ตอนที่ 624 ไม่ต้องการท่านแม่ที่ชอบก้าวก่าย
“ไม่ว่าเสด็จแม่จะทำเรื่องใดก็ไม่เคยนึกถึงจิตใจลูก ไม่แม้แต่จะรู้ใจลูก เอาแต่บอกลูกว่าไม่อนุญาตให้ทำสิ่งนั้น ไม่อนุญาตให้ทำสิ่งนี้ เสด็จแม่รักลูกจริงๆ บ้างหรือไม่”
“ลูกเป็นผู้ใหญ่เต็มตัวแล้ว จะเป็นฮ่องเต้แบบไหน ลูกรู้แก่ใจดี แต่เสด็จแม่ไม่ยอมเชื่อลูก เอาแต่กำอำนาจในมือไว้แน่นไม่ยอมปล่อย”
“เสด็จแม่ ลูกไม่ได้ขอความคิดเห็นของท่าน แค่มาแจ้งให้ทราบเท่านั้น ลูกไม่ต้องการท่านแม่ที่ก้าวก่ายเสียทุกเรื่อง ต่อไปเสด็จแม่ก็แค่อยู่สบายๆ ดูแลพระวรกายพระองค์เป็นพอ”
“หลายปีมานี้ท่านเลี้ยงลูกมาด้วยความลำบาก ต่อไปลูกจะดูแลท่านเอง จื่ออีพาไทเฮากลับตำหนักเถิด”
มู่หรงกวานเย่ว์มือสั่นไปหมด นางพยายามที่จะควบคุมอารมณ์ตนไว้อย่างที่สุด แล้วจ้องเฉินม่อฉือนิ่งคล้ายรอฟังคำสำนึกผิดของเขา แต่เฉินม่อฉือกลับไม่พูดอะไร ทั้งไม่ยอมมองมู่หรงกวานเย่ว์แม้แต่น้อย ทำให้ใจของมู่หรงกวานเย่ว์ค่อยๆ เหน็บหนาวขึ้นมาทีละน้อยๆ
หากคนทั้งสองยังคงเย็นชาใส่กันเช่นนี้ จื่ออีคงย่ำแย่แน่ ในที่สุดนางจึงเอ่ยว่า “ไทเฮา หม่อมฉันจะประคองพระองค์เองเพคะ”
จื่ออีพูดจบก็ยื่นมือออกมา ในที่สุดมู่หรงกวานเย่ว์ก็ยอมยื่นมือให้กับจื่ออี นางสูดลมหายใจคราหนึ่งแล้วจึงเดินนวยนาดไปพร้อมกับจื่ออี
ขณะกำลังจะพ้นประตู มูหรงกวานเย่ว์กลับเดินสะดุด จื่ออีรีบประคองนางไว้อย่างรวดเร็ว “ไทเฮา ระวังเพคะ”
มู่หรงกวานเย่ว์ไม่พูดอะไร ได้แต่รีบขึ้นเกี้ยวไป ด้วยกลัวว่าตนจะควบคุมอารมณ์ไว้ไม่ได้ นางเป็นไทเฮา ไม่ว่าอย่างไรก็มิอาจกระทำตัวไร้สติต่อหน้าผู้คนได้
หลิงอวี้จื้อยังคงหลับตาอยู่ แต่เธอได้ยินทั้งหมด ความจริงเธอไม่ได้แค้นเคืองมู่หรงกวานเย่ว์แต่อย่างใด แค่ไม่ชอบหน้าเท่านั้น หากพูดกันตามจริงแล้วมู่หรงกวานเย่ว์ก็เป็นมารดาที่รักบุตรชายมากอย่างยิ่ง
เพียงแต่ท่าทีอาจจะดูแข็งกร้าวไปสักหน่อย ไม่รู้วิธีพูดจากับบุตรตนเท่าใด ได้ยินว่านางเข้มงวดกับเฉินม่อฉือมาตั้งแต่เล็ก ตอนนั้นเขายังเด็กจึงต้องพึ่งพามารดา เมื่อเติบใหญ่ความบาดหมางของทั้งสองก็ค่อยๆ หนักข้อขึ้นเช่นกัน
มู่หรงกวานเย่ว์เห็นเฉินม่อฉือเป็นดั่งโลกทั้งใบของตน ทำให้ตัดใจปล่อยมือไม่ได้ ห่วงเขาไปเสียทุกสิ่ง แต่การทำเช่นนี้กลับทำให้เฉินม่อฉือต่อต้าน ความสัมพันธ์ของคนทั้งสองจึงยิ่งเลวร้ายลงไปอีก
เมื่อเห็นทั้งสองทะเลาะกันเช่นนี้ หลิงอวี้จื้อกลับไม่ได้รู้สึกดีใจเลย เฉินม่อฉือช่วยเธอไว้หลายครั้ง แม้บางคราจะทำเรื่องไร้มารยาทเกินไปสักหน่อย แต่อย่างไรก็ไม่เคยทำร้ายเธอจริงๆ เลยสักครั้ง
