บทที่ 21 ทรงมีพระทัยให้ฝ่าบาทหรือเพคะ

Lady to Queen บัลลังก์แค้นจักรพรรดินี

บทที่ 21 ทรงมีพระทัยให้ฝ่าบาทหรือเพคะ Ink Stone_Romance

แพทริเซียแสดงสีหน้าตกใจวูบหนึ่ง ก่อนจะนึกถึงอะไรบางอย่างขึ้นมาได้จนต้องเปล่งเสียง ‘อ้อ’ ออกมา ดูเหมือนโรสมอนด์กำลังพูดถึงเรื่องที่ลูซิโอต้องค้างที่นี่เพราะติดฝนเมื่อคืน

แต่ทำไมเรื่องนั้นถึงเข้าหูโรสมอนด์ไวถึงเพียงนี้ ไม่แน่ว่าอาจมีแหล่งข่าวอยู่ในตำหนักจักรพรรดินีก็เป็นได้ แพทริเซียคิดดังนั้นพลางตอบโรสมอนด์เสียงเรียบ

“ถูกต้องแล้ว”

“ด้วยเหตุใดเพคะ”

“เพราะฝนตกลงมาขณะที่เรากับฝ่ายาทอยู่ด้วยกันเพียงสองคน”

คำบอกเล่าช่างฟังดูโรแมนติก แต่สำหรับผู้อยู่ในเหตุการณ์และรู้ความจริงทุกอย่าง นี่กลับไม่ใช่เรื่องที่โรแมนติกสักเท่าไร แต่แน่นอนว่าสำหรับคนฟัง ยิ่งเป็นโรสมอนด์ด้วยแล้ว นี่เป็นเรื่องที่ทำให้โกรธเป็นฟืนเป็นไฟได้เลยทีเดียว

“พระองค์กำลังตรัสว่า…พระองค์อยู่กับฝ่าบาทกลางดึกเช่นนั้นหรือเพคะ”

“เป็นเช่นนั้น”

“ทำไมเพคะ”

เฮ้อ ถ้าจะให้แพทริเซียเลือกเหตุการณ์ไร้สาระที่เจอมาตลอดชีวิตสักหนึ่งเหตุการณ์ แพทริเซียคงจะเลือกเหตุการณ์นี้ ระดับความหนาของหน้าโรสมอนด์ไม่ธรรมดาเลยจริงๆ มีอย่างที่ไหนที่อนุภรรยามาซักไซ้เรื่องที่ภรรยาหลวงกับสามีอยู่ด้วยกัน

แต่น่าเสียดายที่ดูเหมือนว่าโรสมอนด์จะไม่ได้รู้สึกถึงความผิดแปลกนั้นเลย แพทริเซียคิดว่าหากนับว่านั่นเป็นความสามารถพิเศษก็คงได้ ความสามารถพิเศษที่ทำให้คนรู้สึกรำคาญอย่างมาก

“จักรพรรดินีซึ่งเป็นภรรยาหลวงจะใช้เวลาอยู่กับจักรพรรดิก็มิใช่เรื่องแปลก ถ้าจะแปลกก็คงเป็นเรื่องที่จักรพรรดิมีอนุภรรยา ซึ่งก็เป็นเรื่องที่จักรพรรดินีควรจะไต่สวน”

“…”

“เราเคยถามท่านไหมว่าเหตุใดจึงอยู่กับพระจักรพรรดิทั้งคืน”

“…ฝ่าบาท!”

“อย่ามาขึ้นเสียงกับเราค่ะ เมื่อวานเราเพิ่งพูดไปว่าท่านช่างเป็นคนที่ไร้มารยาทเสียจริง มากเสียจนเราสงสัยว่าบารอนแดโรว์เป็นคนเช่นไร อมรมสั่งสอนบุตรีมาอย่างไร…”

“ตรัสเกินไปแล้วนะเพคะ”

“ท่านไม่คิดบ้างหรือว่าคำพูดของท่านมันเกินกว่าเรามาก”

แพทริเซียอดทนจนทนไม่ได้ ในที่สุดนางก็ระเบิดอารมณ์ใส่โรสมอนด์ แม้นางจะเคยบอกว่าจะอยู่เฉยๆ แต่ถ้ามาราวีกันขนาดนี้ ต่อให้แพทริเซียใจดีแค่ไหนก็คงไม่อาจอยู่เฉยได้ เอาเหล็กร้อนๆ มาทิ่มมาแทงกันอยู่เรื่อยเช่นนี้ แล้วจะมิให้ตอบโต้ได้อย่างไร

