ตอนที่ 542 การเสริมสร้างและการป้องกัน

นายน้อยเจ้าสำราญ

ตอนที่ 542 การเสริมสร้างและการป้องกัน

รัชสมัยเซวียนลี่ปีที่สิบ วันที่ยี่สิบสอง เดือนสอง ยามจื่อ ฟู่เสี่ยวกวนและผู้ติดตามมาถึงเมืองเปาจากนั้นก็ตรงไปที่ที่ทำการอำเภอทันที

เมื่อถึงที่ทำการอำเภอก็ได้เห็นนายอำเภอกำลังสอบสวนคดีการโจรกรรมอยู่ ยังมิทันที่ผู้คุมกันทั้งสองด้านจะได้ตั้งตัว ม้าที่ฟู่เสี่ยวกวนควบมานั้นก็ยืนอยู่ด้านหน้าของนายอำเภออย่างรวดเร็ว

นายอำเภอรู้สึกตื่นตกใจมากยิ่งนักและรีบถอยหนีทันที แต่ทว่ามิทันได้ระวังให้ดีจึงล้มลงไปที่พื้น เคราะห์ดีที่มิบาดเจ็บอันใด

“ผู้ร้ายพุ่งมาจากที่ใด ? รีบไปจับมันไว้เร็ว ! ”

ก่อนที่คนของนายอำเภอจะเข้ามาจัดการกับผู้บุกรุก ซูเจวี๋ยและสวี่ซินเหยียนก็ได้เอากระบี่จ่อไว้ที่คอของพวกเขาเสียแล้ว

ฟู่เสี่ยวกวนเห็นดังนั้นจึงลงจากหลังม้า แล้วเดินไปด้านหน้าสองก้าว พลางกล่าวออกมาว่า “ข้าคือใต้เท้าฟู่เสี่ยวกวน มีเรื่องด่วนมากยิ่งนัก จงฟังข้าเอาไว้ให้ดี ! ”

“ฟู่เสี่ยวกวนเยี่ยงนั้นหรือ ? ”

ฟู่เจวี๋ยเย ?

สองตาของนายอำเภอเบิกกว้าง เจ้าผู้นี้กล่าววาจาน่าขันเสียจริง ฟู่เจวี๋ยเยมีฐานะสูงส่งเพียงใด ? เขาจะมายังเมืองที่แสนทุรกันดารนี้ด้วยเหตุอันใดกัน ?

แต่ทว่าเจ้าหนุ่มหน้าอ่อนนี้ได้แสดงสีหน้าจริงจังเป็นอย่างมาก ข้าต้องเล่นตามน้ำไปก่อน

จากนั้น เขาจึงรีบเปลี่ยนสีหน้าเป็นยิ้มต้อนรับทันที “ข้าน้อยมิทราบมาก่อนว่าใต้เท้าฟู่จะเดินทางมาถึงที่นี่ ข้าน้อยสมควรตายที่มิได้เตรียมการต้อนรับ ถ้าเช่นนั้นเชิญใต้เท้าฟู่ไปที่ห้องโถงด้านในก่อนดีหรือไม่ขอรับ ? ”

“มิมีเวลา ! ” ฟู่เสี่ยวกวนตวาดเสียงดัง จนนายอำเภอจงผงะถอยหลังไปสองก้าว พอสังเกตไปรอบด้านมีเจ้าหน้าที่อยู่ถึง 12 คน ในขณะที่พวกตนมีเพียงแค่ 3 คนเท่านั้น…

“เจ้าต้องจัดสรรเจ้าหน้าที่ทันที ให้พวกเขาไปแจ้งกับชาวบ้านในเมือง จงจำเอาไว้ว่าเจ้าหน้าที่ทั้งหมดรวมไปถึงราษฎรทุกคนในเมืองเปาให้ทุกคนอพยพไปยังเมืองเหลียงโจวโดยด่วน”

พอนายอำเภอได้ยินดังนั้นก็คิดว่านักเลงกลุ่มนี้ช่างโอหังมากยิ่งนัก เป็นไปได้หรือไม่ว่าพวกเขาต้องการยึดครองเมืองเปา ?