ตอนนี้เองที่เธอรู้สึกว่ามีคนเดินมาถึงข้างเตียงแล้ว แม้ไม่ได้ลืมตา แต่ก็รู้ว่าเป็นเฉินม่อฉือ
เฉินม่อฉือยืนอยู่ข้างเตียง มองดูหลิงอวี้จื้อที่นอนอยู่บนเตียงด้วยอารมณ์สับสน “ตอนที่เจ้าร้องว่าช่วยด้วย เรากลับนึกถึงอวี้จื้อขึ้นมา ทำไมเจ้าถึงเหมือนนางขนาดนี้ เหตุใดเราจึงเห็นเงาของนางในร่างของเจ้า เจ้ารู้หรือไม่ว่าเราคิดถึงนางเพียงใด”
เฉินม่อฉือพึมพำกับตนเอง ใจของหลิงอวี้จื้อก็ไม่ได้รู้สึกดีนัก ความรู้สึกที่เฉินม่อฉือมีต่อเธอนั้นเธอรู้มาตลอด แต่เธอไร้หนทางจะตอบรับได้ ด้วยเหตุนี้เธอจึงไม่ลืมตาขึ้น ยังคงหลับตานิ่งต่อไป
เฉินม่อฉือมองหลิงอวี้จื้ออยู่เช่นนั้นกระทั่งหมอหลวงมาถึง เฉินม่อฉือจึงไปยืนข้างๆ หมอหลวงที่กำลังตรวจชีพจรให้หลิงอวี้จื้อแทน
เมื่อครู่ที่เธอถูกรัดคอไว้โดยแรง ทำให้รอบคอมีรอยแดงอย่างเห็นได้ชัดรอยหนึ่ง
“หมอหลวง นางเป็นอย่างไรบ้าง”
หมอหลวงทูลตอบด้วยท่าทีนบน้อมว่า “ฝ่าบาท แม่นางผู้นี้ไม่เป็นอันใดมากนัก อาจจะแค่ตกใจจึงหมดสติไปพะยะค่ะ กระหม่อมจะจัดยาทาให้นาง ทาเพียงวันสองวัน รอยที่คอก็จะหายไปเองพะยะค่ะ”
“เจ้ารีบไปจัดยามาเถิด”
“พะยะค่ะ กระหม่อมจะไปจัดยาเดี๋ยวนี้พะยะค่ะ”
หมอหลวงรับคำแล้วถือกล่องโอสถเดินออกไป
ตอนที่ 625 คืนนี้ต้องหยั่งเชิงดูเสียหน่อยแล้ว
หลิงอวี้จื้อยังคงแสร้งนอนหลับต่อ แต่เฉินม่อฉือกลับไม่ไปสักที คล้ายว่าถ้าเธอไม่ตื่น เฉินม่อฉือก็จะไม่ไปเด็ดขาด
ทำอย่างไรได้ หลิงอวี้จื้อจึงจำต้องลืมตาขึ้น มิฉะนั้นเกรงว่าเฉินม่อฉือคงจะอยู่ที่นี่ทั้งคืนแน่ การแกล้งหมดสตินั้นทรมานไม่น้อยเลย
เมื่อเห็นว่าหลิงอวี้จื้อลืมตาขึ้น เฉินม่อฉือก็เผยรอยยิ้มออกมา “เจ้าฟื้นแล้ว”
“เหตุใดฝ่าบาทจึงมาอยู่ที่นี่ได้เล่าเพคะ”
หลิงอวี้จื้อแสร้งเป็นไม่รู้ว่าเฉินม่อฉืออยู่ที่นี่จึงตั้งใจเอ่ยถามเช่นนั้นออกมา
“เราก็อยู่ที่นี่ตั้งแต่แรกแล้ว”
สีหน้าของเฉินม่อฉือผ่อนคลายลงไปมาก แต่ยังคงบึ้งตึงอยู่ หลิงอวี้จื้อไม่ใช่รู้จักเขามาแค่เพียงวันเดียวเสียเมื่อใด ย่อมรู้ดีว่าเขามีสีหน้าบึ้งตึงเช่นนี้มาตั้งแต่เล็ก ทั้งยังขี้หงุดหงิดมากอีกด้วย
เธอนับเป็นคนที่รู้จักเอาใจผู้อื่น แต่ตอนที่เธอเป็นสหายร่วมเรียนนั้น นางรู้สึกทรมานยิ่ง ไม่รู้เมื่อใดที่เฉินม่อฉือจะมีโทสะขึ้นมา ทำให้คนคาดเดาไม่ได้จริงๆ เขาเป็นคนอารมณ์แปรปรวนอย่างแท้จริงผู้หนึ่งเลย
หลิงอวี้จื้อรู้สึกประหม่าเล็กน้อย เธอไม่รู้ควรพูดอะไรกับเฉินม่อฉือดี นอนนานเช่นนี้ทำให้รู้สึกปวดเบาขึ้นมาจึงแหวกม่านจะลงจากเตียง เฉินม่อฉือห้ามเธอไว้ทันที “เจ้านอนพักอีกสักครู่เถอะ”
