ตอนที่ 330 โซ่ตรวนสะกดวิญญาณ

ตำนานเซียนปีศาจสะท้านภพ

ตอนที่ 330 โซ่ตรวนสะกดวิญญาณ โดย Ink Stone_Fantasy

พอศิษย์เฝ้าประตูเห็นว่าชายหนุ่มที่ใส่ชุดคลุมสีเขียวจากนิกายปีศาจรู้จักกับเฉียนหรูผิง ก็ไม่ถามอะไรให้มากความ และยอมให้เรือกลเหาะเข้าไปข้างใน

บนเรือเหาะ เฉียนหรูผิงดึงแขนเสื้อหลิ่วหมิงด้วยสีหน้าตื่นเต้น ดวงตางดงามทั้งคู่ดูเบิกบานใจเป็นอย่างมาก รอยยิ้มราวกับบุปผา ทำให้หลิ่วหมิงเกิดความอบอุ่นในใจ

ในขณะนั้น นางก็เล่าเรื่องหลังจากเสวียนจิงมาอยู่ที่นิกายจันทราสวรรค์ให้หลิ่วหมิงฟัง

หลังจากเจ้าหนูน้อยตามหูชุนเหนียงกลับนิกายแล้ว ก็ถูกจัดให้เป็นศิษย์นิกายสายนอกก่อน และภายใต้การแนะนำของหูชุนเหนียง นางก็ได้เข้าไปอยู่กับผู้เชี่ยวชาญค่ายกลที่มีความสัมพันธ์กับหูชุนเหนียงไม่เลว เพื่อศึกษาทางด้านค่ายกล

จากนั้นก็ได้เข้าร่วมพิธีเปิดจิตวิญญาณของนิกายจันทราสวรรค์ และเปิดจิตวิญญาณสำเร็จ ในที่สุดก็กลายเป็นศิษย์สายในของนิกายจันทราสวรรค์

แม้นางจะมีแค่หกชีพจรจิตวิญญาณ แต่พอถูกค้นพบว่ามีพรสวรรค์ทางด้านค่ายกล ผู้เชี่ยวชาญค่ายกลผู้นั้น ก็รับนางเป็นศิษย์ติดตามด้วยความยินดี

เวลาในหลายปีให้หลัง ภายใต้การชี้แนะของผู้เชี่ยวชาญค่ายกลผู้นี้ เฉียนหรูผิงทำการศึกษาค่ายกลอย่างสุดชีวิตจิตใจ ราวกับปลาที่ได้น้ำ จนเติมเต็มพรสวรรค์ทางด้านค่ายกลอย่างน่าตกใจ ข้อคิดเห็นจำนวนมากที่นางเสนอขึ้นมา และความเข้าใจค่ายกลของนาง ทำให้ผู้เชี่ยวชาญค่ายกลผู้นั้นอดรู้สึกประหลาดใจไม่ได้

ฟังจากที่เจ้าหนูน้อยเล่ามา ดูเหมือนว่านางจะถูกผู้ฝึกฝนระดับสูงในนิกายให้ความสำคัญแล้ว

เพราะในระหว่างการทำศึกกับศัตรู หากผู้เชี่ยวชาญค่ายกลเข้าไปสอดแทรกภายใต้สถานการณ์ที่ทั้งสองฝ่ายมีพลังพอๆ กัน ย่อมส่งผลกระทบต่อศึกในครั้งนั้นอย่างแน่นอน ดูจากค่ายกลทองคำจตุรสัตว์ชุดเล็กๆ ที่แสดงผลลัพธ์นอกเมืองเสวียนจิงในปีนั้น ก็พอจะรู้แล้ว

อีกอย่าง ผลลัพธ์ที่ผู้เชี่ยวชาญค่ายกลที่แท้จริงสำแดงออกมา ไม่ใช่สิ่งที่ธงค่ายกลโดยทั่วไปจะเทียบได้

และเส้นทางสายค่ายกลนั้น เปลี่ยนแปลงได้ร้อยแปดพันเก้า ขั้นต้นนั้นง่าย แต่ถ้าอยากจะชำนาญนั้น ต้องใช้ระยะเวลายาวนาน ไม่เพียงแต่มีเงื่อนไขจำนวนมากเท่านั้น ยังต้องมีจิตใจละเอียดอ่อน สามารถเข้าใจได้อย่างทะลุปรุโปร่ง สามารถพัฒนาต่อได้ สามารถคาดการณ์ฝ่ายตรงข้ามได้โดยไม่มีข้อผิดพลาด

