พอเห็นมายมิ้นท์ยิ่งอยู่ก็ยิ่งตื่นตระหนกมากขึ้น
ลาเต้ก็รู้สึกปวดใจไม่หยุด
เขาคว้าตัวเธอมากอดไว้ “ยาหยี ไม่ต้องกลัวนะ ไม่แน่อาจจะเป็นแค่ชั่วคราวเท่านั้น อาการอาจจะไม่ได้รุนแรงอย่างที่พวกเราคิดก็ได้”
พูดแล้ว เขาก็ตบกริ่งฉุกเฉินบนหัวเตียงติด ๆ กันไปหลายที
มายมิ้นท์ไม่ได้ฟังคำปลอบใจของลาเต้เข้าไปเลย
เพราะว่าตอนนี้เธอมัวแต่จมอยู่กับความกลัวของการตาบอด ไม่มีทางที่จะฟังอะไรเข้าไปได้เลย
ถึงจะฟังเข้าไป แล้วจะทำอะไรได้ จะยอมเชื่อเหรอ?
ตาก็บอดไปแล้ว จะเป็นแค่ชั่วคราวได้ยังไงกัน!
ในเมื่อ เธอไม่เคยได้ยินมาก่อนว่า จะมีคนตาบอดคนไหนที่ตาบอดแค่ชั่วคราว
มายมิ้นท์หลับตาลง แล้วปล่อยให้น้ำตาไหลไปเงียบ ๆ และทั้งตัวเข้าสู่โหมดโลกส่วนตัว
ลาเต้รู้ว่าเธอที่อยู่ในสภาพแบบนี้ ไม่ว่าคนในโลกภายนอกจะพูดอะไร ก็ไม่มีประโยชน์ทั้งนั้น
ตอนนี้ เขาก็ได้แต่ภาวนาให้หมอนำข่าวดีมาเท่านั้น
ลาเต้กำมือเป็นหมัด แล้วก็จ้องมองมายมิ้นท์อย่างเจ็บปวด
เขาไม่เข้าใจว่าสวรรค์ทำไมต้องเล่นตลกกับยาหยีแบบนี้ด้วย
ทำให้ยาหยีได้รับบาดเจ็บยังไม่พอ ยังจะทำให้ตาบอดอีก สวรรค์ไม่รู้สึกว่าตัวเองโหดร้ายเกินไปเหรอ?
นอกห้องพักผู้ป่วย หมอและพยาบาลชุดหนึ่งก็กำลังเร่งรีบเข้ามา
ที่ห้องพักผู้ป่วยข้าง ๆ ผู้ช่วยเหมันตร์ออกมาดู แล้วก็เห็นหมอกับพยาบาลกลุ่มนี้เข้าไปในห้องพักผู้ป่วยของมายมิ้นท์ บนใบหน้าก็มีแววดีใจปรากฏขึ้นมาทันที และไม่กลับบริษัทแล้ว แล้วรีบย้อนกลับเข้าไปในห้องพักผู้ป่วย มาพูดกับเปปเปอร์ขึ้นว่า “ประธานเปปเปอร์ มีข่าวดีครับ คุณมายมิ้นท์ตื่นแล้วครับ!”
ถ้าไม่ใช่คุณมายมิ้นท์ตื่นขึ้นมา แล้วหมอกับพยาบาลจะเข้าไปเยอะแยะขนาดนั้นทำไม
บนเตียงผู้ป่วย เปปเปอร์กำลังจัดการกับเอกสารอยู่พอได้ยินคำพูดนี้เข้า ก็พับเอกสารปิดลงแล้วก็ลงจากเตียง แม้แต่รถเข็นก็ไม่นั่ง แล้ว และก็ตรงไปที่ห้องข้าง ๆ เลย
พอเข้าประตูมา เปปเปอร์ก็ได้ยินลาเต้ร้องตะโกนขึ้นอย่างร้อนรนว่า “หมอครับ ช่วยมาดูตาของเธอให้หน่อยเร็ว ตาของเธอมองไม่เห็นแล้ว!”
สีหน้าของเปปเปอร์เปลี่ยนไปทันที
มายมิ้นท์มองไม่เห็นแล้วเหรอ?
เปปเปอร์เดินก้าวยาว ๆ ไปทางเตียงผู้ป่วย
ผู้ช่วยเหมันตร์ที่อยู่หน้าประตูนิ่งอึ้งไปทั้งตัว
นี่คุณมายมิ้นท์มองไม่เห็นแล้วเหรอ!
