มหายุทธ์ สะท้านภพ บทที่ 471
ตอนนี้สำนักเขาไท่เสวียนสร้างขึ้นจนแล้วเสร็จ ขั้นต่อไปก็คือการเปิดสำนักเขา และประกาศรับสมัครลูกศิษย์ ก่อนจะถึงขั้นตอนนี้ หลัวซิวจำเป็นจะต้องเพิ่มทรัพยากรในคลังสมบัติ มิเช่นนั้น หากรับลูกศิษย์มาแล้วแต่กลับไม่มีทรัพยากรสำหรับบ่มเพาะ ก็คงเป็นเรื่องน่าขำไม่น้อย

ในขณะที่หลัวซิวกำลังบ่นพึมพำอยู่ในใจ ยาสลายร่างหลงหยางระดับ 7 เม็ดนี้ สุดท้ายก็มีคนของกองกำลังใหญ่ซื้อไป หากเป็นผู้แข็งแกร่งที่อยู่ในแดนจักรพรรดิยุทธ์ขั้น 9 ก็มีโอกาสไม่น้อยที่จะสร้างอาจารย์มกุฎยุทธ์ออกมา !

“งานประมูลยาสิ้นสุดลงแล้ว ข้าเองก็ควรต้องเดินทางกลับแล้ว” หลัวซิวลุกยืนขึ้น แล้วหันมองเกาเหลียงหงที่อยู่ด้านข้าง “เจ้ามีแผนการเช่นไรต่อ ?”

“แน่นอนว่าต้องกลับไปกับเจ้าสำนัก ในฐานะที่เป็นสายนภาเสวียน แล้วจะไม่กลับไท่เสวียนได้อย่างไร ?” เกาเหลียนหงพูดด้วยรอยยิ้ม

สำหรับการตัดสินใจเช่นนี้ของเกาเหลียนหง หลัวซิวเองก็คาดเดาไว้แต่ต้นแล้ว ดังนั้นจึงไม่รู้สึกแปลกใจ

“เจ้าสำนัก ไม่ทราบว่าสำนักไท่เสวียนยังขาดลูกศิษย์อีกหรือไม่ ?” จู่ ๆ หลินจื่อเฟิงก็พูดขึ้นจากทางด้านหลังของหลัวซิว

“เอ่อ ? ทำไมเจ้าถึงอยากเข้าไปอยู่ในสำนักไท่เสวียน ?” หลัวซิวถาม

ถึงแม้เขาจะรู้สึกชื่นชมหลินจื่อเฟิงผู้นี้ แต่อย่างไรเสียพวกเขาทั้งสองก็เพิ่งรู้จักกันได้เพียงไม่นาน

หลินจื่อเฟิงพูดด้วยรอยยิ้ม : “ข้ารู้สึกว่าตัวข้าเองก็รู้จักกับเจ้าสำนักแล้ว อีกทั้งข้ามีความรู้สึกบางอย่างว่า ขอเพียงชาตินี้ข้าคอยติดตามเจ้าสำนัก ชีวิตของข้าก็จะไม่อยู่อย่างไร้ประโยชน์อีกต่อไป”

คำพูดนี้ของหลินจื่อเฟิง ทำให้ใครก็ตามที่ได้ยินต้องรู้สึกงุนงง แต่หลังซิวกลับสัมผัสได้ถึงความจริงใจของหลินจื่อเฟิงว่า ไม่ได้ต้องการเข้ามาอยู่ในสำนักไท่เสวียนเพียงเพื่อจุดประสงค์บางอย่าง

“เจ้าจะเข้ามาอยู่ในสำนักไท่เสวียนของข้าก็ย่อมได้ แต่ข้าจะขอพูดอย่างตรงไปตรงมาก่อน สำนักไท่เสวียนของข้าเพิ่งก่อตั้งขึ้น ยังไม่มีภูมิหลังอะไร อีกทั้งมีศัตรูที่แข็งแกร่งอยู่จำนวนไม่น้อย เจ้าจะต้องพิจารณาให้ถี่ถ้วน” หลัวซิวพูดเช่นนี้

ส่วนเย่เฟยเทียนผู้นั้น หลัวซิวยังคงไม่สนใจ ถึงแม้เขาและตระกูลหยูจะเปรียบเสมือนขมิ้นกับปูน แต่หลัวซิวกลับไม่อยากให้สำนักไท่เสวียน กลายเป็นเครื่องมือที่ใช้เป็นโล่หลบภัย

