ตอนที่ 14 ปรากฏแล้ว โดย Ink Stone_Fantasy
เงาร่างสองสายปรากฏขึ้นจากความว่างเปล่า ซึ่งก็คือตงป๋อเสวี่ยอิงและหลัวไห่ที่เคียงบ่าเคียงไหล่กันบุกเข้ามานั่นเอง พวกเขาทั้งสองพุ่งทะยานมายังดินแดนอลหม่านอันใหญ่โตเบื้องหน้าแห่งนี้โดยไม่ลังเลเลยแม้แต่น้อย
“ฮ่าฮ่าฮ่า ในที่สุดพวกเจ้าก็มาเสียที!”
เมื่อเสียงอันก้องกังวานนั้นแผ่มาตามอากาศอันสับสนอลหม่านที่กว้างใหญ่ไพศาล ตงป๋อเสวี่ยอิงก็อดสีหน้าเปลี่ยนแปรไปไม่ได้ ไม่ดีแล้ว ตนและพี่หลัวไห่เข่นฆ่ามาตลอดทาง ในที่สุดก็ยั่วโมโหผู้แกร่งกล้าของขุมอำนาจฝั่งนี้ขึ้นมาจริงๆ เสียแล้ว พวกเขายังมิทันได้เข้าไปในดินแดนอลหม่านเลย อีกฝ่ายก็ตรวจพบก่อนแล้ว เห็นได้ชัดว่ารออยู่ก่อนแล้ว
“น่าสนใจดีนี่ น้องตงป๋อ อย่ากังวลไปเลย มาดูกันสิว่าที่แท้แล้วพวกเขามีผู้แกร่งกล้าหน้าไหนบ้าง” หลัวไห่กลับมองอย่างสนอกสนใจ
ตงป๋อเสวี่ยอิงจนใจนัก
หลัวไห่สามารถข้ามขั้นไปต่อสู้กับสิ่งมีชีวิตขั้นรวมเป็นหนึ่งได้ แต่หากตนเผชิญหน้ากับขั้นรวมเป็นหนึ่ง ก็ต้องถูกกวาดล้างอย่างสิ้นเชิง
“เอ๊ะ” ทันใดนั้นสีหน้าของตงป๋อเสวี่ยอิงก็พลันเปลี่ยนแปรไป “ระวังด้วย พวกเขาวางค่ายกลเอาไว้ก่อนแล้ว อีกทั้งขอบเขตก็ยังกว้างอย่างยิ่งอีกด้วย”
หลัวไห่ก็หันไปมอง
ทันใดนั้นกลางอากาศอันสับสนอลหม่านด้านหลังที่กว้างใหญ่หาใดเปรียบ ซึ่งหนาวเหน็บและเงียบเหงานั้น บัดนี้กลับมีเมฆหมอกสีดำจำนวนนับไม่ถ้วนม้วนตัวอยู่ เมฆดำบดบังทุกสิ่ง ขอบเขตนั้นกว้างใหญ่กว่าขอบเขตในการรับรู้อากาศของตงป๋อเสวี่ยอิงมากนัก! ซึ่งหมายความว่าขอบเขตของค่ายกลแห่งนี้ต้องมากกว่าขนาดของจักรวาลแห่งนี้ไปแล้ว
“ผู้ที่สามารถวางค่ายกลเช่นนี้ได้ ในขั้นรวมเป็นหนึ่งก็มีเพียงผู้แกร่งกล้าที่เชี่ยวชายทางด้านค่ายกลจำนวนหยิบมือหนึ่งเท่านั้น” หลัวไห่ก็หน้าเปลี่ยนสีไปเล็กน้อย “วางค่ายกลที่มีขอบเขตกว้างขวางมากเช่นนี้ขึ้นมา ก็ด้วยกลัวว่าพวกเราจะเคลื่อนที่ในพริบตาหนีไป ถึงได้วางไว้กว้างถึงเพียงนี้”
“ไม่ นี่ นี่เป็นค่ายกลที่สิ่งมีชีวิตขั้นอลวนวางขึ้นมาต่างหาก” หลัวไห่พลันหน้าถอดสี “อย่างน้อยส่วนของค่ายกลก็เป็นยักษ์ใหญ่ขั้นอลวนที่หลอมขึ้นมา”
ตงป๋อเสวี่ยอิงก็มองเห็นแล้วเช่นกัน
เมฆดำม้วนตัวไปปกคลุมทั่วทุกหนทุกแห่ง กลางเมฆดำยังมีงูสายฟ้าเลื้อยไปทั่ว นอกจากนี้ใต้ชั้นเมฆยังมีหยาดฝนสาดซัด ตงป๋อเสวี่ยอิงสามารถสัมผัสได้ถึงรสชาติของ ‘อากาศ’ เลยทีเดียว ท่ามกลางอากาศอันสับสนอลหม่านที่กว้างใหญ่ไพศาล สามารทำให้สายฝนและอากาศปรากฏขึ้นเป็นวงกว้างได้…
นี่เป็นวิธีการบุกเบิกโลกขึ้นมาจากกลางอากาศอันสับสนอลหม่านแล้ว ในค่ายกลต้องมีส่วนใจกลางซึ่งสิ่งมีชีวิตขั้นอลวนเป็นผู้หลอมขึ้นมาอย่างแน่นอน
“ยุ่งยากใหญ่แล้ว” ตงป๋อเสวี่ยอิงก็รู้สึกตื่นตระหนกขึ้นมาเช่นกัน
วิธีการรักษาชีวิตของศิษย์อาภรณ์ทองแห่งวังทวีสูญก็ไม่เคยคำนึงถึงการต้านทานขั้นอลวนมาก่อน
‘น้ำเต้าสีดำ’ สมบัติพิทักษ์วิถีของผู้ท่องอากาศ ต่อให้ในภายหน้าตนสำเร็จเป็นเทพอากาศ ก็ทำได้เพียงอาศัยสิ่งนี้รับมือขั้นรวมเป็นหนึ่งซึ่งสูงกว่าอีกขั้นหนึ่งเท่านั้น! ไม่มีทางรับมือสิ่งมีชีวิตขั้นอลวนได้เลย!