“ท่านบังอาจมากที่มาหาเรื่องเราด้วยเรื่องที่จักรพรรดินีกับราชสวามีใช้เวลาร่วมกัน… โรสมอนด์ ท่าทางท่านเองก็คงจะถูกฝนเมื่อวานเช่นกันสินะคะ มิเช่นนั้นแล้วคงไม่เสียสติได้ถึงเพียงนี้ เราคงต้องเรียกหมอหลวงมาให้แล้วกระมัง”

“คนที่เสียสติหาใช่หม่อมฉันแต่เป็นพระองค์กระมังเพคะ ไหนทรงให้สัญญากับฝ่าบาทไว้ในคืนร่วมหอว่าจะทรงไม่คาดหวังความรัก และไม่แตะต้องหม่อมฉัน? จะทรงตระบัดสัตย์เสียแล้วหรือเพคะ”

“สัญญานั้นจะมีผลก็ต่อเมื่อท่านไม่มายุ่งกับเราก่อน นี่ท่านมาระรานเรา ทั้งยังวางแผนชั่ว จะให้เรานิ่งเฉยเป็นลูกไล่ท่านหรืออย่างไร หรือท่านต้องการจักรพรรดินีโง่ๆ ไร้แก่นสารเช่นนั้น?”

“หรือพระองค์ทรงมีพระทัยให้ฝ่าบาท?”

“นี่! บารอเนสเฟ็ลปส์”

แพทริเซียขึ้นเสียงอย่างสุดกลั้น ความสามารถในการรับรู้ภาษาของคู่รักคู่นี้ทั้งวันนี้และเมื่อวานตกต่ำลงมาก นี่ต้องเป็นผลมาจากฝนฟ้าเป็นแน่ หาไม่แล้วคนปกติสองคนจะฟั่นเฟือนไปได้ถึงเพียงนี้หรือ

โรสมอนด์เป็นตัวร้ายอย่างแน่นอน แต่นางก็มิใช่ตัวร้ายที่ไร้สมอง เพราะฉะนั้นจึงพอจะสนทนากันรู้เรื่อง แต่มาวันนี้กลับไม่รู้เรื่องเสียอย่างนั้น ทั้งนี้ทั้งนั้นแพทริเซียอาจลืมคิดไปว่าที่อีกฝ่ายเป็นเช่นนี้เพราะเมื่อคืนตนและลูซิโออยู่ด้วยกันในตำหนักนี้

“เดิมทีเราเข้าใจว่าบารอเนสเฟ็ลปส์จะยังพอสนทนากันรู้ความอยู่บ้าง แต่นี่มันหนักกว่าที่เราคิด ท่านตากฝนจนฟั่นเฟือนไปแล้วหรือ? เราไม่มีหน้าที่ที่จะต้องมาคอยตอบท่านว่าเรารักหรือไม่รักพระจักรพรรดิ รักแล้วอย่างไร? ไม่รักแล้วอย่างไร? เราไม่เข้าใจจริงๆ ว่าทำไมเราต้องมาฟังเรื่องพรรค์นี้จากท่านในตำหนักของตัวเอง นี่เราต้องเรียกหมอหลวงมาจริงๆ ใช่ไหม”

“…”

โรสมอนด์ยังคงโมโหหน้าตาขึงขังจนแพทริเซียอนุมานว่านางน่าจะมีอาการทางจิต

แพทริเซียตัดสินใจรีบจบบทสนทนานี้ให้เร็วที่สุด พูดกันต่อไปก็ไร้ความหมาย

“เมื่อวานเราจะนอนกลิ้งเกลือกกับฝ่าบาทบทเตียง หรือจะแค่ต่างคนต่างนอน เราก็ไม่เห็นความจำเป็นที่จะต้องสาธยายให้ท่านฟัง หากท่านสงสัยถึงเพียงนั้นก็ลองไปถามฝ่าบาทที่ท่านรักหนักหนาเองก็แล้วกัน”

แพทริเซียพูดคำนั้นก่อนจะเปลี่ยนน้ำเสียงเป็นเชิงล้อเลียน

“อ้อ หรือท่านกลัว? กลัวว่าเราจะแย่งความรักบางเบามาจากท่าน?”

สายตาของโรสมอนด์ดุดันขึ้นเพราะคำพูดนั้น อา น่ากลัวเสียจริง เช่นนี้ต่อไปจักรพรรดินีคงต้องเกรงใจอนุภรรยาแล้วกระมัง แพทริเซียกำชับต่อไปโดยไม่สนใจสายตานั้น

“เรื่องวันนี้มิบังควรอย่างมาก เมื่อวานเราก็เตือนท่านไปแล้ว แต่ดูท่าจะไม่ได้ผล หรือเราต้องตบสั่งสอนท่านอีกสักทีจึงจะรู้ความ?”

