บทที่ 367.1 วิญญาณกระบี่ขึ้นเหนือ จั่วโย่วลงใต้

กระบี่จงมา! Sword of Coming

แม่น้ำแห่งกาลเวลายังคงไหลรินไปอย่างเชื่องช้าอยู่ด้านนอกฟ้าดินขนาดเล็กแห่งนี้ ตรงจุดที่ตัดกับม่านฟ้า การเสียดสีเคลื่อนกระทบระหว่างกฎเกณฑ์ของฟ้าดินสองชนิดก่อให้เกิดประกายแสงห้าสีแวววาวชวนให้คนหลงไหล

เฉินผิงอันและวิญญาณกระบี่นั่งเคียงไหล่กันอยู่บนริมซากปรักของกำแพงเมือง สองขาห้อยอยู่ด้านนอก

เฉินผิงอันก้มหน้าลงมองหน้าท้องตัวเอง เลือดหยุดไหลแล้ว เลือดเนื้อตรงบาดแผลก็ประสานตัวหายดีพอประมาณแล้ว เพียงแต่ว่าอวัยวะภายในคล้ายถูกขยุ้มรวมกัน ยังคงเจ็บปวดจนทำให้คนตัวสั่น

บาดแผลที่เกิดจากอาวุธเซียนแห่งชะตาชีวิตของขอบเขตบินทะยาน ต่อให้ยังไม่ได้โจมตีอย่างเต็มกำลัง แค่ทะลุผ่านหน้าท้องของเฉินผิงอันไป แต่โรคร้ายที่ทิ้งไว้เบื้องหลังก็ยังมากมายจนยากจะจินตนาการได้

ห่างออกไปไกล ทุกคนล้วนหยุดนิ่งอยู่ที่เดิมไม่กระดุกกระดิก

มีเพียงหมัวมัวผู้อบรมมารยาทที่กระบี่บินแห่งชะตาชีวิตถูกหักที่แปลกประหลาดที่สุด ร่างของนางส่ายโงนเงนเบามากจนแทบสังเกตไม่เห็น แต่กลับดูอเนจอนาถมากเป็นพิเศษ

ซุนเจียซู่ถูกบรรพบุรุษตีจนสลบไป แล้วส่งมอบให้ผู้ดูแลวัยชราที่อยู่ด้านข้างเป็นผู้ประคอง

บนใบหน้าของคนส่วนใหญ่มีรอยยิ้มสาแก่ใจ

ได้ยินนางเล่าให้ฟังว่า เจิ้งต้าเฟิงที่ถูกหักกระดูกสันหลัง ปราณบริสุทธ์แท้จริงที่หล่อหลอมมาจากขอบเขตเก้าของผู้ฝึกยุทธ์ได้สลายหายไปอย่างสิ้นเชิงแล้ว กลายมาเป็นคนไร้ค่าคนหนึ่งอย่างแท้จริง แต่พื้นฐานของร่างกายยังคงเหลืออยู่บ้างเล็กน้อย เทียบเท่ากับร่างกายของผู้ฝึกยุทธ์ขอบเขตห้าหก เจิ้งต้าเฟิงถูกผู้เฒ่าเหวินเซิ่งส่งตัวไปที่ร้านยาฮุยเฉินแล้ว ถือว่าปลอดภัยไม่มีอันตรายถึงชีวิตแล้ว แต่ว่าต่อให้สามารถลุกขึ้นยืนได้อีกครั้ง อีกครึ่งชีวิตหลังที่เหลืออยู่ก็คงอยู่ไม่สู้ตาย

นางยังบอกอีกว่า ซิ่วไฉเฒ่าบอกว่าเรื่องเละเทะครั้งนี้ให้เขาเป็นคนเก็บกวาดเอง สรุปก็คือจะไม่ทำให้เฉินผิงอันเสียเปรียบเด็ดขาด ตู้เม่าผู้นั้นกินเข้าไปเท่าไหร่ต้องคายออกมามากยิ่งกว่า อีกทั้งเรื่องราวยังไม่ได้ง่ายดายเพียงแค่นั้นด้วย

