหลียนจิ่นก็ถอนหายใจออกมา
ยังดีที่วิธียั่วโมโหยังใช้ได้!
ซย่าโหวฉิงเทียน ตั้งแต่นี้เป็นต้นไปจุดอ่อนของเจ้าจะมีแต่อวี้เฟยเยียนเท่านั้น
ข้าจะค่อยๆ ทำลายจุดอ่อนอื่นของเจ้าไปทีละน้อย เพื่อให้เจ้าเป็นอาวุธที่มั่นคงแข็งแกร่ง กลายเป็นดาบและกริชของนาง…
เมื่อเห็นใบหน้าที่เต็มไปด้วยเด็ดเดี่ยวหนักแน่นของซย่าโหวฉิงเทียน เหลียนจิ่นก็รู้สึกอิจฉาในใจ
หากข้ามีเลือดเนื้อเชื้อไข… ไหนเลยจะยอมให้เจ้ามีโอกาสอยู่ใกล้ชิดนางกัน
น่าเสียดาย ทั้งชีวิตนี้ข้าทำได้เพียงปกป้องนางอยู่ห่างๆ นี่คือโชคชะตาของข้า และเป็นความโชคดีของเจ้า
เรื่องที่จักรพรรดิโอสถอสูรร้ายอวี้มาที่หอราชาโอสถ เพียงครู่ก็ถูกลือไปทั่วหอราชาโอสถ
บวกกับความโดดเด่นความเจ้าชู้ของเยี่ยนอ๋อง ไม่เพียงทำให้ลูกศิษย์ของหอราชาโอสถมุงเข้ามาชม แม้แต่แขกกิตติมศักดิ์ที่มาร่วมงานประลองปรุงโอสถครั้งนี้ต่างรู้ว่าเป็นเรื่องที่พบเห็นได้ยาก จึงพากันล้อมวงเข้ามาดู
หูซาแห่งแคว้นฉินจื้อก็เป็นหนึ่งในแขกกิตติมศักดิ์เช่นกัน
เมื่อเห็นภาพเชียนเยี่ยเสวี่ยกับอวี้เฟยเยียนที่พูดคุยกันอย่างใกล้ชิด หัวใจของหูชาถึงกับเต้นตึกตัก
เป็นอย่างที่คิด ความกังวลใจของกุ้ยเฟยเหนียงเหนียงไม่เลวจริงๆ !
บัดนี้อสูรร้ายอวี้เป็นจักรพรรดิโอสถคนหนึ่งในแผ่นดินใหญ่ หากนางออกเรือนกับเยี่ยนอ๋อง กลาวเป็นเยี่ยนอ๋องเฟย หากอิงจากความสามารถของอสูรร้ายอวี้กับอำนาจในแคว้นฉินจื้อ เยี่ยนอ๋องก็จะได้รับการสนับสนุนของทุกคนในแคว้น
เมื่อถึงเวลานั้นหากอยากถามถึงตำแหน่งรัชทายาทของเยี่ยนอ๋องก็คงจะยากแล้ว!
ไม่ได้ จะต้องขัดขวางเรื่องนี้ให้ถึงที่สุด!
หูซาคิดแล้วคิดอีกจึงค่อยๆ ออกจากฝูงชนที่ครึกครื้น จากนั้นรีบเขียนสาสน์และใช้นกพิราบส่งสารกลับแคว้นฉินจื้อทันที
ผู้ชมเริ่มมากขึ้นเรื่อยๆ อวี้เฟยเยียนไม่อยากให้นางกับเชียนเยี่ยเสวี่ยถูกมองจนคล้ายกับลิงกอริลล่าในสวนสัตว์ จึงให้ปรมาจารย์โอสถฝึกหัดพาพวกนางเข้าไปให้ห้องรับรองแขก
คณะของอวี้เฟยเยียนถูกจัดให้อาศัยในเขตลานบ้านส่วนตัว
นี่ก็เป็นเพราะตำแหน่งจักรพรรดิโอสถของอวี้เฟยเยียน ถึงทำให้หอราชาโอสถปฏิบัติต่อนางดีขนาดนี้
ไม่ได้เจอเชียนเยี่ยเสวี่ยนาน อวี้เฟยเยียนจึงมีคำพูดมากมายที่อยากจะคุยกับนาง ทว่าเซวียจื่ออี๋กลับเข้ามาพร้อมข่าวร้าย