จะว่าไปแล้ว สำหรับทายาทของอาเฉียนผู้นี้ หลิ่วหมิงค่อนข้างสนิทสนมกันมาก ใช้ชีวิตอยู่ในเมืองหลวงของแคว้นต้าเสวียนมาด้วยกันสี่ปี หลิ่วหมิงเห็นนางเป็นคนในครอบครัวเดียวกันแล้ว

เห็นนางมีสภาพที่ไม่เลวในนิกายจันทราสวรรค์ เขาก็รู้สึกโล่งใจมาก

“หรูผิง อีกประเดี๋ยวกลับไปที่พักแล้ว ก็ทาน ‘โอสถเบญจโรจน์’ นี้ซะ โอสถนี้ทำให้จิตใจปลอดโปล่ง ดวงตาแจ่มชัด จนสามารถมองทะลุหมอกหนาทึบในระยะสามสิบกว่าจั้งได้ มันอาจมีประโยชน์ต่อการทำความเข้าใจค่ายกล หรือการศึกษาวิธีทำลายค่ายกลได้”

พอหลิ่วหมิงกล่าวออกมา เม็ดโอสถสีแดงจางๆ ก็ปรากฏในมือ กลิ่นหอมสดชื่นแผ่กระจายออกมา

“ขอบคุณพี่หมิง สุดยอดไปเลย!” หรูผิงรับเม็ดโอสถมาอย่างระมัดระวัง และสังเกตดูด้วยความประหลาดใจ สีหน้าดูเบิกบานใจยิ่งนัก

หลิ่วหมิงเห็นเช่นนี้ ก็ยิ้มออกมาอย่างอดไม่ได้

“ใช่สิ! พี่หมิง ท่านมานิกายของเราครั้งนี้ เพื่อมาหาปรมาจารย์เย่สินะ!” นางกระพริบตาปริบๆ ใส่หลิ่วหมิง และกล่าวด้วยรอยยิ้ม

หลิ่วหมิงได้ยิน ก็รู้สึกประหลาดใจเล็กน้อย และพยักหน้าตอบกลับไป

“หลายวันก่อน ศิษย์พี่หูได้บอกข้าแล้ว พี่หมิง ท่านรอสักครู่ ข้าจะส่งข่าวให้นางนำทางให้ท่าน”

เฉียนหรูผิงกล่าวด้วยรอยยิ้ม

จากนั้นก็หยิบแผ่นค่ายกลสีขาวออกจากเอว และทำท่ามือด้วยมือเดียวก่อนตบลงบนนั้น

ทันใดนั้นพื้นผิวของแผ่นค่ายกลก็พร่ามัวขึ้นมา อักขระเล็กๆ แถวหนึ่งจมหายเข้าไปในนั้น

ไม่นาน เงาร่างสีขาวก็พุ่งมาทางเรือเหาะ

หลังจากเคลื่อนไหวไม่กี่ที ลำแสงก็ดับลง หญิงสาวใบหน้างดงาม อายุยี่สิบกว่าปี ปรากฎตัวขึ้นตรงหน้าเรือเหาะ

นางคือหูชุนเหนียงนั่นเอง!

“ศิษย์น้องไป๋ เป็นอย่างไรบ้าง! คิดไม่ถึงว่าไม่เจอกันไม่กี่ปี ศิษย์น้องไป๋ก็เป็นอาจารย์จิตวิญญาณขั้นกลางแล้ว ช่างเป็นเรื่องที่น่ายินดียิ่งนัก!” หูชุนเหนียงยิ้มอย่างอ่อนโยน และมองดูหูชุนเหนียงด้วยรอยยิ้ม ก่อนหันกลับมากล่าวกับหลิ่วหมิง

‘ไป๋ชงเทียน’ เป็นชื่อปลอมที่หลิ่วหมิงใช้ตอนเป็นศิษย์ตรวจตราในเมืองเสวียนจิง พอกลับถึงนิกาย ก็ทำการแจ้งเปลี่ยนชื่อแซ่กับทางนิกายแล้ว หูชุนเหนียงกลับไปสอบถามที่นิกายก็จะน่ารู้อยู่แล้ว ตอนนี้เรียกหลิ่วหมิงเช่นนี้ ดูเหมือนเป็นการหยอกล้อมากกว่า

