ที่มาร์แซย์โพรวองซ์ เฉียวเหลียง ลู่หลี และชายผิวขาวร่างใหญ่คนหนึ่งกำลังนั่งเผชิญหน้ากันในห้อง ลู่หลีและเฉียวเหลียงสวมหน้ากากแนบผิวหนังทั้งคู่ แต่ก็ยังคงดูหล่อเหลา แม้จะไม่หล่อเท่าใบหน้าจริงก็ตาม เฉียวเหลียงสีหน้าเรียบเฉยนั่งนิ่ง กำลังดูโทรศัพท์มือถือ มองหมายเลขผู้โทรเข้า แล้วขมวดคิ้วมองไปยังชายร่างใหญ่ที่นั่งอยู่ตรงกันข้าม แล้วเอ่ยขึ้นอย่างทนไม่ไหวอีกต่อไป “ไอริส เราเป็นเพื่อนกันไม่ใช่เหรอ” หน้าจอโทรศัพท์เขายังคงกะพริบ แต่เขาไม่รับสาย “คุณเคยสัญญากับเราว่าคุณจะไม่ทำในสิ่งที่คุณไม่ควรทำในโพรวองซ์ แล้วตอนนี้คุณจะอธิบายการกระทำของคุณว่ายังไง คุณกำลังท้าทายหลงเซี่ยวเหรอ”
“ผมจะกล้าทำอย่างนั้นได้ยังไง” ไอริสหัวเราะ หยิบขวดไวน์ขึ้นมารินลงในแก้วของแต่ละคน กล่าวว่า “ก็แค่คนของผมบางคนไม่เชื่อฟังคำสั่ง ผมเตือนพวกเขาแล้ว พวกคุณก็รู้ ผมไม่กล้าท้าทายหลงเซี่ยวหรอก” เขาลดสายตาลง ประกายเคียดแค้นวาววับไปทั่วดวงตาเขา จากนั้นเขาก็เงยหน้าขึ้น กล่าวยิ้มๆ ว่า “นอกจากนี้เราก็เซ็นสัญญากันแล้ว ผมสำนึกในบุญคุณพวกคุณเสมอที่ช่วยชีวิตผมไว้ ผมจะกล้าท้าทายพวกคุณได้ยังไง”
เฉียวเหลียงยังคงนิ่งเงียบ มองหน้าไอริสอย่างเย็นชา ลู่หลีหัวเราะเยาะ กล่าวว่า “คุณไม่กล้า อย่างนั้นหรือ ถ้าอย่างนั้นคุณจะอธิบายว่ายังไง ที่มีคนพวกนี้ซ่อนตัวอยู่ในความมืด พวกเขาซ่อนตัวอยู่ที่นี่เพื่อคุ้มกันคุณใช่ไหม หรือคุณกลัวว่าเราจะทำอะไรคุณในมาร์แซย์”
รอยยิ้มบนใบหน้าไอริสเยือกเย็นขึ้น แต่ในไม่ช้าเขาก็สงบลงและกล่าวว่า “คุณก็รู้ว่าทหารต้องการฆ่าผม เพราะสิ่งที่คนของผมเพิ่งทำลงไป ตอนนี้ผมจึงต้องมีบอดีการ์ดสองสามคนติดตามมาด้วย เพื่อเหตุผลด้านความปลอดภัย ผมหวังว่าพวกคุณจะเข้าใจ”
“หุบปาก” หลังจากไม่ได้รับสายสองสายจากถังซี เฉียวเหลียงก็หน้านิ่วคิ้วขมวดอย่างหมดความอดทน และกล่าวอย่างเย็นชา “คุณมีทางเลือกสองทาง ทางหนึ่งคือ สั่งให้คนของคุณหยุดทำในสิ่งที่พวกเขากำลังทำอยู่ แล้วอยู่เงียบๆ อย่างสงบ อีกทางคือ ให้คนของผมระเบิดรังของคุณ และยิงคุณทิ้งเสีย ปัญหาก็จบ บอกผมมาเดี๋ยวนี้ว่าจะเลือกทางไหน เร็ว อย่าให้ผมเสียเวลาไปมากกว่านี้”
เขาพลาดสายของซีซีเพราะผู้ชายคนนี้! อยากยิงมันทิ้งเหลือเกิน!