ทำไมเรื่องมันถึงเป็นแบบนี้ไปได้?
เปปเปอร์มาถึงข้างเตียงผู้ป่วย จ้องมองมายมิ้นท์ที่นอนอยู่บนนั้น ดวงตาจ้องมองเพดานไปอย่างไม่มีปฏิกิริยาอะไร แล้วก้มหน้าลงไปถามด้วยน้ำเสียงเคร่งขรึมขึ้นว่า “มายมิ้นท์ คุณเห็นผมไหม?”
มายมิ้นท์ไม่มีการตอบสนอง
ท่าทางแบบนี้ของเธอ ราวกับว่าไม่ได้ยินอะไรเลย
เปปเปอร์ไม่มีทางออก และก็ไม่อยากรบกวนหมอที่กำลังตรวจร่างกายให้เธออยู่ จึงได้แต่หันเป้าหมายไปที่ลาเต้ “ลาเต้ นี่ตกลงมันเรื่องอะไรกัน ทำไมเธอถึงได้มองไม่เห็นแล้ว?”
“คุณมาถามผม แล้วผมจะไปถามใคร?” ลาเต้ถามกลับมาด้วยดวงตาแดงก่ำ
เขาเป็นคนแรกที่รู้ว่ายาหยีมองไม่เห็น
เพราะฉะนั้นเขาจึงอยากรู้มากกว่าใครซะอีกว่าทำไมยาหยีถึงมองไม่เห็น
เปปเปอร์จ้องมองลาเต้ไปครู่หนึ่ง พอมั่นใจว่าลาเต้ไม่รู้เรื่องแล้ว ถึงได้รวบรวมสายตากลับมาแล้วหันไปที่ตัวมายมิ้นท์ใหม่อีกครั้ง ความเป็นห่วงเป็นใยในดวงตานั้นปิดบังไม่อยู่เลย มือที่จับราวเตียงผู้ป่วยอยู่นั้น จับไว้แน่นมาก แสดงให้เห็นถึงความไม่ความไม่สงบในใจของเขา
ผ่านไปพักหนึ่ง หมอก็ตรวจร่างกายเสร็จสิ้นสักที
แล้วชายหมุ่มทั้งสองรีบพุ่งเข้าไปทันที
แต่ในที่สุดเปปเปอร์ก็เป็นคนเอ่ยถามขึ้นก่อนว่า “คุณหมอครับ เธอเป็นยังไงบ้างครับ?”
ในที่สุดมายมิ้นท์ที่อยู่บนเตียงก็มีการตอบสนองขึ้นมาเสี้ยวหนึ่ง ขนตากะพริบขึ้นมาทีหนึ่ง
เห็นได้ชัดว่า เธอเองก็อยากรู้คำตอบเหมือนกัน
หมอเก็บไฟฉายอันเล็กไปแล้วตอบขึ้นมาว่า “การมองไม่เห็นของคุณผู้หญิงท่านนี้ น่าจะเกี่ยวข้องกับอาการบาดเจ็บที่ศีรษะครับ”
“จะหายได้หรือเปล่าครับ?” เปปเปอร์หรี่ตาถามขึ้นมาอีก
หมอส่ายหน้าเล็กน้อย “ตอนนี้ผมยังตอบอะไรไม่ได้ ส่วนรายละเอียดนั้นคงจะต้องใช้เครื่องมือเฉพาะทางมาตรวจดูอีกที ถึงจะแน่ใจได้ว่าเป็นเพราะสาเหตุอะไรที่ทำให้คุณผู้หญิงท่านนี้มองไม่เห็น มีแต่ต้องตรวจเช็กเรื่องนี้ให้ชัดเจน ผมถึงจะรู้ว่าจะหายเป็นปกติได้หรือเปล่า”
พอได้ยินคำพูดนี้ ลาเต้ก็กำหมัดไว้แน่น แล้วพูดเร่งขึ้นว่า “งั้นจะชักช้าอยู่อีกทำไม รีบไปใช้เครื่องมือเฉพาะทางมาตรวจเลยซิครับ เดี๋ยวผมไปลงทะเบียนเอง!”