นั่งมองม่านฟ้าเบื้องบนของฟ้าดินขนาดเล็กแห่งนี้ด้วยกัน นางพลันเอ่ยขึ้นว่า “ข้าต้องไปแล้ว เรื่องลับกระบี่ จะมัวล่าช้าไม่ได้”

เฉินผิงอันนึกถึงเรื่องหนึ่งขึ้นมาได้จึงพูดเบาๆ ว่า “ข้ามีร่มกระดาษน้ำมันคันหนึ่งสามารถบดบังเจตนารมณ์สวรรค์ได้ พี่หญิงเทพเซียนท่านเอาไปดีไหม? ตามคำบอกก่อนหน้านี้ แม้แต่คู่อาฆาตของท่านผู้เฒ่าเหวินเซิ่งยังบอกไว้ชัดเจนแล้วว่า วันหน้าอย่างน้อยข้าก็ไม่ต้องเจอกับตาเฒ่าประหลาดอย่างตู้เม่าผู้นี้อีก ขอแค่ไม่ใช่ผู้ฝึกตนห้าขอบเขตบน ข้าก็ล้วนรับมือด้วยได้ อีกอย่างจะไม่มีทางไปหาเรื่องพวกเขาก่อนเด็ดขาด ครั้งนี้ช่วยเจิ้งต้าเฟิงในนครมังกรเฒ่าถือเป็นข้อยกเว้น”

นางอืมรับหนึ่งที ยื่นมือมาลูบศีรษะของเฉินผิงอัน “ก็ดีเหมือนกัน เจ้ายังไม่เคยมอบอะไรให้ข้าเลยนะ”

เฉินผิงอันกะพริบตาปริบๆ

นางพูดอย่างมีเหตุมีผล “จะหมายถึงแท่นสังหารมังกรในตะกร้าไม้ไผ่ของเจ้าตอนที่อยู่บนสะพานหินก้อนนั้น? นั่นไม่ใช่ของขวัญที่เจ้ามอบให้เสียหน่อย เป็นเพราะข้าขโมยไปต่างหาก”

เฉินผิงอันยิ้ม “พี่หญิงเทพเซียน ท่านอยากได้อะไร ร่มกระดาษน้ำมันคันนั้นไม่นับ ข้าจะมอบอย่างอื่นให้ท่าน ท่านต้องเดินทางมาไกลขนาดนี้ วันหน้ายังต้องเดินต่อไปอีก ไม่แน่ว่าอาจจะเจอของที่ท่านชอบ”

นางเบี่ยงตัวมามอง จากนั้นก็เอนตัวไปด้านหลัง พูดด้วยรอยยิ้ม “ไม่กลัวว่าแม่นางคนนั้นจะโกรธรึ?”

เฉินผิงอันยิ้มกว้างสดใส “อย่างมากก็แค่ถูกนางซ้อมรอบหนึ่ง”

นางงอสองนิ้วเคาะลงบนหน้าผากเฉินผิงอันเบาๆ “เด็กหนุ่มเติบใหญ่แล้ว”

เฉินผิงอันก็เบี่ยงตัว ยื่นมือมาทำท่าเทียบความสูงของคนทั้งสอง พูดอย่างดีใจ “ใช่ไหม?”

นางใช้ไหล่ชนไหล่เฉินผิงอันเบาๆ ยิ้มถามว่า “ชอบแม่หนูนั่นมากเลยหรือ? ชอบแบบไหน?”

เฉินผิงอันคิดแล้ว บนใบหน้าที่ซีดขาวก็แดงก่ำน้อยๆ ใช้สองมือยันพื้น มองไปยังทิศไกล พูดเบาๆ ด้วยความเขินอาย “ข้าจะกล้าพูดออกมาได้อย่างไร”

นางจุ๊ปากพูด “โอ้โหๆๆ ข้าจะหึงจริงๆ แล้วนะ”

เฉินผิงอันยังคงมองไปยังทิศไกล ส่ายหน้าพูดว่า “ไม่หรอก พี่หญิงเทพเซียนดีที่สุดแล้ว”

