ตอนที่ 382 พวกท่านเป็นคุณพ่อคุณแม่ของคุณ / ตอนที่ 383 จิ้นหยวนน้อยผู้น่ารัก

เสน่ห์รักร้ายคุณบอสเพลย์บอย

ตอนที่ 382 พวกท่านเป็นคุณพ่อคุณแม่ของคุณ

 

 

           คุณนายน้อยคนใหม่คนนี้ไม่ธรรมดา ใช้เวลาเพียงไม่นานก็สามารถเนรมิตรอาหารออกมาได้ครบเครื่องครบรส

 

 

           เห็นหน้าตาสวยๆ ท่าทางสง่างามเหมือนลูกคุณหนู ใครจะไปคิดว่าฝีไม้ลายมือในการทำอาหารจะดีมากขนาดนี้ ผิดคาดจริงๆ

 

 

           เนื่องจากเวลาที่จำกัด ทำให้เธอทำอาหารได้เพียงสองอย่างและน้ำซุปอีกหนึ่งอย่างเท่านั้น ตอนที่เธอและสาวใช้ยกอาหารออกไปเสิร์ฟก็เห็นจิ้นหยวนกำลังนั่งคุยอยู่กับคุณพ่อคุณแม่ของเขาแล้ว

 

 

           จิ้นหยวนเห็นเฉียวซือมู่เดินออกมาจากในครัว จึงรีบลุกขึ้นยืนด้วยความดีใจ “มู่มู่ คุณทำอาหารเหรอ?”

 

 

           เขารีบเดินเข้าไปแย่งถาดใส่อาหารในมือเธอมาถือไว้เอง “ที่บ้านมีคนใช้ตั้งเยอะ คนครัวก็ไม่น้อย ทำไมคุณถึงยังเข้าครัวเองล่ะ? ต่อไปไม่ต้องทำแล้วนะ ผมไม่อยากให้คุณเหนื่อย”         

 

 

           เธอยิ้มให้เขาอย่างไม่คิดมาก “ทำอาหารแค่สองสามอย่างเอง ไม่เหนื่อยหรอกค่ะ เมื่อก่อนคุณชอบอาหารฝีมือฉันมากเลยไม่ใช่เหรอคะ?”

 

 

           จิ้นหยวนส่ายศีรษะ “เมื่อก่อนคุณทำอาหารให้ผมแค่คนเดียวนี่ แต่ตอนนี้ต้องทำสำหรับคนทั้งครอบครัว มันจะไปเหมือนกันได้ยังไง?”

 

 

           เธอหัวเราะ “พรืด” แล้วเอ่ย “ก็พวกท่านเป็นคุณพ่อคุณแม่ของคุณนี่คะ และเป็นคุณพ่อคุณแม่ของฉันด้วย”

 

 

           “ผมดีใจมากเลยนะที่คุณคิดแบบนี้ แต่คุณก็ต้องระวังสุขภาพตัวเองด้วย” เขาเอ่ยพลางช่วยเธอเสิร์ฟอาหารลงบนโต๊ะ

 

 

           ฉินเพ่ยหรงเห็นแล้วไม่พอใจขึ้นมาอีก “แค่ทำกับข้าวจะเป็นไรไป? แค่นี้ก็ไม่พอใจแล้วหรือไง?”

 

 

           “ไม่ใช่อย่างนั้นนะคะ หนูแค่คุยเรื่อยเปื่อยกับอาหยวนเท่านั้น” เฉียวซือมู่รีบอธิบาย

 

 

           จิ้นหยวนมองหน้าคุณแม่อย่างไม่ค่อยพอใจ “คุณแม่อย่าเห็นมู่มู่ขัดหูขัดตาสิครับ ขืนยังเป็นอย่างนี้ ผมจะพาเธอกลับจริงๆ ด้วย”

 

 

           ฉินเพ่ยหรงหน้าตึง ยังอยากจะหาเรื่องอีก จิ้นเฮ่ากระแทกตะเกียบลงกับโต๊ะเสียงดัง “ปัง” ด้วยความรำคาญเต็มทน “พอได้แล้ว แต่ละคนพูดให้มันน้อยๆ หน่อย!”