ไอริสเลิกคิ้ว ดวงตาเขามีประกายโกรธแค้น แต่ในไม่ช้าเขาก็ควบคุมอารมณ์ได้ เขามองหน้าเฉียวเหลียงและเลิกคิ้ว “คุณต้องเป็นมิสเตอร์เฉียวแน่ๆ ผมได้ยินกิตติศัพท์คุณมามากมาย” จากนั้นเขาก็เหลือบมองลู่หลี ถามด้วยรอยยิ้มเจ้าเล่ห์ “ในระหว่างคุณสองคน ใครมีอำนาจสูงสุด”
ลู่หลีเลิกคิ้วด้วยความประหลาดใจ ผู้ชายคนนี้กำลังพยายามสร้างความไม่ลงรอยระหว่างเขากับเฉียวเหลียงอยู่ใช่ไหม ช่างน่าขัน! เขามองหน้าเฉียวเหลียงและขมวดคิ้ว ซึ่งเป็นสิ่งที่ไอริสหวังว่าจะได้เห็น ขณะที่ไอริสกำลังคิดว่าพวกเขาจะทะเลาะกัน ลู่หลีก็กล่าวขึ้นว่า “ในเมื่อเขาเป็นเจ้านาย เขาจึงมีอำนาจสูงสุด ตอนนี้เจ้านายเรากำลังจะหมดความอดทน ไอริส ตัดสินใจเลือกซักทางหนึ่งได้แล้ว”
ไอริสหน้าบึ้ง ผุดลุกขึ้นและคำรามลั่น “อย่ากดดันผมเกินไปนัก! ตั้งแต่หลงเซี่ยวก้าวเข้ามาในโพรวองซ์ เราก็แทบหาเงินไม่ได้เลย ถ้าคุณยังคงบีบบังคับเรา เราขอสู้ตายกับพวกคุณ!”
“สู้ตายกับพวกเรางั้นเหรอ” เฉียวเหลียงจ้องหน้าไอริสอย่างเย็นชา และยิ้มให้ด้วยรอยยิ้มอันเย็นเยือกเข้าไปถึงกระดูก ไม่มีความอบอุ่นแม้แต่น้อย “คุณแน่ใจใช่ไหม ว่าต้องการเป็นศัตรูกับหลงเซี่ยว คิดว่าจะทำอะไรเราได้เหรอ คุณประเมินหลงเซี่ยวต่ำเกินไป หรือว่าจริงๆ แล้วคุณประเมินตัวเองสูงเกินไป ผมจะบอกให้นะ หลงเซี่ยวจะปล่อยให้คุณตายก็ได้ เพราะเราไม่ได้สูญเสียอะไรเลย คุณมีเวลาครึ่งชั่วโมงในการตัดสินใจ ถ้าคุณปฏิเสธ ก็ไม่ยากที่เราจะแสดงให้คุณเห็นว่าหลงเซี่ยวมีศักยภาพยังไงบ้าง”
จบคำพูดเฉียวเหลียงก็ลุกขึ้นยืน จัดเสื้อผ้าให้เรียบร้อย และหันหลังเดินออกไปข้างนอก ลู่หลีมองตามเขา ส่ายศีรษะด้วยรอยยิ้ม แล้วเดินตามออกไป หลังจากที่ทั้งสองจากไปแล้ว ทหารรับจ้างหลายคนก็เดินออกมาจากความมืดถามว่า “เจ้านายครับ ทำไมถึงต้องกลัวชายหนุ่มรูปหล่อสองคนนั้นด้วย ถ้าหลงเซี่ยวมีศักยภาพมากจริงอย่างที่พวกเขาพูด ทำไมพวกเขาถึงต้องมาเสียเวลาเจรจากับเรา แสดงว่าพวกเขาไม่ได้มีศักยภาพอย่างที่พวกเขาพยายามจะแสดง ทำไมเราไม่… หามือปืนมาซุ่มยิง แล้ว…” ชายคนนั้นยกนิ้วขึ้นมาทำท่าปาดคอตัวเอง
พวกเขากล้าพูดแบบนี้เพราะส่วนใหญ่เป็นทหารหน่วยรบพิเศษที่ปลดระวางแล้ว และผ่านการปฏิบัติภารกิจเสี่ยงอันตรายมามากมาย สำหรับพวกเขาเป็นเรื่องง่ายเหมือนปอกกล้วยเข้าปาก ที่จะฆ่าชายหนุ่มรูปหล่อไร้พิษสงสองคน!