สตรีร่างสูงใหญ่ยิ้มพลางลุกขึ้นยืน “ไปกันเถอะ ไปเอาร่มที่ร้านยากัน ใช่แล้ว ศพบนพื้นนี่คือกายนอกกายของจิตหยางตู้เม่า สามารถเก็บเอาไปไว้ได้ จะดีจะชั่วก็เป็นเนื้อหนังมังสาของขอบเขตสิบสองเซียนเหริน สามารถเอาไปขายแลกเงินได้”

เฉินผิงอันชำเลืองตามอง ‘ตู้เม่า’ ที่อยู่บนพื้น

นางยิ้มพูดว่า “สามารถขายได้เงินไม่น้อย หรือถึงขั้นให้คนมาสิงร่าง ยกตัวอย่างเช่นคนประเภทชุยฉานราชครูต้าหลี”

เฉินผิงอันจึงเอามาเก็บไว้ในวัตถุจื่อชื่อ

นางยิ้มอย่างรู้ใจ

แม้ช่องโพรงในร่างกายของเฉินผิงอันจะถูกทำลายไปมาก แค่เดินหรือเคลื่อนไหวไม่เป็นปัญหา ทว่าตอนนี้ไม่ต้องหวังว่าจะประมือกับคนอื่นได้ คาดว่าศักยภาพของเขาในเวลานี้ยังสู้ตบะของผู้ฝึกยุทธ์ขอบเขตสามไม่ได้เลยด้วยซ้ำ

เฉินผิงอันลุกขึ้นยืน ก้มหน้ามองชุดคลุมอาคมจินหลี่ที่ขาดยับเยิน เจ็บปวดหัวใจด้วยความเสียดายยิ่งกว่าเจ็บปวดร่างกายเสียอีก ในมือนางถือแท่นสังหารมังกรสามชิ้นที่ตอนแรกใส่ไว้ในวัตถุจื่อชื่อซึ่งเป็นแผ่นหยกสีขาว ยิ้มพูดว่า “ไม่เป็นไร ซ่อมแซมให้กลับมาดีดังเดิมได้ แค่เงินเหรียญทองแดงแก่นทองไม่กี่ถุงเท่านั้น ไม่แน่ว่าอาจจะยังสามารถเลื่อนขั้นเป็นอาวุธกึ่งเซียนได้ในรวดเดียว หยางเหล่าโถวต้องจ่ายสักหน่อย ตู้อะไรนั่นก็ต้องคิดหาวิธีมาจ่ายให้ด้วย”

เฉินผิงอันพยักหน้ารับ

นางก้าวยาวๆ เดินไปข้างหน้า เดินไปหยุดอยู่ตรงช่องโพรงขนาดใหญ่ที่ถูกทะลุทะลวง “อย่าหมดอาลัยตายอยาก ปลายทางของมหามรรคายังอีกยาวไกล ถึงเวลานั้นข้าจะยังคงอยู่ข้างกายเจ้า”

เฉินผิงอันเดินเร็วๆ ตามไป นางคว้าไหล่ของเฉินผิงอัน กระโดดออกจากช่องโพรง หลังจากที่เฉินผิงอันชี้บอกทางก็พุ่งตัวไปยังร้านยาฮุยเฉินที่อยู่ในเมืองชั้นในของนครมังกรเฒ่า