 

 

           ประมุขในบ้านสำแดงอำนาจจนทุกคนพากันเงียบกริบ ฉินเพ่ยหรงเชื่อฟังสามีมาก จึงไม่กล้าพูดอะไรอีก ได้แต่นั่งรับประทานอาหารเงียบๆ

 

 

           จิ้นหยวนกินเพียงไม่กี่คำก็รู้แล้วว่าเฉียวซือมู่เป็นคนทำเมนูปลาต้มพริกสไตล์เสฉวน เพราะทั้งหอมทั้งเผ็ดร้อน เป็นเมนูที่เรียกน้ำย่อยได้ดีมาก เขาจึงคีบเนื้อปลาให้คุณแม่ชิม “คุณแม่ลองชิมดูนะครับ มู่มู่ตั้งใจทำเป็นพิเศษเลย นี่เป็นอาหารจานเด็ดของเธอเลยนะครับ”

 

 

           หลังจากลองชิมดูแล้วฉินเพ่ยหรงต้องประหลาดใจมาก ตอนแรกเธอคิดว่าลูกชายตั้งใจชมเพราะอยากให้ภรรยาตนได้หน้า ไม่นึกเลยว่าฝีมือทำอาหารของเธอจะดีมากจริงๆ

 

 

           ซึ่งเป็นสิ่งที่เหนือความคาดหมายของเธอ ดูเหมือนเฉียวซือมู่จะมีดีอยู่บ้าง

 

 

           ทันใดนั้น เธอเกิดอคติขึ้นอีก ก็แค่ทำอาหารเป็น คนใช้ในบ้านยังทำอาหารเป็นกันทุกคนเลย

 

 

           เมื่อคิดได้ดังนั้น เธอจึงครางเสียงฮึเย็นๆ “ไม่เลว”

 

 

           จิ้นหยวนเห็นคุณแม่ปากไม่ตรงกับใจ จึงก้มหน้าเอ่ยกับเฉียวซือมู่เบาๆ “ไม่ต้องคิดมาก เรากินกันดีกว่า”

 

 

           เฉียวซือมู่ยิ้มหวานให้เขา ความอบอุ่นแผ่ซ่านเต็มหัวใจ

 

 

           ฉินเพ่ยหรงเห็นสองหนุ่มสาวคุยกันกะหนุงกะหนิงแล้วรู้สึกบาดตาจนทนไม่ไหว แต่เธอก็ไม่มีเหตุผลหาเรื่องเฉียวซือมู่อีก ยิ่งไม่อยากมีปัญหากับลูกชายด้วย จึงได้แต่กล้ำกลืนความไม่พอใจเอาไว้ในอก ทีนี้ แม้แต่อาหารโปรดของตนก็กินไม่ลงเสียแล้ว

 

 

           เธอวางตะเกียบลงแล้วเอ่ยกับทั้งสอง “แม่อิ่มแล้ว” จากนั้นลุกเดินออกจากที่นั่ง

 

 

           จิ้นหยวนมองดูท่าทางของคุณแม่แล้วได้แต่ส่ายศีรษะ คิดไม่ตกเลยว่าคุณแม่ที่เคยมีเมตตาและอ่อนโยนคนนั้นทำไมถึงกลายเป็นแบบนี้ไปได้

 

 

           หลังจากฉินเพ่ยหรงลุกออกไปแล้ว คนที่เหลือจึงรับประทานอาหารกันอย่างมีความสุข และอาหารเย็นมื้อนั้นก็ผ่านพ้นไปอย่างราบรื่น จิ้นหยวนและเฉียวซือมู่บอกราตรีสวัสดิ์ จากนั้นเดินขึ้นไปยังห้องนอนของจิ้นหยวนที่อยู่ชั้นสาม

 

 

 

 

ตอนที่ 383 จิ้นหยวนน้อยผู้น่ารัก

 

 

           เมื่อเดินเข้าไปในห้อง เฉียวซือมู่ถึงกับเบิกตาโตมองดูสไตล์การตกแต่งห้องที่แตกต่างจากส่วนอื่นๆ ในคฤหาสน์หลังใหญ่

 

 

           หากห้องนอนของเธอกับจิ้นหยวนเป็นการตกแต่งสไตล์โรแมนติกเรียบง่ายที่มีความเป็นเธอและเขาผสมผสานกันแล้วล่ะก็ ห้องนี้ก็คือห้องที่มีความเป็นจิ้นหยวนอย่างเต็มตัว เพราะมันเป็นห้องที่มีแต่สีขาวและสีดำ เห็นแล้วสามารถรู้ได้ทันทีว่าเจ้าของห้องต้องเป็นชายหนุ่มมาดเข้มอย่างแน่นอน

 

 

           จิ้นหยวนกวาดสายตามองดูห้องตรงหน้าแล้วทอดถอนใจ “นี่เป็นห้องที่ผมอยู่ตั้งแต่เด็กจนโต ผมไม่ได้ใช้ห้องนี้นานมากแล้ว”