เขาวิ่งออกไปจากห้องผู้ป่วยอย่างรวดเร็ว
เปปเปอร์จ้องมองดูมายมิ้นท์ อยากจะไปแตะตัวเธอ อยากบอกเธอว่าไม่ต้องเป็นกังวล
แต่สุดท้าย ตอนที่มือของเขาไปถึงตรงหน้ามายมิ้นท์แล้วนั้น ก็ชักกลับมาอยู่ดี
เพราะเขารู้ว่า ในตอนที่เธอตื่นอยู่นั้น ไม่อยากให้เขาแตะต้องตัวเธอ
งั้นเขาก็จะไม่แตะต้อง!
เปปเปอร์สูดหายใจเข้าทีหนึ่ง จ้องไปที่มายมิ้นท์ด้วยแววตาจริงจังและอ่อนโยน “ไม่ต้องกลัวนะ จะต้องหายได้แน่ ๆ ถ้ารักษาที่นี่ไม่หาย ผมก็จะพาคุณไปโรงพยาบาลอื่น ถ้าโรงพยาบาลอื่นยังไม่หายอีก ก็ไปต่างประเทศ ไปหาหมอที่ดีที่สุด จะต้องรักษาตาคุณให้หายได้แน่นอน”
ถึงแม้ว่ามายมิ้นท์จะมองไม่เห็นเปปเปอร์ แต่ฟังจากเสียง ก็พอจะรู้สึกได้ว่าเขาอยู่ตรงไหน
เธอค่อย ๆ หันหน้าไปทางที่เปปเปอร์อยู่ ใช้สายตาที่ว่างเปล่าไร้ความสดใสทั้งสองข้าง‘จ้องมอง’ไปที่เขา
เธออ้าปากขึ้นเล็กน้อย เหมือนกับว่าอยากจะพูดอะไร
เปปเปอร์หรี่ตาแล้วพูดตัดบทขึ้นทันที “เอาล่ะ มีเรื่องอะไร เอาไว้ตาคุณหายแล้วค่อยว่ากัน คุณหมอ ส่งเธอไปที่ห้องตรวจร่างกายเถอะครับ”
เขารู้ ว่าเธอจะพูดพวกคำพูดที่ไม่ต้องการเขา ไม่ต้องการความช่วยเหลือจากเขา
แต่คำพูดแบบนี้ เขาไม่อยากได้ยิน
เขาแค่อยากจะทำอะไรเพื่อเธอสักหน่อย ไม่ได้อยากให้เธอมาให้อภัย แค่อยากจะชดเชยสิ่งต่าง ๆ ที่เคยทำร้ายเธอไว้ในอดีตเท่านั้น
พอหมอเจอคำสั่งที่แข็งกร้าวของเปปเปอร์ ก็ไม่กล้าที่จะคัดค้านอยู่แล้ว จึงรีบให้พยาบาลปลดล็อกเตียงผู้ป่วยลง แล้วก็เข็นไปที่ห้องตรวจเลย
ที่นอกห้องตรวจ เปปเปอร์ และลาเต้ต่างก็เฝ้ารออย่างร้อนรนอยู่
ไมโลก็อยู่ด้วย
ก่อนหน้านี้พยาบาลพิเศษพาไมโลไปกินข้าวเที่ยงที่โรงอาหารของโรงพยาบาลอยู่ เพราะฉะนั้นก็เลยไม่ได้อยู่ในห้องพักผู้ป่วย พอกลับมาที่ห้องพักผู้ป่วยแล้ว และรู้ว่ามายมิ้นท์เข้าไปในห้องตรวจอีกแล้ว ก็เลยให้พยาบาลพิเศษพาตัวเองมาที่นี่
เวลาตรวจของมายมิ้นท์นั้นค่อนข้างยาวนาน
แต่ว่าเปปเปอร์และลาเต้ต่างก็ไม่ได้หมดความอดทนเลยสักนิด
แม้แต่ไมโลเอง ก็ยังนั่งสงบนิ่งอยู่บนเก้าอี้แถวมาตลอด และนั่งรอพร้อมพวกเขาอย่างไม่ได้ร้องว่าเหน็ดเหนื่อยเลยสักนิด
รอไปเกือบสองชั่วโมง มายมิ้นท์ถึงได้โดนเข็นออกมา
พอเปปเปอร์กับลาเต้เห็นเข้า ก็รีบรุดหน้าเข้าไป แล้วเข้าไปยึดจับที่เข็นเตียงไว้คนละข้าง
ส่วนไมโลโดนพยาบาลพิเศษจูงมือไว้ และเดินตามมาข้างหลัง
ในระหว่างทางที่กลับห้องพักผู้ป่วยนั้น เปปเปอร์ก็ถามพยาบาลขึ้นว่า “ผลตรวจออกมาหรือยังครับ?”