เนื่องจากนครมังกรเฒ่ายังไม่ยกเลิกประกาศข้อห้าม รอบด้านจึงยังคงเงียบสงัด

ในตรอกนอกร้านยา เผยเฉียนที่ถือไม้เท้าเดินป่าร้อนรนราวกับมดบนกระทะร้อน เพราะนางร่ายวิชากระบี่บ้าคลั่งที่คิดค้นขึ้นเองจบแล้วก็พบว่าเทพหยินแซ่จ้าวแน่นิ่งคล้ายหุ่นไม้ ไม่ว่านางจะเรียกอย่างไรก็ไม่ได้ผล ควันดำเหล่านั้นประหนึ่งแท่งน้ำแข็ง นางใช้สองมือขยุ้มจับมาได้กลุ่มหนึ่ง แต่ไม่ว่าจะกระชากอย่างไรก็ไม่ขยับเขยื้อน สุดท้ายนางจึงโยนไม้เท้าเดินป่าทิ้ง นั่งกุมหัวร้องไห้โฮอยู่บนพื้น ร้องเสร็จก็วิ่งออกไปจากตรอกเล็กราวกับคนบ้า แต่กลับหยุดอยู่ตรงหัวเลี้ยวของตรอกเพราะจำได้ว่าเฉินผิงอันสั่งเอาไว้ ดังนั้นนางจึงวิ่งกลับไปกลับมาอยู่ในตรอก สุดท้ายก็มานั่งยองอยู่บนพื้นร่ำไห้ปานจะขาดใจอีกครั้ง ร้องเรียกหาทั้งพ่อทั้งอาจารย์ ตะโกนจนลำคอแหบแห้ง กระทั่งเหนื่อยหมดแรงจึงหยิบยันต์แผ่นนั้นมาแปะลงบนหน้าผาก เพิ่มความกล้าให้กับตัวเอง ยู่ใบหน้าเล็กๆ ที่เต็มไปด้วยคราบน้ำตามอมแมม เตรียมจะก้าวออกไปตามหาเฉินผิงอัน!

แต่กลับได้ยินเสียงที่คุ้นเคยดังขึ้นจากข้างหลัง “กลับมา”

เผยเฉียนหมุนตัวกลับ พอเห็นเฉินผิงอันที่ส่งยิ้มมาให้ตนก็ทั้งน้อยใจทั้งดีใจ เดี๋ยวร้องไห้เดี๋ยวหัวเราะวิ่งไปหาเฉินผิงอัน กระโดดกอดเขาเอาไว้

สตรีร่างสูงใหญ่ยืนอยู่ด้านหลังเฉินผิงอัน พอเห็นภาพนี้ก็รู้สึกว่าน่าสนใจ เหมือนอย่างมาก

ส่วนความประหลาดในดวงตาของเด็กหญิงผิวดำดุจถ่านผู้นี้ ด้วยชาติกำเนิดและสายตาของนางทำให้นางมองเห็นวิธีการที่ซ่อนอยู่ภายในได้ชัดเจนยิ่งกว่าใคร

ภาพเหตุการณ์เช่นนี้เรียกว่าดวงตาซ่อนตะวันจันทรา

แน่นอนว่าไม่ใช่ตะวันจันทราที่ ‘แท้จริง’ ของใต้หล้าไพศาล แต่เป็นแก่นของตะวันจันทราที่มาจากถ้ำสวรรค์พื้นที่มงคลบางแห่ง ทว่าต่อให้เป็นเช่นนี้ ผู้ฝึกยุทธ์ขอบเขตเก้าหรือเทพเซียนพสุธาก็ยังไม่สามารถรับโชควาสนาที่ใหญ่เทียมฟ้านี้เอาไว้ได้

เหตุใดแม่นางน้อยถึงยังคงเป็นปกติสบายดี นางไม่สนใจนัก มีเรื่องประหลาดหรือคนมหัศจรรย์แบบใดที่นางไม่เคยพบมาก่อน? มากมายจนนางชินชามานานแล้ว ลำพังเพียงแค่คนที่ตายอยู่ภายใต้คมกระบี่ของกระบี่โบราณก็มีมากจนนับไม่ถ้วนแล้ว

เผยเฉียนเพิ่งจะมองเห็นสตรีสูงใหญ่สวมชุดสีขาวผู้นั้น นางเบิกตากว้าง สีหน้าอึ้งค้าง

วิญญาณกระบี่คลี่ยิ้ม พูดกับเฉินผิงอันว่า “ใต้หล้าในทุกวันนี้ น้อยนักที่จะมีตัวอ่อนผู้มีชะตาบู๊ที่บริสุทธิ์เช่นนี้ เหตุใดเจ้าถึงไม่สอนนาง?”