 

 

           ของใช้บางส่วนของเธอถูกวางอยู่บนเตียง และพวกเครื่องสำอางถูกวางไว้อีกที่

 

 

           จิ้นหยวนเป็นคนขนของพวกนี้มาให้เธอ เธอเดินเข้าไปดูใกล้ๆ เห็นว่าได้ของมาครบทุกอย่าง เธอรู้สึกหวานชื่นในใจ ดูเหมือนจิ้นหยวนจะใส่ใจทุกรายละเอียดของเธอจริงๆ

 

 

           เขาเดินเข้าไปใกล้เธอ ยื่นแขนโอบเอวเธอพลางกระซิบถามเสียงแผ่วข้างหูเธอ “ดูซิว่ายังขาดเหลืออะไรอีกหรือเปล่า?”

 

 

           เธอส่ายศีรษะ “ได้มาครบทุกอย่างเลยค่ะ”

 

 

           “อืม งั้นช่วงนี้คงต้องลำบากคุณแล้วนะ อีกสักพัก เดี๋ยวผมจะหาข้ออ้างย้ายออกไปเอง” น้ำเสียงเขาแสดงออกชัดเจนว่าไม่ชอบใจที่ต้องอยู่ที่นี่

 

 

           เธอฟังแล้วรู้สึกขำ “นี่บ้านคุณนะคะ ฉันต้องเป็นคนบังคับให้คุณพูดถึงจะถูกสิ”

 

 

           จิ้นหยวนก้มหน้าลง ใช้นิ้วจิ้มจมูกเธอเบาๆ “ผมรู้ว่าคุณก็คิดแบบนี้เหมือนกัน ผมก็เลยพูดแทนคุณไง”

 

 

           “ฉันเปล่าซะหน่อย” เธอย่นจมูกแย้งเขา

 

 

           เขาหัวเราะเบาๆ พาเธอไปนั่งลงบนเตียง “ครับ คุณไม่ได้คิด แต่ผมคิด พอใจหรือยัง ชั้นบนเป็นห้องหนังสือ เดี๋ยวผมจะไปทำงานที่ห้องนั้น คุณจะไปด้วยกันไหม?”

 

 

           “จริงเหรอคะ? ไปค่ะ ไป”

 

 

           ดวงตาเธอเป็นประกายวาบ รีบตอบรับทันที

 

 

           ทั้งสองหมุนตัวเดินออกจากห้อง มุ่งหน้าไปยังห้องหนังสือ

 

 

           จิ้นหยวนหยิบคอมพิวเตอร์โน๊ตบุ๊คออกมา เริ่มลงมือสะสางงานที่ยังคั่งค้างในวันนี้ ส่วนเฉียวซือมู่เดินเหลียวซ้ายแลขวาไปทั่ว สุดท้ายสายตาสะดุดเข้ากับกรอบรูปที่วางอยู่มุมโต๊ะ

 

 

            เธอเดินเข้าไปดูใกล้ๆ เพราะความอยากรู้ ในกรอบรูปเป็นรูปครอบครัวสามคนพ่อแม่ลูก จิ้นเฮ่าและฉินเพ่ยหรงในวัยหนุ่มสาวกำลังส่งยิ้มกว้างอย่างมีความสุขให้กล้อง ส่วนจิ้นหยวนนั่งขี่คอจิ้นเฮ่า ดวงตากลมโตยิ้มจนตาหยี

 

 

           จิ้นหยวนในรูปถ่ายน่าจะอายุประมาณสามหรือสี่ขวบเท่านั้น

 

 

           นี่ถือเป็นเซอร์ไพรส์ที่คาดไม่ถึง ไม่นึกเลยว่ามาอยู่ที่นี่แล้วจะได้เห็นอะไรดีๆ แบบนี้ด้วย เธอมองดูจิ้นหยวนน้อยที่เหมือนตุ๊กตาในรูปถ่าย แล้วหันไปมองจิ้นหยวนที่กำลังนั่งหันหน้าด้านข้างให้ตน ดวงหน้าคมเข้ม รูปร่างสง่างาม เสน่ห์เต็มชายของเขาในตอนนี้ แตกต่างจากวัยเด็กอย่างสิ้นเชิง จนเธอต้องมองเขาสลับกับจิ้นหยวนน้อยในรูปถ่ายไปมาอยู่อย่างนั้น

 

 

           คิดไม่ถึงเลยว่าตอนเด็กๆ เขาจะหน้าตาแบบนี้ น่ารักเป็นบ้า

 

 

           เขาสังเกตเห็นสายตาเธอที่มองมายังตนบ่อยๆ จึงชายตามองไปยังเธอ “คุณกำลังดูอะไรอยู่น่ะ”

 

 

           เขาหยุดสายตาอยู่ที่มือเธอ ลุกขึ้นแล้วเดินเข้าไปดูใกล้ๆ จากนั้นหัวเราะเบาๆ “คุณเจอได้ยังไงเนี่ย?”