สิ่งใดที่เรียกว่าขั้นอลวนน่ะหรือ
เทพอากาศนั้นมีมากมาย โดยเฉพาะอย่างเช่นระบบลัทธิจอมมารดา ระบบสายโลหิตและระบบเหล่ากลืนกิน ความยากในการกำเนิดเทพอากาศนั้นเมื่อเทียบกันแล้วก็ต่ำกว่ามากทีเดียว! แต่ ‘ขั้นอลวน’ นั้น ไม่ว่าจะเป็นระบบการบำเพ็ญใด ก็ล้วนมีจำนวนน้อยเสียจนน่าสงสาร ถึงขั้นที่ว่ายักษ์ใหญ่ขั้นอลวนแต่ละคนล้วนมีชื่อเสียงเกรียงไกรในโลกทิพย์ทั้งห้า
จากขั้นรวมเป็นหนึ่งก้าวไปสู่ขั้นอลวนนั้น พลังต้องเปลี่ยนแปลงจากแก่นแท้! เช่นระบบความเร้นลับของกฎเกณฑ์ ภายในกายสามารถวิวัฒน์ขึ้นมาเป็นจักรวาลขนาดเล็กแห่งหนึ่งได้! ทุกการกระทำล้วนมีการรวมตัวกันของพละกำลังของจักรวาลขนาดเล็ก
โดยทั่วไปหากร่างจริงของเทพจักรวาลมิได้มาเอง เป็นเพียงแค่ร่างแปรเท่านั้น ก็ไม่สามารถทำอะไรขั้นอลวนได้!
“คงจะไม่ถึงกับขั้นอลวนมาเองหรอกกระมัง” ตงป๋อเสวี่ยอิงรำพึง “ต่อให้เป็นดินแดนอลหม่านสองร้อยกว่าแห่ง ก็คงไม่อยู่ในสายตาของสิ่งมีชีวิตขั้นอลวนหรอกกระมัง”
……
ในใจเขาคิดเช่นนี้ แต่รอบด้านกลับมีเมฆดำ สายฟ้า หยาดฝนและอากาศต่างๆ อยู่ ค่ายกลอันมหึมาแห่งนี้หมุนเวียนไปจนเป็นกฎเกณฑ์ของจักรวาลขนาดเล็กแห่งหนึ่งแล้ว ค่ายกลเช่นนี้ก็ควบคุมได้ยากยิ่งนัก จะกระตุ้นและควบคุมก็เกรงว่าต้องให้ขั้นรวมเป็นหนึ่งหลายคนร่วมมือกันจึงจะทำได้สำเร็จ
“รู้จักกลัวแล้วหรือ” เสียงทุ้มต่ำสายหนึ่งดังก้องขึ้น เงาร่างอันใหญ่มหึมาห้าสายปรากฏให้เห็นรางๆ ท่ามกลางเมฆดำ
“กลัวรึ อาศัยแค่พวกเจ้าน่ะหรือ” หลัวไห่ในอาภรณ์สีเงินทั้งร่างกลับพูดพลางยิ้มเย็น “มีวิธีการอันใดก็ใช้มาให้เต็มที่เถิด ให้ข้าได้เห็นลูกไม้ของเจ้าเสียหน่อย”
“รนหาที่ตายจริงๆ”
อุ้งเท้าอันเต็มไปด้วยขนดกหนายื่นออกมาท่ามกลางเมฆดำ มันใหญ่โตเกินไปแล้ว เมื่อทุบลงมาคราหนึ่งก็ทุบมาทางตงป๋อเสวี่ยอิงและหลัวไห่พร้อมกัน หลัวไห่เห็นเข้าก็พลันชักดาบรบด้านหลังออกมาทันที ดาบรบเป็นประกายวาบขึ้นมา แล้วประกายดาบอันเรืองรองสายหนึ่งก็เข้าไปรับอุ้งเท้ามหึมาที่เต็มไปด้วยขนดกหนานั้น
ตงป๋อเสวี่ยอิงหยิบป้ายอักขระขึ้นมาก่อนแล้ว ศิษย์อาภรณ์ทองแห่งวังทวีสูญมีป้ายอักขระทั้งหมดสามอัน ซึ่งได้แก่ป้ายอักขระซ่อนเร้น ป้ายอักขระเคลื่อนย้ายและป้ายอักขระป้องกัน ภายในค่ายกลอันน่าหวาดหวั่นเช่นนี้ เคลื่อนย้ายย่อมไม่ได้อย่างแน่นอน ซ่อนเร้นก็คาดว่าคงจะมีประโยชน์ไม่มากนัก มีเพียงป้องกันเท่านั้น