“…”

โรสมอนด์เขม้นมองแพทริเซียด้วยสายตาน่ากลัว ก่อนจะสะบัดตัวเดินออกจากห้องไปโดยไม่กล่าวคำลาสักคำ โครม! เสียงปิดประตูดังก้องราวกับจะทำลายโสตประสาทของแพทริเซีย เมื่ออยู่คนเดียว หญิงสาวจึงถอนหายใจออกมา ผู้หญิงคนนั้นไม่ว่าจะพบเจอเมื่อใดก็ทำให้ตนเหนื่อยได้ทุกครั้ง ในตอนนั้นเอง ราฟาเอลาก็เดินหน้าตาตื่นเข้ามาหาก่อนจะถามเซ้าซี้

“ฝ่าบาท คนที่เสียสติมิใช่เจ้าหรอกหรือ เหตุใดจึงปล่อยให้เหยื่อที่เดินมาหาเองกลับไปเฉยๆ เล่า น่าจะตบสั่งสอนสักที!”

“ที่ตบไปเมื่อวานก็น่าจะพอแล้ว เดมเอล่า เมื่อวานฝ่าบาททรงไม่ถามว่าเกิดอะไรขึ้น ขืนวันนี้ข้าตบนางอีกอาจกลายเป็นที่ครหา ถูกตราหน้าว่าเป็นจักรพรรดินีที่ชอบใช้กำลังเอาได้นะ”

แพทริเซียไม่อยากให้เกิดข่าวลือเช่นนั้น ช่างไร้สาระทั้งเพ เรื่องอื่นยังพอทำเนาแต่เรื่องใช้กำลังนี่ไม่ไหว ไม่ใช่เรื่องจริงเลย แต่หากนางกำลังจะถูกฆ่าก็อาจจะเป็นอีกเรื่องหนึ่ง

แพทริเซียจัดผมที่ยุ่งเหยิงขึ้นเล็กน้อยตามอารมณ์ก่อนจะลุกขึ้น

“มีร์ยา คณะทูตแจ้งว่าจะออกเดินทางเมื่อใดหรือคะ”

“หากเสด็จตอนนี้ก็ยังมีเวลาเหลือเฟือเพคะ จะเสด็จเลยไหมเพคะ”

“ไปค่ะ”

แพทริเซียตอบเสียงเรียบ ก่อนจะค่อยๆ ทิ้งน้ำหนักลงบนรองเท้าส้นสูงสีฟ้า เมื่อวานนางสวมชุดเดรสสีแดงร้อนแรงราวกับไฟ แต่วันนี้นางสวมชุดเดรสสีฟ้าที่มองแล้วนึกถึงน้ำ

แพทริเซียค่อยๆ เดินไปจนถึงสถานที่ส่งคณะทูต นางเห็นลูซิโอในชุดทางการอยู่หน้าตำหนักแฮนลอน ยืนห่างจากตัวตำหนักราวหนึ่งร้อยเมตร เมื่อวานคนที่ทำให้ผู้อื่นลำบากไม่ใช่นางแต่เป็นเขา แต่ไม่รู้ทำไมนางกลับเป็นฝ่ายไม่สะดวกใจที่จะพบหน้าอีกฝ่าย แพทริเซียพยายามปั้นสีหน้าให้นิ่งที่สุดก่อนจะเข้าไปแสดงความเคารพ

“ถวายบังคมสุริยันผู้ยิ่งใหญ่แห่งจักรวรรดิ ขอพระบิดาแห่งปวงข้าจงทรงพระเจริญ”

“มาแล้วหรือ”

“หม่อมฉันย่อมต้องมาทำหน้าที่ให้ลุล่วงในฐานะจักรพรรดินี แต่หากพระองค์ไม่ต้องการ หม่อมฉันจะขอทูลลา”

“…อยู่ที่นี่แหละ”

“เพคะ”

แพทริเซียตอบสั้นๆ ก่อนจะหยิบผ้าเช็ดหน้าออกมา ผ้าเช็ดหน้าสีขาวที่นางยืมไปเมื่อวาน ใจจริงนางอยากจะแกล้งลืมและไม่ส่งคืน แต่เพราะเขาบอกไว้ว่าเป็นผ้าเช็ดหน้าผืนสำคัญจึงทำให้นางรู้สึกตะขิดตะขวงใจ