“อะไรนะ ท่านหมอเทวดาฮั่วกับคุณชายเฉิงถูกจับตัวไว้หรือ ทำไมถึงเป็นเช่นนั้น”
เมื่อได้ยินคำพูดของเซวียจื่ออี๋ อวี้เฟยเยียนกับเชียนเยี่ยเสวี่ยถึงกับลุกขึ้นยืนพร้อมกัน
ขณะที่อยู่ในแคว้นฉินจื้อ ท่านหมอเทวดาฮั่วอยู่กับเชียนเยี่ยเสวี่ยมาประมาณครึ่งปี พวกเขาแม้จะอายุห่างกันมาก ทว่ากลับคบหากันโดยไม่คำนึงถึงวัยวุฒิและคุณวุฒิ
ท่านหมอเทวดาฮั่วรู้ว่าเชียนเยี่ยเสวี่ยตกอยู่ในสถานการณ์ลำบาก หลังจากที่ตรวจดูชีพจรจนรู้ว่านางเป็นสตรีแล้ว ท่านหมอเทวดาฮั่วไม่เพียงแต่ไม่กราบทูลฮ่องเต้แห่งแคว้นฉินจื้อ ซ้ำยังเก็บความลับนี้ไว้ให้นางอีก
สำหรับเชียนเยี่ยเสวี่ยแล้ว ท่านหมอเทวดาฮั่วก็เป็นเพียงผู้อาวุโสที่ตลกขบขันคนหนึ่งเท่านั้น เป็นคนที่ไว้เนื้อเชื่อใจได้
ชั่วขณะนี้เมื่อรับรู้ว่าท่านหมอเทวดาฮั่วตกที่นั่งลำบาก เชียนเยี่ยเสวี่ยจะไม่ใจร้อนได้อย่างไรกัน
“จื่ออี๋ เจ้าค่อยๆ พูด สรุปเรื่องเป็นมาอย่างไรกันแน่!”
“เรื่องทั้งหมดเป็นเช่นนี้!”
เดิมเซวียจื่ออี๋กลับไปที่หอราชันโอสถและเตรียมตัวจะเข้าไปหาท่านอาจารย์ ทว่าบังเอิญเจอกับหลานชายของท่านผู้เฒ่าห้า นามว่าหลี่จิ้นเสียก่อน
เดิมทีลูกศิษย์หญิงในหอราชาโอสถนั่นก็มีน้อยมากอยู่แล้ว และเซวียจื่ออี๋ยิ่งเป็นลูกศิษย์สาวที่รูปโฉมงดงามที่สุด
หลี่จิ้นผู้นี้ไม่ได้มีเอกลักษณ์ใดๆ เพียงแค่ชื่นชอบสตรีรูปงาม ดังนั้นเมื่อเห็นเซวียจื่ออี๋จึงขวางทางนางไว้ หมายจะลวนลามนาง
เดิมทีเซวียจื่ออี๋ก็ไม่อยากใส่ใจหลี่จิ้นนัก ทว่านางกลับคิดถึงสมญานามของหลี่จิ้นได้ เขามีสมญานามว่า ‘สายสืบ’ แทบจะไม่มีเรื่องอะไรในหอราชาโอสถที่หลี่จิ้นไม่รู้ เซวียจื่ออี๋จึงเอ่ยปากถามหลี่จิ้นว่าท่านหมอเทวดาฮั่วกับเฉิงก้วนจงอยู่ที่ใด
ไหนเลยจะรู้ว่าเมื่อถามเช่นนี้จะทำเอาเซวียจื่ออี๋ร้อนใจจนทนไม่ไหว
ท่านหมอเทวดาฮั่วโผล่เข้ามาในหอหลอมโอสถ ยามที่เจ้าสำนักหลินกำลังปรุงยาในช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อ จนทำให้เจ้าสำนักหลินถูกธาตุไฟปีศาจเข้าแทรก ท่านผู้เฒ่าใหญ่จึงสั่งให้คนจับตัวท่านหมอเทวดาฮั่วไว้ ถูกขังไว้ในคุกวารีสวรรค์และได้รับโทษทำร้ายเจ้าสำนักหอราชาโอสถ!