“ข้าให้เวลาเจ้า 3 วัน ห้ามเหลือให้ข้าเห็นแม้แต่เมล็ดข้าว ถ้าเจ้าทำตามที่สั่งมิได้ ข้าจะตัดหัวเจ้า ! ”

สีหน้ายามที่กล่าวออกมานั้นดูจริงจังมากยิ่งนัก มิต้องการอาหาร แล้วต้องการสิ่งใดกัน ?

นายอำเภอกระพริบตาตี่เล็กๆ ของตนแล้วกล่าวพร้อมรอยยิ้มว่า “ฟู่เจวี๋ยเย ข้าน้อยคิดว่าเรื่องนี้มิง่ายเลย เมืองเปามีผู้คนอาศัยมากกว่า 280,000 คน จำนวนคนมากถึงเพียงนี้ให้ย้ายไปยังเมืองเหลียงโจว… ซือโจวแห่งเมืองเหลียงโจวจะยินดีรับผู้อพยพเข้าเมืองหรือ ? ”

ทันใดนั้น ฟู่เสี่ยวกวนก็นึกออกว่าตอนผ่านเมืองเหลียงโจวมิได้แวะเข้าเมืองไปก่อน ดังนั้นเขาจึงนั่งลงที่โต๊ะทำงาน หยิบกระดาษและพู่กันออกมาเขียนจดหมายสั้น ๆ พอเขียนเสร็จก็นำตราประทับออกมาจากแขนเสื้อแล้วประทับลงไป

“ถือสิ่งนี้ไป…”

ฟู่เสี่ยวกวนครุ่นคิดอีกพักหนึ่ง จากนั้นจึงหยิบราชโองการลับออกมาและส่งให้กับนายอำเภอจง “นำสองสิ่งนี้พร้อมราษฎรไปที่เหลียงโจว บอกให้จือโจวเมืองเหลียงโจวและกองทหารรักษาการณ์ว่า ให้รักษาเหลียงโจวเอาไว้จนกว่าชีวิตจะหาไม่ ถ้าเสียเมืองเหลียงโจวไป ข้าจะตัดศีรษะของเจ้าหน้าที่ทั้งหมด ! ”

พอกล่าวจบ ฟู่เสี่ยวกวนก็กลับขึ้นหลังอาชาแล้วเดินทางต่อไปทันที ผ่านไปชั่วครู่นายอำเภอจงถึงได้เปิดราชโองการลับออกจากนั้นจึงได้พบกับความตื่นตระหนกคราใหญ่

เป็นฟู่เจวี๋ยเยตัวจริง !

“เจวี๋ยเยโปรดรอสักครู่ ! ”นายอำเภอจงรีบวิ่งตาม จังหวะเดียวกับที่ฟู่เสี่ยวกวนหันกลับมามองพอดี พอนายอำเภอวิ่งไปถึงจุดที่อีกฝ่ายหยุดอยู่ เขาจึงรีบคุกเข่าลงทันที “ข้าน้อยมีตาแต่หามีแววไม่ ข้าน้อยละเลยฟู่เจวี๋ยเย ได้โปรด…”

ฟู่เสี่ยวกวนขมวดคิ้วมุ่น “อย่าเอ่ยให้มากความ รีบไปทำงานเร็วเข้า ! ”

“ข้าน้อยรับบัญชา… เจวี๋ยเยที่ข้าน้อยเสียมารยาทนั้น ได้โปรด…”

ฟู่เสี่ยวกวนหันหน้ากลับโดยมิได้กล่าวอันใดออกมาอีก จากนั้นทั้งสามก็ควบอาชาออกไปทันที

นายอำเภอเห็นทั้งสามจากไปไกลแล้วก็ได้ถอนหายใจแสดงความโล่งอกออกมา โชคดีที่ตนมิได้กระทำสิ่งที่ร้ายแรงไปมากกว่านี้ เมื่อครู่ก็เกือบให้ทหารลงมือเสียแล้ว หากมิระวังแล้วทำให้ฟู่เจวี๋ยเยได้รับบาดเจ็บขึ้นมา เกรงว่าศีรษะของตนคงได้หลุดออกจากบ่าเป็นแน่