ป้ายอักขระป้องกันนั้นสามารถต้านทานการโจมตีระดับขั้นรวมเป็นหนึ่งได้ หากเผชิญหน้ากับขั้นอลวนก็ใช้ไม่ได้แล้ว ทว่าวิญญาณอาวุธน้ำเต้าสีดำบอกเขาก่อนแล้วว่า ตรงหน้าคือสิ่งมีชีวิตขั้นรวมเป็นหนึ่งห้าตน
“ตู้มมม…”
ประกายดาบปะทะเข้ากับอุ้งเท้ามหึมา
ร่างกายของหลัวไห่สั่นสะเทือนคราหนึ่ง แล้วรอยเลือดก็ปรากฏขึ้นที่มุมปาก ทว่าก็ยังคงสามารถต้านทานเอาไว้ได้ เขาแสยะยิ้มก่อนจะหันมามองตงป๋อเสวี่ยอิงที่อยู่ด้านหลังแวบหนึ่ง “น้องตงป๋อ เจ้าวางใจเถิด ข้าเคยบอกแล้วว่าจะปกป้องเจ้า ตัวโง่งมอย่างพวกเขาทำร้ายเจ้าและข้ามิได้หรอก”
“อาศัยกฎเกณฑ์ของค่ายกลก็ไม่สามารถตะปบเขาให้ตายได้หรือนี่”
“ปรับเปลี่ยนอานุภาพค่ายกลให้สุดกำลัง”
“บีบเขาให้ตาย”
“ลงมือ”
อุ้งเท้ามหึมาโจมตีเข้ามาอีกครั้ง ทว่าครั้งนี้บนอุ้งเท้ามีโลกแห่งหนึ่งปรากฏขึ้นมาด้วย ในโลกนั้นมีเมฆดำม้วนตัวอยู่ มีสายฟ้า หยาดฝนและอากาศ ราวกับภาพย่อส่วนของค่ายกลอันใหญ่โตอย่างไรอย่างนั้น อานุภาพของมันก็ปะทุสูงขึ้นอย่างเห็นได้ชัด
หลัวไห่เห็นเข้าก็แค่นเสียงเฮอะอย่างเย็นชาคราหนึ่ง ผิวกายของเขาพลันเปล่งประกายสีทองออกมา ประกายสีทองนั้นราวกับที่บังแสงซึ่งปกป้องตงป๋อเสวี่ยอิงที่อยู่ด้านข้างเอาไว้ และปกป้องตัวเขาเองด้วยเช่นกัน
“ฟิ้ว” ขณะที่อุ้งเท้าตะปบลงมา มือทั้งคู่ของหลัวไห่ก็คว้าดาบรบขึ้นมาแล้วตวัดขวางด้านบน
ตู้ม…
ครั้งนี้อานุภาพแข็งแกร่งกว่ามากอย่างเห็นได้ชัด ร่างของหลัวไห่สั่นสะท้านคราหนึ่งแล้วละอองโลหิตก็ถูกพ่นออกมาจากปาก ประกายสีทองรอบด้านก็สั่นสะท้านคราหนึ่ง ทว่ายังคงสมบูรณ์ดี
“ต่อให้เป็นขั้นรวมเป็นหนึ่ง เมื่อพวกเราร่วมแรงกัน ก็สามารถบีบให้ตายได้อย่างง่ายดาย แค่ขั้นกำเนิดอย่างเขาคนหนึ่งไยจึงต้านทานได้ดีถึงเพียงนี้เล่า” เทพอากาศขั้นรวมเป็นหนึ่งทั้งห้าต่างก็ตกใจใหญ่ ทว่าพวกเขายังคงโจมตีอย่างบ้าคลั่งต่อไป ตู้ม ตู้ม ตู้ม…อุ้งเท้าตะปบลงมาครั้งแล้วครั้งเล่า เดิมทีการควบคุมค่ายกลนี้ก็กินแรงพวกเขาอย่างมากแล้ว การนำอานุภาพของค่ายกลเสริมเข้าไปในอุ้งเท้าหนึ่งก็ถือว่าทำอย่างสุดกำลังแล้ว ดังนั้นทุกครั้งจึงแค่ใช้อุ้งเท้าโจมตีเท่านั้น
แต่พวกเขาเข้าใจดีมากว่า เมื่ออุ้งเท้านี้ตะปบลงไป ก็เพียงพอให้ดินแดนอลหม่านแห่งหนึ่งแหลกเป็นผุยผงได้แล้ว!