เป็นถึงศิษย์ประคองกระบี่ของเย่เทียนเหมย ไม่ว่าจะเป็นคุณสมบัติหรือว่าพรสวรรค์ ก็ไม่ได้ด้อยไปกว่าใครในบรรดาผู้มีพรสวรรค์ของนิกายจันทราสวรรค์เลย

ตอนนั้นนางมีระดับการฝึกฝนเทียบเท่ากับหลิ่วหมิง ตอนนี้หลิ่วหมิงเป็นอาจารย์จิตวิญญาณขั้นกลางแล้ว ส่วนนางยังเป็นศิษย์จิตวิญญาณขั้นปลายคนหนึ่ง ในระยะเวลาหลายปีมานี้ ยังไม่บรรลุขั้นเลย

ตอนนั้น นางได้ยินข่าวว่าหลิ่วหมิงไม่เพียงแต่จะสำเร็จเป็นอาจารย์จิตวิญญาณในช่วงระยะเวลาสั้นๆ เท่านั้น แต่ยังเข้าสู่ขั้นกลางเมื่อไม่นานมานี้ ก็ทำให้นางตกใจไม่น้อยแล้ว

ตอนนี้หูชุนเหนียงได้เห็นตัวจริงของหลิ่วหมิง ย่อมรู้สึกทอดถอนใจเล็กน้อย

สายตาที่มองหลิ่วหมิงเต็มไปด้วยความอิจฉา

“ศิษย์พี่หู หลายปีมานี้ เจ้าหนูหรูผิงรบกวนท่านแล้ว”

หลิ่วหมิงได้ยินหูชุนเหนียงกล่าวเช่นนี้ ก็ป้องมือคารวะและกล่าวออกมา

“อิๆ! ศิษย์น้องไป๋ตามข้ามาเถอะ! ปรมาจารย์เย่รอท่านอยู่” หูชุนเหนียงได้ยินก็รู้สึกตกตะลึงเล็กน้อย จากนั้นก็หัวเราะออกมาเบาๆ และกระโดดมาทางเรือกลเหาะ

เฉียนหรูผิงเห็นเช่นนี้ ก็กล่าวกับหลิ่วหมิงสองสามประโยค หลังจากเรือเหาะ เหาะไปได้ระยะหนึ่งแล้ว นางก็กล่าวลากับทั้งสองด้วยความเสียดาย

……

ห้องหินในถ้ำที่พักที่ค่อนข้างเงียบสงบ และห่างไกลแห่งหนึ่ง หญิงสาวชุดสีเงินที่มีดวงตาสดใสราวกับดวงดาว กำลังนั่งขัดสมาธิด้วยใบหน้าที่ไร้ความรู้สึก

นางก็คือเย่เทียนเหมยนั่นเอง!

“ข้าน้อยคารวะอาจารย์อาเย่” หลิ่วหมิงโค้งคารวะเย่เทียนเหมยตรงหน้าประตู

“ศิษย์หลานหลิ่ว ไม่ต้องมากพิธี เข้ามาเถอะ!”

พอเห็นการมาของหลิ่วหมิง เย่เทียนเหมยก็ค่อยๆ เลิกคิ้วขึ้นมา และกล่าวอย่างราบเรียบ

หลิ่วหมิงได้ยินก็ตอบรับกลับไป จากนั้นก็เข้าไปในห้อง และหาเบาะกลมๆ ก่อนที่จะนั่งขัดสมาธิลงตรงหน้าเย่เทียนเหมย

“คิดไม่ถึงว่า ไม่เจอกันไม่กี่ปีศิษย์หลานหลิ่วก็เป็นอาจารย์จิตวิญญาณขั้นกลางแล้ว บรรลุขั้นรวดเร็วจนน่าตกใจยิ่งนัก” รอหลิ่วหมิงนั่งลงแล้ว เย่เทียนเหมยก็มองเขาทีหนึ่ง และกล่าวด้วยรอยยิ้มที่ดูไม่เหมือนกับยิ้ม

ที่จริงเมื่อหลายปีก่อน นางก็ทราบเรื่องที่หลิ่วหมิงเข้าสู่ระดับของเหลวขั้นกลางจากศิษย์ในนิกายแล้ว เมื่อหลิ่วหมิงเข้ามาในห้อง นางจึงใช้พลังจิตกวาดดู ก็ค้นพบว่ากลิ่นไอที่เขาแผ่ออกมา ดูเหมือนจะเหนือกว่าระดับของเหลวขั้นกลางทั่วไป นางจึงอุทานจุ๊ๆ ด้วยความประหลาดใจ