ไอริสขมวดคิ้ว กล่าวอย่างเย็นชา “หุบปาก! พวกนายคิดว่าพวกเขาจะมาที่โพรวองซ์โดยไม่มีบอดีการ์ดงั้นเหรอ ผู้ชายคนนั้นคือเสือซ่อนเล็บ นายไม่สังเกตหรือว่าเขาเอาแต่มองนาฬิกาข้อมือ นั่นเป็นเพราะกำลังเสริมของพวกเขากำลังมา ถ้าเรากล้าแตะพวกเขา แก๊งเราจะกลายเป็นตำนาน เหลือแค่ชื่อ เข้าใจไหม”
เฉียวเหลียงรีบโทรกลับหาถังซีทันทีที่เดินออกมาข้างนอก ลู่หลีมองดูเขา ส่ายศีรษะด้วยรอยยิ้มและบ่นว่า “ดูเหมือนคุณจะหลงรักเซียวโหรวจนโงหัวไม่ขึ้น! ผมไม่เคยเห็นคุณหมกมุ่นกับผู้หญิงมากขนาดนี้มาก่อนเลย! …ระวัง!” ทันใดนั้นเขาก็คว้าข้อมือเฉียวเหลียง ดึงเฉียวเหลียงหมอบลงกับพื้น หลบกระสุนที่ยิงมาหลายนัด
เฉียวเหลียงกำโทรศัพท์มือถือไว้และส่งสายตาขอบคุณไปให้ลู่หลี ทั้งสองคนรีบไปหลบหลังถังขยะ เฉียวเหลียงขมวดคิ้วขณะกล่าวว่า “ไม่ใช่คนของไอริส”
“เป็นพวกตำรวจสากล เพราะเรามาที่นี่ในนามองค์การหลงเซี่ยว!” ลู่หลีกล่าวพลางมองเข้าไปในซอย ขมวดคิ้วและกล่าวว่า “มีคนซุ่มยิงอยู่ในซอย เราผ่านออกไปไม่ได้หรอก”
ถังซีซึ่งอยู่ทางปลายสายอีกด้านหนึ่งได้ยินการสนทนาของคนทั้งสอง เธอยกมือปิดปากด้วยความตกใจ และไม่กล้าพูดอะไร เฉียวเหลียงมองดูโทรศัพท์ในมือ ดวงตาเขามีประกายผิดหวัง ลู่หลีมองหน้าเขา เฉียวเหลียงยกโทรศัพท์ในมือให้เขาดู ลู่หลียักไหล่ แต่ในเวลานี้โทรศัพท์ของเขาก็ดังขึ้นเช่นกัน เขายักไหล่อีกครั้งอย่างช่วยไม่ได้ ยื่นโทรศัพท์ให้เฉียวเหลียงดู เฉียวเหลียงส่งสัญญาณให้เขารับสาย ลู่หลีรับสาย แต่ก่อนที่เขาจะพูดอะไรเสียงของเหวินหนิงก็ดังขึ้นในโทรศัพท์ “คุณอยู่ในโพรวองซ์หรือเปล่า หัวหน้าของเราเพิ่งสั่งให้คนของเราในโพรวองซ์ฆ่าคุณ ออกจากที่นั่นโดยเร็วที่สุด ถ้าคุณอยู่ที่โพรวองซ์!”
ลู่หลีลูบหัวคิ้วและหัวเราะเบาๆ “ผมก็อยากออกไปจากที่นี่ แต่เกรงว่าตอนนี้ผมจะต้องทักทายเพื่อนร่วมงานของคุณก่อน”
เหวินหนิงขมวดคิ้วถามว่า “พวกเขาซุ่มยิงคุณใช่ไหม”