เฉินผิงอันเอามือกดศีรษะเล็กๆ ของเผยเฉียนเอาไว้ “เมื่อก่อนกลัวว่านางเรียนวรยุทธ์แล้วจะไม่รู้จักหนักเบา ง่ายที่จะก่อเรื่อง แต่หลังจากนี้ข้าจะสอนนางด้วยตัวเอง”

เผยเฉียนเริ่มก้าวถอยหลังอย่างห้ามตัวเองไม่ได้

ร่างกายเป็นไปเอง เกรงว่าแม้แต่นางเองก็คงไม่รู้ตัวว่าตอนนี้ทำอะไรอยู่

วิญญาณกระบี่หรี่ตาลง “ดูท่าจะไม่ใช่ถ้ำสวรรค์พื้นที่มงคลธรรมดาที่ลัทธิขงจื๊อค้นพบใหม่ ไม่แน่ว่าหนึ่งในนั้นอาจถูกข้าสะบั้นให้หล่นลงสู่โลกมนุษย์เองกับมือในปีนั้น?”

เฉินผิงอันฉงนสนเท่ห์

วิญญาณกระบี่ยิ้มกล่าวว่า “ตอนนี้ยังไม่ต้องเข้าใจเรื่องพวกนี้ เรื่องเก่าแก่ไร้สาระ แค่ข้านึกถึงก็หงุดหงิดแล้ว”

นางหมุนตัวกลับเดินไปทางร้านยา

เผยเฉียนถึงได้คืนสติ ไปหลบอยู่ด้านหลังเฉินผิงอันอย่างขลาดๆ

ร่มน้ำมันคันเล็กที่นักพรตเฒ่าตงไห่เรียกว่าพัดอู๋ถงวางเอนพิงไว้ตรงประตู นางค้อมตัวลงไปหยิบขึ้นมาแล้วกางออกทันที แผ่นหยกแผ่นหนึ่งร่วงลงมา ก็คือแผ่นหยกผู้สืบทอดศาลบรรพจารย์ภูเขาไท่ผิง

นางคว้ามาไว้ในมือ ชำเลืองตามองหนึ่งทีก็บีบให้แหลกเป็นจุล “ของเล่นผุพังอะไรกัน”

เฉินผิงอันกระทืบเท้าหนึ่งที กล่าวอย่างร้อนใจ “ข้ายังต้องคืนให้กับภูเขาไท่ผิงอีกนะ”

วิญญาณกระบี่ยิ้มตาหยี “ก็ไม่บอกแต่แรกเล่า แต่ไม่เป็นไร แค่บอกว่าข้าเป็นคนทำพัง บอกให้ภูเขาไท่ผิงอะไรนั่นมาหาข้าที่ถ้ำสวรรค์หลีจู ข้าจะชดใช้ให้พวกเขาเอง”

ในใจนางคิดว่า แต่ก่อนจะทำเช่นนั้นได้ พวกเขาต้องกล้ารับเสียก่อน

เฉินผิงอันกล่าวอย่างจนใจ “ช่างเถอะ ข้าค่อยเขียนจดหมายไปบอกเทียนจวินผู้เฒ่าของภูเขาไท่ผิงก็แล้วกัน น่าจะไม่เป็นปัญหาใหญ่อะไร”

นางกางร่ม พยักหน้ารับ “ถ้าอย่างนั้นข้าไปแล้วนะ”

เฉินผิงอันมีคำพูดนับพันนับหมื่น แต่กลับไม่รู้จะเริ่มพูดจากตรงไหน สุดท้ายจึงได้แค่พยักหน้ารับด้วยรอยยิ้มเท่านั้น

นางเดินมาหยุดอยู่ตรงหน้าเฉินผิงอัน ค้อมเอวลงเล็กน้อย ใช้หน้าผากแนบกับหน้าผากเฉินผิงอัน พูดเบาๆ ว่า “เฉินผิงอัน ได้พบเจอเจ้า คือความโชคดีของข้า”

กล่าวจบ นางที่ในมือถือร่มกระดาษน้ำมันก็กลายร่างเป็นรุ้งยาวสีขาวหิมะ แหวกม่านฟ้าของนครมังกรเฒ่า แหวกทะเลเมฆที่ฟ่านจวิ้นเม่านอนสลบอยู่ หยุดลอยนิ่งอยู่ครู่หนึ่งก็มุ่งหน้ากลับไปทางแท่นสังหารมังกรในถ้ำสวรรค์หลีจูที่อยู่ทางทิศเหนือ