นางจงใจนำผ้าเช็ดหน้าออกมาในที่ที่บรรดาขุนนางชั้นสูงมารวมตัวกัน ด้วยรู้สึกว่าอย่างน้อยก็ต้องแสดงให้เห็น ณ ที่ตรงนี้ถึงจะพอเป็นประโยชน์กับตัวนางบ้าง และนางก็รู้สึกว่าสายตาของเหล่าขุนนางทางด้านหลังกำลังจับจ้องมาอย่างที่คิดไว้

“ขอบพระทัยสำหรับเรื่องเมื่อวานเพคะ”

“ถ้าเป็นเรื่องเมื่อวาน เราสิที่ต้องขอโทษ”

ลูซิโอกระแอมออกมาเบาๆ ราวกับว่าเขานึกถึงเรื่องเมื่อคืนขึ้นมาได้ แพทริเซียแอบยิ้มออกมาเพราะรู้สึกได้ว่าบรรดาขุนนางทั้งหลายดูกระเหี้ยนกระหือรือพยายามค้นหาความนัยที่ซ่อนอยู่ในคำเหล่านั้น มันทำให้นางรู้สึกยินดีอย่างประหลาด

และสิ่งที่ทำให้นางยินดีมากไปกว่านั้นก็คือ…

“เราไม่ค่อยสบายใจ เหมือนเราไปแย่งเตียงของเจ้า ร่างกายเจ้าเป็นอย่างไรบ้าง”

“เพลียเล็กน้อย แต่ไม่เป็นไรเพคะ ฝ่าบาทล่ะเพคะ”

ตอนนี้มีสตรีนางหนึ่งกำลังลอบมองพวกเขาอยู่ใต้เงาไม้

‘โรสมอนด์’

“เราก็ไม่เป็นไร”

“ดีแล้วเพคะ”

แพทริเซียไม่ได้พูดและยิ้มกว้างเช่นนี้เพื่อจักรพรรดิ แต่เพื่อโรสมอนด์ที่กำลังยืนกัดฟันกรอด มองนางราวกับจะฆ่าแกง

นางต้องการสั่งสอนให้โรสมอนด์รู้ว่า ความรักเปรียบดั่งต้นกก พร้อมจะไหวเอน และหักลงได้ทุกเมื่อ

“ด้วยพระบารมีของทั้งสองพระองค์ พวกกระหม่อมจึงได้พักอยู่อย่างสุขสบาย”

ในตอนนั้น คณะทูตมาถึงพอดี แพทริเซียแย้มยิ้มอ่อนหวานก่อนจะสนทนากับคณะทูตด้วยภาษาของจักรวรรดิคริสตา

“เราเพียงหวังว่าทุกท่านจะได้รับความสุขสบาย เรายังกลัวเสียด้วยซ้ำว่าจะเตรียมงานได้ไม่เรียบร้อยจนเป็นการเสียมารยาทหรือเปล่า”

“เสียมารยาทอะไรกันเพคะ ฝ่าบาท เพราะพระองค์ทรงสนทนากับพวกหม่อมฉันด้วยภาษาของจักรวรรดิเราได้อย่างลื่นไหล ทำให้หม่อมฉันและผู้ติดตามรู้สึกสบายใจโดยถ้วนทั่วเพคะ”

ดัชเชสเวริกาพูดก่อนจะหันไปชมเชยลูซิโอ

“ช่างเป็นคู่ที่เหมาะสมกันเหลือเกินเพคะ ฝ่าบาท ทรงมีพระจักรพรรดินีที่เป็นกุลสตรี ทั้งยังมีพระสิริโฉมงดงามเช่นนี้ ช่างเป็นเกียรติต่อราชวงค์และจักรวรรดิยิ่งนักเพคะ”

“เราขอบคุณสำหรับคำชม”

บรรยากาศ ณ ที่นั้นภายนอกดูสนิทสนมกลมเกลียวกันยิ่ง แต่ยังมีอีกคนหนึ่ง…โรสมอนด์ซึ่งขบเขี้ยวเคี้ยวฟันอยู่ใต้ต้นไม้เท่านั้นที่บรรยากาศรอบตัวดูเย็นยะเยือก ทันทีที่นางเห็นภาพตรงหน้า นางก็รู้ได้ด้วยสัญชาตญาณว่ามีบางสิ่งบางอย่างผิดเพี้ยนไปแล้ว