ดูเหมือนว่าจะเกิดสงครามขึ้นอย่างแท้จริง เมื่อหลายวันก่อน กองทัพของแม่ทัพหยูก็เพิ่งเดินทางผ่านไป วันนี้ฟู่เจวี๋ยเยก็เดินทางมาด้วยตนเอง ข่าวเกี่ยวกับเซวี๋ยติ้งชานย่อมเป็นเรื่องจริง ดูเหมือนว่าสงครามครานี้ฝ่ายแม่ทัพหยูนั้นจะเป็นผู้เสียเปรียบ…

“ทหารจงไปเรียกเจ้าหน้าที่ทุกคนมาประชุมที่ว่าการประเดี๋ยวนี้ ! ”

ชาวบ้านที่มายื่นเรื่องร้องเรียนต่างก็มองไปที่นายอำเภอด้วยความประหลาดใจ พวกเขาล้วนอ้ำอึ้งกันอยู่ชั่วครู่ สุดท้ายจึงตัดสินใจเอ่ยถามออกมาว่า “ใต้เท้า เรื่องคดี…”

“ปล่อยให้คดีเป็นเพียงแค่เรื่องผายลมเถิด เจ้าทั้งสองรีบกลับไปโดยเร็ว ขอให้ครอบครัวของทุกคนรีบเก็บข้าวของและอาหารทั้งหมด เพื่อรอทางการจัดการอพยพไปยังเหลียงโจว ! ”

……

……

เดินทางออกจากเมืองเปาเพียง 60 ลี้ก็มาถึงร้านค้าตระกูลเว่ยที่เชิงเขาฉินหลิง

ที่แห่งนี้เป็นเมืองเล็ก ๆ มีราษฎรอาศัยอยู่ในเมืองนี้มิถึงหนึ่งพันคน เกือบทั้งหมดยึดอาชีพนายพราน

เมื่อฟู่เสี่ยวกวนและผู้ติดตามมาถึงร้านค้าตระกูลเว่ยก็มืดค่ำมากแล้ว เพราะช่วงต้นฤดูใบไม้ผลิท้องนภาจะมืดเร็วกว่าปกติ

ซูม่อมารอฟู่เสี่ยวกวนที่ร้านค้าตระกูลเว่ยแล้ว เขาทำตามคำสั่งในสารของฟู่เสี่ยวกวนที่ห้ามนำกองกำลังดาบเทวะเข้ามาในฉินหลิงแต่ให้ตั้งค่ายอยู่ด้านนอกแทน

การมาเยือนโดยกะทันหันของกองกำลังจำนวนมากที่นอกเมืองนั้น มิได้ทำให้ผู้คนในเมืองตื่นตระหนกมากนักเพราะเมื่อมิกี่วันที่ผ่านมาก็มีทหารจำนวนมากเข้ามาในฉินหลิงเช่นกัน

นายท่านเว่ยฉางเจิ้งบอกว่านั่นคือกองทัพชายแดนใต้ที่นำโดยนายพลหยู แน่นอนว่ากำลังเกิดสงคราม

กองทัพชายแดนใต้เดินทางไปยังดินแดนทางตะวันตกเฉียงเหนือ… หนทางยาวไกลยิ่ง แต่ทว่ามิมีผู้ใดในเมืองทราบเลยว่าเป็นการทำสงครามระหว่างผู้ใดกับผู้ใด

ทางสายเก่าจินหนิวนี้มีระยะทางยาวราว 1,000 ลี้ ตอนนี้ก็เป็นฤดูใบไม้ผลิแล้ว แต่ทว่ายังมิเห็นเหล่าพ่อค้าเดินทางมาจากถนนเจี้ยนหนานเลย มิรู้ว่าเกิดสิ่งใดขึ้นกับเจี้ยนหนานหรือไม่

“เฮ้อ ! ”บุตรชายของเว่ยฉางเจิ้ง นามว่าเว่ยอู๋ปิ้ง ได้หยิบลูกศรขึ้นมาแล้วเหล่ตามองไปยังฝั่งตรงข้าม พลางกล่าวกับสหายนามจงสือจี้ว่า “ในที่สุดใต้เท้าเสี่ยวกวนก็ทำลายความกังวลของวังหลวงได้ ด้านชายแดนใต้ก็สงบสุข ข้าเข้าใจว่าแผ่นดินจะร่มเย็น แต่มิคิดว่าภูเขาจะต้องสั่นสะเทือนอีกครา หรือข้าได้ยินมาผิดกัน ? ”