“หลังจากที่ผู้น้อยไปจากนิกายเมื่อหลายปีก่อน ก็ได้ไปที่นิกายหยวนหมัว ในระหว่างเวลานั้น ก็ได้รับโอกาสอันดีมาบ้าง” หลิ่วหมิงกระพริบตา และกล่าวด้วยสีหน้าสงบ

“แม้ข้าไม่รู้ว่าเจ้าต้องการอาวุธจิตวิญญาณที่ป้องกันการชิงร่างไปทำอะไร แต่ตามข่าวที่ข้าทราบมา เกรงว่าคงจะไม่ใช่เรื่องง่ายๆ” เย่เทียนเหมยได้ยินก็หัวเราะเบาๆ และไม่คิดที่จะสืบสาวราวเรื่องต่อ แต่กลับเปลี่ยนหัวข้อสนทนา

“อาจารย์อาเย่โปรดให้ความกระจ่าง!” หลิ่วหมิงได้ยินก็ใจเต้นขึ้นมา และกล่าวด้วยสีหน้าเคร่งขรึม

“อาวุธจิตวิญญาณชิ้นนี้ ไม่ได้อยู่บนแผ่นดินอวิ๋นชวน แต่กลับอยู่ในเขตทะเลชังไห่”

พอเย่เทียนเหมยกล่าวออกมาเช่นนี้ หลิ่วหมิงก็แสดงสีหน้าประหลาดใจออกมา แต่ก็ทำท่าทางขบคิดอย่างรวดเร็ว

แม้ตอนแรกเขาจะรู้จากประมุขนิกายปีศาจมาบ้างว่า แผ่นดินอวิ๋นชวนที่กล่าวถึง แท้จริงแล้วเป็นแค่หนึ่งในหลายพันเกาะของเขตทะเลชังไห่เท่านั้น

เกาะที่มีขนาดพอๆ กับอวิ๋นชวน แม้กระทั่งมีขนาดใหญ่กว่า ก็มีไม่ต่ำกว่ายี่สิบกว่าเกาะ ส่วนมากเกาะเหล่านี้จะถูกเผ่าเจ้าสมุทรกับปีศาจอสูรที่แข็งแกร่งครอบครองอยู่

และในทะเลชังไห่ นอกจากจะมีสามเผ่าเจ้าสมุทรขนาดใหญ่ที่เคยเผชิญหน้าในก่อนหน้านั้นแล้ว ยังมีเผ่าเจ้าสมุทรที่แข็งแกร่งอย่างเผ่าเกล็ดทองคำ ที่ขนานนามตนเองว่าราชวงศ์ชังไห่ แม้กระทั่งยังมีราชาปีศาจสมุทรอันน่ากลัวที่เข้าสู่ระดับแก่นแท้ในตำนานด้วย

เช่นนี้แล้ว หากเขาอยากได้อาวุธจิตวิญญาณชิ้นนี้ คงไม่ใช่เรื่องง่าย!

พอหลิ่วหมิงคิดมาถึงจุดนี้ ก็ต้องขมวดคิ้วขึ้นมา

เย่เทียนเหมยเห็นเช่นนี้ ก็หยิบแผ่นหยกออกมาจากอกแผ่นหนึ่ง พอสะบัดข้อมือ มันก็ถูกโยนมาทางหลิ่วหมิง

“เรื่องราวที่เกี่ยวข้องกับอาวุธจิตวิญญาณชิ้นนี้โดยละเอียด ถูกบันทึกอยู่ในนี้แล้ว ศิษย์หลานหลิ่วดูก่อนแล้วค่อยว่ากัน”

หลิ่วหมิงไม่เกรงใจอะไรอีกต่อไป พอยื่นมือรับแผ่นหยกมาแล้ว ก็กล่าวขอบคุณออกไป จากนั้นก็แปะมันไว้บนหน้าผาก และส่งพลังจิตเข้าไปในนั้น

เวลาค่อยๆ ผ่านไป สีหน้าหลิ่วหมิงค่อยๆ เปลี่ยนไปมา ผ่านไปซักพัก ถึงถอนหายใจและหยิบแผ่นหยกออก