ไม่นะ ยังไม่ใช่ตอนนี้ อย่างน้อยวันที่ลูซิโอจะเลิกรักนางก็ควรจะเป็นหลังจากที่นางให้กำเนิดบุตรชายและบุตรชายของนางได้รับการแต่งตั้งให้เป็นรัชทายาทเสียก่อน ก่อนจะถึงวันนั้น ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น ความรักของเขาต้องเป็นของนางเท่านั้น

โรสมอนด์กัดเล็บด้วยความไม่สบายใจพลางพูดพึมพำเสียงเบาฟังไม่ได้ศัพท์ ก่อนจะหันหลังเดินจากไป สายตาของโรสมอนด์ดุดันจนน่าขนลุก

***

บ่ายวันนั้นแพทริเซียได้รับการติดต่อจากตระกูลโกรเชสเตอร์ เปโตรนิยาถามว่าพรุ่งนี้จะเข้ามาหาได้หรือไม่ แน่นอนว่าแพทริเซียอนุญาต และแม้ว่าจะไม่ได้แสดงอาการอะไรออกมา แต่ดูเหมือนว่าวันนั้นแพทริเซียจะอารมณ์ดีทั้งวันเพราะจะได้เจอพี่สาวที่ไม่ได้เจอกันนาน

ในที่สุดก็ถึงวันรุ่งขึ้น แพทริเซียทำงานที่ต้องส่งภายในบ่ายวันนี้เสร็จเรียบร้อยตั้งแต่คืนวาน นางไม่อยากให้มีอะไรมาขัดขวางช่วงเวลาระหว่างนางกับพี่สาว หลังจากที่นางได้เป็นจักรพรรดินี พี่สาวของนางก็ไม่ค่อยได้มาเยี่ยมเยียนบ่อยนัก ด้วยเกรงว่าจะเป็นการรบกวนเวลา แพทริเซียสั่งให้ห้องเครื่องอบมาการองรสสตอรว์เบอร์รีที่อีกฝ่ายชอบไว้กองใหญ่ หญิงสาวรอคอยการมาถึงของเปโตรนิยาด้วยสีหน้าเจือความตื่นเต้นเล็กน้อย

เปโตรนิยาก็ไม่ทำให้แพทริเซียผิดหวัง นางมาถึงตำหนักจักรพรรดินีก่อนเวลาอย่างที่คาด แพทริเซียกางสองแขนต้อนรับการมาถึงของพี่สาว

“นีย่า!”

แพทริเซียรู้สึกเสียดายอย่างมากที่วันงานเลี้ยงรับรองภริยาคณะทูต นางได้พบแค่มาร์เชอเนสโกรเชสเตอร์ผู้เป็นมารดา แต่ไม่ได้พบเปโตรนิยา แพทริเซียวิ่งโผเข้าไปหาเปโตรนิยา ฝ่ายนั้นจึงดึงแฝดน้องเข้ามากอดไว้แน่น ก่อนจะพูดออกมาเสียงดังด้วยความดีใจ

“ริซซี่ สบายดีไหม”

ครั้นพูดจบ นางก็ถามออกมาด้วยสีหน้าเป็นกังวล

“อา…ข้าต้องเรียกเจ้าว่าฝ่าบาทหรือไม่”

“นีย่า…เจ้าก็รู้ว่าข้าไม่ชอบให้ทำเช่นนั้น จะมากพิธีไปไย ที่นี่มีแค่เราสองคน หาได้มีคนอื่น อย่าทำเช่นนั้นเลย”

“เช่นนั้นข้าไม่เกรงใจนะ ขอชาสักแก้วได้หรือไม่ คงเพราะข้ารีบมา คอจึงแห้ง”

แพทริเซียยิ้มกว้างจนเห็นฟันเมื่อเปโตรนิยาร้องขอ

“ได้สิ ข้าเตรียมมาการองสตอรว์เบอร์รีที่นิลชอบไว้ให้เยอะแยะเลย ทานคู่กับชาน่าจะเข้ากันทีเดียว”

เพียงไม่นาน จานที่เต็มไปด้วยมาการองรสสตรอว์เบอร์รีและชาใส่นมสองแก้วก็ถูกนำมาวางบนโต๊ะตามที่แพทริเซียสั่ง แพทริเซียยิ้มตลอดเวลาเพราะนางมีความสุขที่ได้อยู่กับพี่สาวที่ไม่ได้เจอกันนาน ทั้งสองพูดคุยสัพเพเหระอยู่ครู่ใหญ่ ก่อนที่จู่ๆ หัวข้อสนทนาจะกลายเป็นเรื่องที่ซับซ้อนเกินบรรยาย