เมื่อเย่เฟยเทียนกำลังจะเอ่ยปาก หลัวซิวกลับพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงจริงจัง : “พี่เย่ ข้าไม่แน่ใจว่าความสัมพันธ์ระหว่างหยูหลันผู้นั้นกับท่านเป็นเช่นไรกันแน่ แต่ข้าค่อนข้างมั่นใจว่า ท่านถูกตระกูลหยูหลอกใช้แล้ว ดังนั้นข้าขอแนะนำท่านให้ตรวจสอบเรื่องนี้ให้ชัดเจนเสียก่อน จากนั้นค่อยตัดสินใจ”

หลังจากพูดจบ หลัวซิวก็หันหลังเดินจากไป เกาเหลียนหงและหลิงจื่อเฟิงรีบเดินตามหลังเขาไปทันที

หลังจากที่สุดท้ายแล้วยาสลายร่างหลงหยางระดับ 7 ก็มีคนมาซื้อไป แสดงให้เห็นว่างานประมูลยาในครั้งนี้กำลังจะสิ้นสุดลงแล้ว จักรพรรดิยุทธ์ที่อยู่ในห้องใต้หลังคาจำนวนมาก ก็ค่อย ๆ ลุกขึ้น และกล่าวลากับผู้อาวุโสสำนักไม้เสวียน ที่เป็นผู้ดำเนินงานประมูลด้วยความเคารพ จากนั้นจึงหันหลังเดินจากไป

หยูไป๋ยิ้มอย่างเจ้าเล่ห์ หลังจากเขาพาผู้อาวุโสอีกสามคนออกจากห้องใต้หลังคา ก็เหาะออกจากเขาไม้เสวียนอย่างรวดเร็ว

“ฮ่า ๆ ระหว่างตระกูลหยูกับเจ้าสำนักไท่เสวียน จะต้องเปิดศึกครั้งใหญ่อีกครั้งอย่างแน่นอน”

“พวกเราจะไปดูการต่อสู้เพื่อความสนุกกันหน่อยไหม ?”

“อย่าดีกว่า ทั้งสองฝ่ายไม่ว่าใครจะเป็นผู้ชนะ ต่างก็ไม่เป็นผลดีต่อเราทั้งสิ้น เรื่องสนุกบางอย่างก็ใช่ว่าจะเข้าร่วมได้ตามใจ ไม่แน่ว่าอาจต้องจบชีวิตลงด้วยเหตุนี้ก็ได้”

ถึงแม้จะมีคนพูดเช่นนี้ แต่ก็ยังคงมีคนอีกไม่น้อยที่ให้ความสนใจกับศึกใหญ่ครั้งนี้

หลัวซิวค่อย ๆ เดินลงจากเขาไม้เสวียนโดยไม่รีบร้อน จนกระทั่งเดินออกจากสำนักเขาของสำนักไม้เสวียน เขาถึงรู้สึกโล่งใจขึ้นเล็กน้อย

จะว่าไป เมื่อเทียบกับคนของตระกูลหยูเหล่านั้น ค่ายพิทักษ์เขาระดับ 8 ของสำนักไม้เสวียน ยังทำให้เขารู้สึกกดดันมากกว่าเสียอีก

แม้ว่าอาจารย์มกุฎยุทธ์ของตระกูลหยูมา หลัวซิวถามตัวเองแล้วว่าถึงแม้จะเอาชนะไม่ได้ แต่การหลบหนีก็คงไม่ใช่ปัญหา แต่ค่ายกลพิทักษ์เขาระดับ 8 นี้ไม่เหมือนกัน หากสำนักไม้เสวียนคิดจะรั้งให้เขาอยู่ต่อจริง ๆ เกรงว่าเขาคงไม่มีแรงต้านทานเลยแม้แต่น้อย

บนท้องฟ้าที่อยู่เหนือดินแดนรกร้าง ห่างจากสำนักเขาของสำนักไม้เสวียนออกไปสิบกว่าลี้ หยูไป๋พาผู้อาวุโสอีกสามคนยืนอยู่บนท้องฟ้า ร่างกายแผ่ซ่านเจตนาฆ่าอย่างรุนแรงออกมา

บริเวณโดยรอบ มีจักรพรรดิยุทธ์ที่มาจากกองกำลังต่าง ๆ จำนวนไม่น้อย ต่างล้อมวงเฝ้าดูอยู่ห่าง ๆ