 

 

           เธอชูแขนขึ้นสูง “ก็วางอยู่บนโต๊ะ ไม่เห็นสิแปลก” เธอชูกรอบรูปขึ้นให้อยู่ระดับเดียวกันกับใบหน้าเขา หรี่ตาลงแล้วเพ่งมองอย่างละเอียด “อืม เหมือนมาก”

 

 

           เขาโอบเอวเธอพลางหัวเราะชอบใจ “ก็คนเดียวกันนี่ ต้องเหมือนกันอยู่แล้วสิ”

 

 

           เธอหัวเราะอย่างอดไม่ไหว “ค่า คิดไม่ถึงเลยว่าตอนเด็กจะน่ารักมากขนาดนั้น โตขึ้นแล้วจะ…”

 

 

           “จะอะไร?”

 

 

           “จะร้ายมากขนาดนี้ไง…” เธอซบศีรษะลงกับอกเขา ลากเสียงยาวอย่างอ่อยๆ จนจิ้นหยวนหวามใจ

 

 

           “ร้ายเหรอ? งั้นผมจะทำให้คุณรู้เองว่าผมร้ายมากแค่ไหน” เขาหายใจแรง ช้อนเธอขึ้นอุ้ม เดินก้าวยาวๆ กลับไปยังห้องนอน

 

 

           ฉินเพ่ยหรงเห็นทุกอย่างในสายตา ในใจเริ่มวางแผนว่าต่อจากนี้เธอควรจะทำอย่างไร เพื่อทำให้เฉียวซือมู่ยอมไปจากลูกชายแต่โดยดี

 

 

           และโอกาสที่เธอเฝ้ารอคอยก็มาถึงอย่างรวดเร็ว ผ่านไปเพียงไม่กี่วัน จิ้นหยวนกลับบ้านพร้อมข่าวสำคัญ บริษัทสาขาอเมริกาเหนือมีเรื่องสำคัญที่เขาต้องไปจัดการ เขาจึงต้องไปดูงานที่นั่นหลายวัน

 

 

           หลังจากได้ยินข่าวนี้ ฉินเพ่ยหรงเริ่มวางแผนในใจทันที ส่วนเฉียวซือมู่รู้สึกไม่สบายใจมาก แต่ตอนนี้เป็นเวลาอาหาร เธอจึงได้แต่ก้มหน้ารับประทานอาหารเงียบๆ

 

 

           ฉินเพ่ยหรงเห็นท่าทางเธอแล้วหาเรื่องติเตียนทันที “อาหยวนต้องออกไปดูงานเพื่อความเจริญก้าวหน้าในหน้าที่การงาน แค่นี้ก็ต้องไม่พอใจด้วย?”

 

 

           เฉียวซือมู่เงยหน้าขึ้นด้วยความงุนงง “เปล่านี่คะ”

 

 

           “แล้วทำไมต้องทำหน้าอมทุกข์แบบนั้น? หรือกำลังคิดว่าอาหยวนไม่อยู่บ้านแล้วจะไม่มีคนคอยหนุนหลัง?”

 

 

           “คุณแม่…” เฉียวซือมู่ยังไม่ทันจะได้พูด จิ้นหยวนก็ทนฟังไม่ไหวอีกต่อไป “คุณแม่พูดให้มันน้อยๆ หน่อยได้ไหมครับ? เธอยังไม่ได้พูดอะไรสักคำ คุณแม่ก็ยังจะหาเรื่องเธออีกเหรอครับ?”

 

 

           ฉินเพ่ยหรงถูกลูกชายหักหน้าต่อหน้าทุกคน เธอโกรธจนตาแดงก่ำ โยนตะเกียบทิ้งลงบนโต๊ะ “ดีนี่ ตอนนี้มารยาทลูกดีเหลือเกินนะ กล้าว่าแม่อย่างนี้เลยเหรอ? นี่แม่ยังเป็นแม่ของลูกอยู่หรือเปล่า? ถ้างั้นลูกก็ไปนับแม่ของเธอเป็นแม่ของตัวเองเลยสิ”