ที่แท้อาวุธจิตวิญญาณชิ้นนี้ไม่ได้อยู่บนแผ่นดินอวิ๋นชวนจริงๆ แต่กลับอยู่บนเกาะแห่งหนึ่งในเขตทะเลชังไห่ ที่มีชื่อว่า ‘เกาะตะพาบน้ำ’

เกาะแห่งนี้ตั้งอยู่ค่อนไปทางใต้ของศูนย์กลางเขตทะเลชังไห่ ห่างจากอวิ๋นชวนราวๆ หลายหมื่นลี้

มองจากบนอากาศแล้ว เกาะนี้ดูคล้ายกับตะพาบน้ำยักษ์ตัวหนึ่ง ดังนั้นมันจึงมีชื่อเรียกเช่นนี้

พื้นที่ของมันมีขนาดแค่หนึ่งในสามของแผ่นดินอวิ๋นชวน แต่ปราณจิตวิญญาณบนเกาะคุกคามผู้คนเป็นอย่างมาก ทั้งยังมีหลุมปีศาจที่ก่อให้เกิดไอปีศาจระดับกลางจนถึงสูง ในนั้นมีหลายประเภทที่พบเจอได้ยากบนแผ่นดินอวิ๋นชวน

ทรัพยากรที่ใช้ในด้านการฝึกฝนก็สมบูรณ์เป็นอย่างมาก ของล้ำค่าฟ้าดินชนิดต่างๆ ก็มีมากเกินกว่าแผ่นดินอวิ๋นชวนจะเปรียบเทียบได้

แต่บนเกาะมีเผ่าเจ้าสมุทร เผ่าปีศาจ มนุษย์ และเผ่าอื่นๆ ครอบครองด้วยกัน แลดูวุ่นวายยิ่งนัก

และบนเกาะมีมนุษย์เผ่าอัคคีบริสุทธิ์ ที่ถูกขนานนามว่าเป็นหนึ่งในสามสุดยอดผู้เชี่ยวชาญการหลอมอาวุธในชังไห่อยู่คนหนึ่ง เขามีนามว่า ‘เหยียนเจวี๋ย’

มนุษย์เผ่าอัคคีบริสุทธิ์ชำนาญการควบคุมอัคคี เผ่านี้เชี่ยวชาญการหลอมตีเหล็กโดยธรรมชาติ ได้ยินมาว่า แม้กลุ่มที่มีอิทธิพลบนเกาะจะมีการต่อสู้กันอยู่ไม่ขาด แต่กลับให้ความเคารพมนุษย์เผ่าอัคคีมาก

เพราะไม่ว่าใครก็ตามที่ล่วงเกินผู้เชี่ยวชาญการหลอมอาวุธหนึ่งท่าน ล้วนส่งผลเสียต่อตนเองทั้งนั้น

และ ‘เหยียนเจวี๋ย’ เป็นถึงเป็นผู้เชี่ยวชาญการหลอมอาวุธที่มีชื่อเสียงในชังไห่ อาวุธจิตวิญญาณที่เขาหลอมขึ้นมา ไม่ว่าจะเป็นคุณสมบัติ หรือชั้นจำกัดบนนั้น ก็ล้วนไม่ธรรมดา พอออกจากเตาหลอม ก็มีคนแย่งกันซื้อทันที

ได้ยินมาว่า ช่วงนี้เขาหลอมอาวุธจิตวิญญาณที่ไม่เลวหลายชิ้น และกำลังเตรียมเลือกวันนำมาออกมาประมูล

และในนั้นมีชิ้นหนึ่งที่ชื่อว่า ‘โซ่ตรวนสะกดวิญญาณ’ มันเป็นอาวุธจิตวิญญาณระดับกลาง ใช้ปกป้องพลังจิต และพบเจอได้น้อยมาก ว่ากันว่าไม่เพียงแต่ใช้วัสดุชนิดพิเศษ ในนั้นยังมีชั้นจำกัดพิเศษบางอย่างแฝงอยู่ เพียงแต่เพิ่มการปรับแต่งเล็กน้อย และพกติดตัว ก็สามารถต้านการการโจมตีของเคล็ดวิชาที่ใช้พลังจิตได้ระดับหนึ่ง ที่สำคัญก็คือ ยังสามารถควบคุมการชิงร่างจากผู้อื่นได้!

……………………………………