แต่ชายหนุ่มอาภรณ์สีเงินผู้นี้กลับต้านเอาไว้ได้เสียนี่! โจมตีต่อเนื่องกันสิบกว่าครั้งก็สามารถต้านทานเอาไว้ได้
“ฮ่าฮ่าฮ่า วางใจเถิด” หลัวไห่ถูกกระแทกเสียจนกระอักโลหิตออกมาอีกครั้ง เขามองไปทางตงป๋อเสวี่ยอิงที่อยู่ด้านหลัง “น้องตงป๋อ เห็นแล้วใช่หรือไม่ ข้าเคยบอกแล้วว่าปกป้องเจ้าได้ พวกเขาก็ไม่มีทางทำให้เจ้าบาดเจ็บได้หรอก”
ตงป๋อเสวี่ยอิงมองดูฉากนี้ ยามนี้ สถานะของหลัวไห่ในใจเขายกระดับขึ้นมากทีเดียว
“อาศัยวิธีการเหล่านี้น่ะหรือ”
“ยังบกพร่องไปมากทีเดียว! หากพูดถึงร่างเทพของข้า ก็แข็งแกร่งกว่าสิ่งมีชีวิตแห่งห้วงอากาศอย่างพวกเจ้ามากนัก” หลัวไห่พูดพลางหัวเราะเสียงดัง
“เป็นแค่เศษสวะฝูงหนึ่งจริงๆ!”
น้ำเสียงเย็นชาดังก้องขึ้น มันสะท้อนไปทั่วทุกหนแห่ง ราวกับมีลมอันเย็นเยียบระลอกหนึ่งพัดผ่านวิญญาณ ทำให้ตงป๋อเสวี่ยอิงและหลัวไห่ใจสะท้านขึ้นมาอย่างมิอาจควบคุมได้
ผู้แกร่งกล้าขั้นรวมเป็นหนึ่งทั้งห้าที่อยู่ไกลออกไปล้วนเผยร่างจริงออกมา พวกเขายืนตัวสั่นงันงกอยู่ด้านข้าง แล้วต้อนรับด้วยความเคารพ ทันใดนั้นไกลออกไปก็มีบุรุษผิวสีเทาร่างผอมแห้งผู้หนึ่งปรากฏกายขึ้น เหนือผิวกายทั่วร่างของเขามีโลหะอันแปลกประหลาดฝังอยู่ พวกมันปกป้องต้นขา หน้าอก และแผ่นหลังเอาไว้เป็นอย่างดี เขาผอมแห้งอย่างยิ่ง ผอมเสียจนมองเห็นกระดูกทั่วร่างของเขาได้ ราวกับโครงกระดูกร่างหนึ่งอย่างไรอย่างนั้น
นัยน์ตาทั้งคู่ของเขาเต็มไปด้วยความว่างเปล่า
ตงป๋อเสวี่ยอิงสีหน้าเปลี่ยนแปรไป ตนเพิ่งจะจากบ้านเกิดมาได้นานสักเท่าใดกัน เจ้าหนุ่มที่แม้แต่เทพอากาศก็ยังมิใช่เช่นเขา มาพบขั้นอลวนเข้าเช่นนี้น่ะหรือ ตอนนั้นจอมกระบี่แห่งเกาะใจกลางทะเลสาบก็บรรลุถึงระดับขั้นนี้ในจักรวาลบ้านเกิด แม้แต่กฎเกณฑ์ของสถานที่แรกเริ่มเขาก็สามารถฝืนต้านทานได้
หลัวไห่ก็รู้สึกลำคอแห้งผากไปหมด “มิใช่ว่าเพิ่งจะสังหารไปแค่ไม่กี่ตนหรือไร ขั้นอลวนผู้เกรียงไกรคนหนึ่งถึงกับปรากฏกายขึ้นมาเองเลยหรือนี่ ยุ่งยากใหญ่แล้ว! หรือจะต้องขอร้องท่านพ่อจริงๆ เสียแล้ว”
……………………………………