แม้แต่เฉินก้วนจงที่ช่วยพูดแทนท่านหมอเทวดาฮั่ว ก็ถูกหาว่าเป็นพวกเดียวกับท่านหมอเทวดาฮั่วไปด้วย แต่ถูกขังไว้ด้วยเช่นกัน
“ทำไมถึงได้บังเอิญขนาดนี้”
หลังจากได้ยินคำพูดของเซวียจื่ออี๋ คิ้วโก่งงามของอวี้เฟยเยียนก็เริ่มขมวดเป็นปม
เจ้าสำนักหลินปรุงยาเม็ดเตรียมไว้เพื่องานประลองปรุงโอสถ นี่เป็นเรื่องที่คนทั้งหอราชาโอสถรับรู้
เมื่อก่อนขณะที่เดินทาง เฉินก้วนจงก็เคยเอ่ยถึงเช่นกัน ไม่มีทางที่ท่านหมอเทวดาฮั่วจะไม่รับรู้ ยิ่งไม่มีทางพุ่งเข้าไปอย่างบุ่มบ่ามแน่นอน ภายในนั้นต้องมีสาเหตุอะไรแน่
“เกิดเรื่องขึ้นกับเจ้าสำนักหลิน เช่นนั้นงานประลองปรุงโอสถที่จัดขึ้นครั้งนี้ใครเป็นคนจัดการกัน”
“ท่านผู้เฒ่าใหญ่”
เซวียจื่ออี๋ชะงักไป พลันคิดถึงเรื่องที่สำคัญมากๆ ออก
“ข้าเข้าไปศิษย์ในหอราชาโอสถถือว่าเป็นช่วงหลังๆ แล้ว ทว่าเคยได้ยินศิษย์พี่พูดกันว่า ท่านผู้เฒ่าใหญ่หลายปีมานี้มีการเปลี่ยนแปลงไปมา คล้ายดั่งเปลี่ยนไปเป็นอีกคนหนึ่ง แต่ก่อนเขานั้นเป็นผู้เฒ่าที่มีความเมตตากรุณา เป็นผู้ที่มีความยุติธรรมที่สุด ทว่าบัดนี้ท่านผู้เฒ่าใหญ่กลับดูเศร้าหมอง อีกทั้งแค่ขยับตัวนิดหน่อยก็บันดาลโทสะแล้ว”
เดิมทีนี่ถือว่าเป็นเรื่องลับเฉพาะของหอราชาโอสถ ทว่าตลอดทางที่ได้ใกล้ชิดกัน เซวียจื่ออี๋จึงเชื่อใจอวี้เฟยเยียนมาก
อีกทั้งนางก็รู้สึกว่าเรื่องของท่านหมอเทวดาฮั่วดูแปลกประหลาดมาก นางหวังจะให้อวี้เฟยเยียนคิดหาวิธีนำท่านหมอเทวดาฮั่วและเฉินก้วนจงออกมาให้ได้!
“ข้าได้ยินมาจากหลี่จิ้นว่า สามปีมานี้ปรมาจารย์โอสถฝึกหัดที่ต้องตายด้วยเงื้อมมือของท่านผู้เฒ่าใหญ่ขั้นต่ำต้องมีสามสิบคน สรุปก็คือ ท่านผู้เฒ่าใหญ่ผู้นี้กลายเป็นบุคคลที่น่ากลัวมาก!”
ท่านผู้เฒ่าใหญ่นี่ต้องมีปัญหา!
อวี้เฟยเยียนกับอวี้เชียนเสวี่ยมองตากัน อีกทั้งยังคิดเหมือนกันในเรื่องนี้ด้วย
“หลัวช่า ข้ารู้ว่าเจ้ามีหนทางที่สุด! บัดนี้มีเพียงเจ้าเท่านั้นที่ช่วยท่านอาจารย์ปู่กับศิษย์พี่เฉิงได้!”
“ข้าเชื่อว่าพวกเขาไม่ใช่คนเลว! อีกทั้ง…หลัวช่า เจ้าเป็นจักรพรรดิโอสถแล้ว เจ้าสามารถเข้าไปตรวจอาการเจ้าสำนักได้หรือไม่ ดูว่าจะสามารถรักษาเขาได้หรือไม่!”
“ท่านผู้เฒ่าใหญ่บอกว่าเจ้าสำนักต้องพักผ่อนอย่างสงบ เขาปฏิเสธไม่ให้ทุกคนเข้าเยี่ยมเจ้าสำนัก และคนที่ต่อต้านล้วนถูกจับตัวไว้…”
เซวียจื่ออี๋ยิ่งพูด ความสงสัยในใจของอวี้เฟยเยียนก็ยิ่งมีมากยิ่งขึ้น
หากเชื่อมโยงกับเรื่องที่เกิดขึ้นที่เมืองเฟิ่งหมิง จิตสำนึกของอวี้เฟยเยียนกลับรู้สึกว่าเรื่องนี้ท่านผู้เฒ่าใหญ่ต้องมีส่วนเกี่ยวข้อง
“จื่ออี๋ รบกวนเจ้าหาแผนที่หอราชาโอสถให้แก่ข้า ข้าอยากจะไปสืบดูสถานการณ์ยามราตรี”
เมื่อเห็นว่าอวี้เฟยเยียนยื่นมือเข้าช่วย เซวียจื่ออี๋ก็ดีใจเป็นอย่างมาก จึงลุกยืนขึ้นคำนับอวี้เฟยเยียน
——
[1] แปดเซียนข้ามทะเล อุปมาว่า ต่างคนต่างก็มีวิธีการของตน ต่างคนต่างก็มีความสามารถของตน