จงสือจี้หัวเราะฮ่า ๆ ออกมา “เจ้าได้ยินมาถูกแล้ว เล่าลือกันว่าใต้เท้าเสี่ยวกวนเป็นผู้ทำการเจรจาในครานี้และทำให้แคว้นอี๋สูญเสียอย่างหนัก”

“เล่าให้ข้าฟังหน่อยสิ” เว่ยอู๋ปิ้งเหลาปลายลูกศรเสร็จจากนั้นก็ใส่ขนนกตรงปลายลูกศรต่อ ฟังไปด้วยพลางทำไปด้วยเรื่อย ๆ

“แคว้นอี๋จะต้องชดเชยเงินให้กับราชวงศ์หยูจำนวน 180 ล้านตำลึง และต้องยกดินแดนว่อเฟิงหยวนทางทิศตะวันตกให้อีกด้วย ได้ยินมาว่าฝ่าบาทได้ประทานยศเจวี๋ยเยและตำแหน่งเต้าถายปกครองมณฑลที่สิบสี่ให้แก่ใต้เท้าเสี่ยวกวนด้วย พอพ่อค้าหลายคนในเมืองเหลียงโจวทราบข่าวนี้ พวกเขาต่างก็รีบไปที่ว่อเฟิงเต้าทันที โดยหวังว่าภายใต้การจัดการของใต้เท้าเสี่ยวกวน เขาจะต้องทำให้ว่อเฟิงเต้าเจริญรุ่งเรืองขึ้นมาอย่างแน่นอน”

เว่ยอู๋ปิ้งยืดกายขึ้นและครุ่นคิดอยู่ชั่วครู่ จากนั้นจึงเอ่ยออกมาว่า “ฟังจากที่เจ้าเล่ามา ใต้เท้าเสี่ยวกวนเป็นผู้มีปัญญาหลักแหลมยิ่งนัก เงินชดเชยจำนวนมากมายและอาณาเขตที่กว้างใหญ่เช่นนี้…เรียกได้ว่าขูดเลือดขูดเนื้อ แต่ข้าสนใจเรื่องกองกำลังทหารดาบเทวะเสียมากกว่า เจ้ามิสงสัยหรือ ใช้กำลังพลเพียงแค่ 4,000 นายแต่สามารถเอาชนะกองกำลังมากถึงหนึ่งแสนกว่านายได้ ? จะให้ข้าเชื่อได้เยี่ยงไร ? ”

“เจ้าคิดว่าเป็นเรื่องเท็จเยี่ยงนั้นหรือ ? ฝ่าบาทได้ป่าวประกาศออกไปทั่วแคว้น เจ้าว่า…หากกองกำลังดาบเทวะมาที่นี่ เหล่ากบฏที่อยู่อีกด้านหนึ่งของภูเขาจะถูกกวาดล้างหรือไม่ ? ”

เว่ยอู๋ปิ้งไม่รู้คำตอบ เขาจึงก้มหน้าก้มตาเหลาหัวธนูต่อไป “หากมีโอกาส ข้าเองก็อยากเข้าร่วมเป็นหนึ่งในกองกำลังทหารดาบเทวะ”

“ข้าได้ยินมาว่ากองกำลังทหารดาบเทวะกำลังจัดการเกณฑ์ทหารขึ้นที่อำเภอผิงหลิงและเมืองหลินเจียง”

“ไกลจนเกินไป ในนามกองกำลังดาบเทวะ เกรงว่าคนจะไปสมัครจนเต็มแล้วเมื่อข้าเดินทางไปถึงที่นั่น”

“ที่เจ้าเอ่ยมาก็มีเหตุผล… ตอนนี้ฤดูใบไม้ผลิก็มาเยือนแล้ว เจ้าจะเข้าไปในภูเขาเมื่อใด ? ”

“คืนพรุ่งนี้ ถึงเวลาที่หมูป่าต้องออกมาหาอาหารแล้ว”