“เออ ฝ่าบาท หม่อมฉันปวดเบาเพคะ”
เมื่อได้ยินเช่นนี้ เฉินม่อฉือจึงไม่ห้ามหลิงอวี้จื้ออีก เขาเอ่ยกำชับขึ้นว่า “ไปเอากระโถนมา”
“ไม่เป็นไรเพคะ หม่อมฉันไปเองเพคะ”
เอากระโถนเข้ามาถึงทีนี่ เธอจะฉี่ออกได้อย่างไร จู่ๆ เฉินม่อฉือก็ดีกับเธอถึงเพียงนี้ ทำให้เธอรู้สึกไม่ชินจริงๆ
หลิงอวี้จื้อลุกขึ้น เธอไม่แม้แต่จะถวายพระพรก็วิ่งออกไปทันที เฉินม่อฉือกลับไม่ถือสา เขาลุกขึ้นเดินไปที่โต๊ะแล้วรินน้ำให้ตนถ้วยหนึ่ง
เดิมเขาควรต้องไปนานแล้ว แต่ไม่รู้ทำไมถึงรู้สึกว่าหญิงผู้นี้เหมือนกับหลิงอวี้จื้อมาก เขาคงบ้าไปแล้วถึงคิดว่าคนของสำนักอู๋จี๋เหมือนหลิงอวี้จื้อ
เขาหยิบกาน้ำชาขึ้นมารินให้ตนเอง เมื่อจิบไปคำหนึ่งก็รู้สึกแปลกๆ เหตุใดรสชาติถึงได้เปรี้ยวๆ หวานๆ เช่นนี้ เขาเปิดฝาออกจึงเห็นส้มโออยู่ในกา เขาเรียกนางกำนัลเข้ามาถามทันทีว่า “นี่คือชาอะไร”
นางกำนัลไม่รู้ความนัย เมื่อเห็นสีหน้าของเฉินม่อฉือเคร่งเครียดเช่นนั้นก็ตกใจจนต้องคุกเข่าลงกับพื้น “ฝ่าบาท ชานี้แม่นางเจียงอวี้ทำเองเพคะ”
“นางบอกว่าอยากจะดื่มชาส้มโอใส่น้ำผึ้ง หม่อมฉันไม่รู้จักชาชนิดนี้ นางจึงให้หม่อมฉันเตรียมน้ำผึ้งกับส้มโอมาให้ ส่วนที่เหลือแม่นางเจียงอวี้ทำเองทั้งสิ้นเพคะ”
เส้นโลหิตบนหลังมือของเฉินม่อฉือถึงกับปูดโปนขึ้นมา เขาถามต่อไปว่า “เจ้ารู้สึกว่านางมีอะไรที่แปลกๆ บ้างหรือไม่”
“บางครั้งแม่นางเจียงอวี้ก็พูดจาประหลาดอยู่บ้างเพคะ เป็นคำที่หม่อมฉันไม่เคยได้ยิน จึงไม่เข้าใจว่าหมายความอย่างไร”
“อะไรที่ว่าประหลาด”
นางกำนัลคิดว่าหลิงอวี้จื้อต้องมีอะไรไม่ดีแน่ๆ จึงไม่กล้าปิดบัง นางคิดทบทวนคำพูดแสนประหลาดของหลิงอวี้จื้ออย่างละเอียด แล้วเอ่ยตอบหมดเปลือกว่า “แม่นางเจียงอวี้ไม่ได้พูดกับหม่อมฉันมากนัก แต่วันนี้ที่หม่อมฉันเอาอาหารมาส่ง นางบอกว่า ‘อาหารอร่อยมาก ต้องกดไลค์ให้พ่อครัวซะแล้ว’ เพคะ”
เฉินม่อฉือบีบถ้วยชาแน่นจนมันแทบแหลกคามือแล้ว หลิงอวี้จื้อเคยพูดว่า ‘กดไลค์’ ให้เขาเช่นกัน เหตุใดเจียงอวี้ถึงพูดเหมือนหลิงอวี้จื้อไม่มีผิด ทั้งเรื่องชาส้มโอผสมน้ำผึ้งนี้อีก มันเป็นของโปรดของหลิงอวี้จื้อชัดๆ
หลิงอวี้จื้อพูดถึงชาชนิดนี้กับเขาอยู่หลายครั้ง เขาแค่รู้สึกว่ามันแปลก แต่ก็ทราบภายหลังว่าเซียวเหยี่ยนทำไว้ให้นางตั้งมากมาย จึงรู้สึกไม่พอใจยิ่ง และเขาเองก็เคยแอบลองชิมดูแล้วถึงรู้ว่ารสชาติของชาชนิดนี้เป็นอย่างไร
เขารู้สึกสงสัยขึ้นมาแต่ก็ควบคุมตนไว้ไม่ให้ไปถามเอาความจริงกับหลิงอวี้จื้อตรงๆ เสียตอนนี้ คืนนี้เขาจะลองหยั่งเชิงนางดูสักหน่อย เขาไม่ใช่เฉินม่อฉือในอดีตอีกต่อไปแล้ว