หน้าประตูร้านยา เผยเฉียนกระตุกชายแขนเสื้อของเฉินผิงอัน กล่าวอย่างอกสั่นขวัญผวาว่า “ท่านผู้นี้คือพี่หญิงเทพเซียนที่ร้ายกาจที่สุดเท่าที่ข้าเคยพบเจอมาเลย เมื่ออยู่ต่อหน้านาง แม้แต่จะเอ่ยประจบข้าก็ยังไม่กล้าทำเลย”

เฉินผิงอันยิ้มพูด “เหนือคนยังมีคน เหนือฟ้ายังมีฟ้า ดังนั้นหลังจากเรียนวรยุทธ์แล้วก็ห้ามมองไม่เห็นใครในสายตาเด็ดขาด”

เผยเฉียนพยักหน้ารับอย่างแรง พลันเอ่ยถามว่า “นางก็คือ ‘แม่นาง’ คนนั้นใช่ไหม ถ้าอย่างนั้นคราวหน้าที่พบกัน ข้าควรจะเรียกนางว่าแม่ดีไหม?”

เฉินผิงอันกำลังข้ามธรณีประตูถึงกับสะดุดเซ

เผยเฉียนกล่าวเหมือนเข้าใจกระจ่างแจ้ง “ต้องเรียกว่าอาจารย์แม่!”

เฉินผิงอันรีบหมุนตัวกลับมา อุดปากเจ้าเด็กผู้นี้ ถลึงตาใส่ “ห้ามพูดเหลวไหล!”

เผยเฉียนกะพริบตาปริบๆ “ปากไม่พูด แต่เก็บไว้ในใจ?”

เฉินผิงอันที่หน้าดำดึงหูของนาง เผยเฉียนเอียงหัวตาม เขย่งปลายทางร้องโอ้ยๆๆ โดนเฉินผิงอันลากไปจนถึงเรือนด้านหลังร้านยา เขาถึงได้ยอมปล่อยมือ

เผยเฉียนนั่งยองบนพื้น ยกมือนวดคลึงหูตัวเอง

เฉินผิงอันเดินเข้าไปในห้องด้านข้างห้องหลักของเจิ้งต้าเฟิงเพียงลำพัง มองเห็นบุรุษที่นอนหมดสติอยู่บนเตียง เขาเองก็ได้รับการห้ามเลือดซึ่งเป็นแค่บาดแผลภายนอกแล้วเหมือนกัน

เพียงแต่เมื่อเทียบกับเฉินผิงอันแล้ว สภาพน่าสังเวชกว่ามาก ตอนนั้นที่อยู่ในพื้นที่มงคลดอกบัว เฉินผิงอันใช้กระบวนท่าหมัดยอดเขาของจ้งชิวและ ‘ปรับแก้มังกรใหญ่’ มาฝ่าทะลุขอบเขต ตอนนี้บุรุษที่นอนอยู่บนเตียงผู้นี้ กระดูกสันหลังทั้งเส้นซึ่งเปรียบดั่งมังกรตัวใหญ่กลับแตกละเอียดหมดแล้ว

เฉินผิงอันยกเก้าอี้มานั่งอยู่ในห้องเล็กที่มืดสลัว เหม่อมองเจิ้งต้าเฟิง

เผยเฉียนเดินย่องเบาๆ มาที่ประตูของห้องด้านข้าง พอเห็นภาพนี้ก็เกิดลังเล ก่อนจะจากไปเงียบๆ

นางนั่งอยู่บนขั้นบันได มือสองข้างเท้าคาง

นางไม่เคยเห็น…เฉินผิงอันที่เสียใจขนาดนี้มาก่อน

นางจึงรู้สึกเสียใจตามไปด้วย เป่ายันต์สีเหลืองที่อยู่บนหน้าผากแผ่นนั้น

กระดาษยันต์ถูกเป่าแต่ไม่ปลิวไปไหน ความเสียใจที่ถูกปัดเป่าก็ไม่จางหายเช่นกัน

คนคนหนึ่งเมื่อเติบโตขึ้นแล้วล้วนต้องเป็นแบบนี้หรือ?

—–