“ยังค่ะ หมอกำลังวิเคราะห์อยู่ ต้องรออีกสักพักนะคะ” พยาบาลส่ายหน้าและตอบออกมา
นัยน์ตาของเปปเปอร์มีความผิดหวังพาดผ่านไปเสี้ยวหนึ่ง
ลาเต้เองก็เป็น
แต่ว่าพวกเขาก็ไม่ได้พูดอะไรต่อ แล้วตามกลับห้องพักผู้ป่วยไปอย่างเงียบ ๆ
ประมาณครึ่งชั่วโมงให้หลัง หมอที่รับผิดชอบตรวจดวงตาให้มายมิ้นท์ก็มา และที่ด้านข้างก็มีการันต์ตามมาด้วย
ตอนที่การันต์มานั้น ได้พบกับหมอท่านนี้เข้าพอดี ทั้งสองคนพูดคุยกันในลิฟต์ไปพักหนึ่ง
พอรู้ว่ามายมิ้นท์มองไม่เห็นแล้ว ท่าทีของการันต์ก็เคร่งขรึมขึ้นมา
แต่ว่าต่อมาพอรู้ผลตรวจแล้ว ถึงวางใจลงมาได้
เพราะฉะนั้นตอนนี้เขาก็เลยดูไม่เหมือนกับเปปเปอร์และลาเต้ ที่ยังคอยเป็นกังวลไม่หยุด
“ผลการตรวจของคุณมายมิ้นท์ออกมาแล้ว” หมอเอาผลตรวจในมือยื่นให้กับเปปเปอร์ “ในสมองของคุณมายมิ้นท์มีเลือดคั่งอยู่ก้อนหนึ่ง เลือดที่คั่งอยู่ได้ไปกดทับเส้นประสาทการมองเห็นเข้า จึงทำให้เกิดการมองไม่เห็น”
“งั้นจะหายได้ไหมครับ?” สิ่งที่ลาเต้อยากรู้มากที่สุด ก็คือเรื่องนี้
และก็เป็นสิ่งที่คนอื่น รวมทั้งตัวมายมิ้นท์เองก็อยากจะรู้มากที่สุดด้วย
“หายได้อยู่แล้ว หลังจากที่เลือดที่คั่งอยู่นี้สลายไปแล้ว ก็จะกลับมามองเห็นได้เองครับ” การันต์แทนตอบหมอขึ้นมา
พอได้ยินคำพูดนี้ คนทั้งหมดก็รู้สึกดีใจขึ้นมา
ลาเต้จับมือของมายมิ้นท์เอาไว้ แล้วพูดอย่างตื่นเต้นขึ้นมา “ยาหยี คุณได้ยินหรือยัง? สามารถหายได้ ตาของคุณไม่เป็นอะไรแล้ว จะหายแล้วนะ”
“ฉันรู้ค่ะ ฉันได้ยินแล้ว” ในที่สุดมายมิ้นท์ก็เปิดปากพูดขึ้นมา น้ำเสียงปนสะอื้นและสั่นเทา
เธอรู้สึกดีใจมาก เธอไม่ต้องเป็นคนตาบอดแล้ว
เธอจะสามารถพัฒนาเทนเดอร์กรุ๊ปต่อไปได้ และจะสามารถแก้แค้นให้พ่อได้แล้ว
ตอนแรกเธอนึกว่าตัวเองจะต้องตาบอดไปจริง ๆ ซะแล้ว แต่ใครจะไปรู้ผ่านฟ้าที่มืดครึ้มไปแล้วก็จะเป็นท้องฟ้าที่สดใสใหม่อีกครั้ง และเธอก็ไม่เป็นอะไรแล้ว
ดวงตาของเธอ จะเป็นอย่างที่เต้ว่าจริง ๆ แค่ตาบอดชั่วคราวจริง ๆ ใช่ไหม
เปปเปอร์จ้องมองลาเต้และมายมิ้นท์ที่จับมือกันอยู่ เรียวปากก็เม้มขึ้นเล็กน้อย ความดีใจเรื่องที่ตาของมายมิ้นท์ไม่เป็นอะไรแล้วหายไปไม่น้อยเลย