บทที่ 839 : งานเลี้ยงฉลอง!
  ณโรงแรมไคเฉวียน เวลาหนึ่งทุ่มครึ่ง..
  โรงแรมไคเฉวียนเป็นโรงแรมหรูหราระดับห้าดาวและเป็นหนึ่งในแลนด์มาร์คของเมืองจิงฉู โรงแรมแห่งนี้ตั้งอยู่ใจกลางเมืองที่เจริญ และอยู่ตรงข้ามกับแหล่งช้อปปิ้งบนถนนคนเดิน
  ในเวลานี้..ท้องฟ้าค่อนข้างมืดครึ้ม เมฆดำทะมึนก่อตัวขึ้นหนาแน่นจนปกคลุมไปทั่วท้องฟ้า และสายฟ้าก็ยังแลบแปลบปลาบอยู่ตลอดเวลา ทำให้เห็นราวกับว่าท้องฟ้าสีดำมืดครึ้มนั้นถูกกระชากฉีกขาดก่อนที่จะตามมาด้วยแสงของอสุนีบาต และเสียงครืนๆของฟ้าร้อง
  อากาศภายในเมืองจิงฉูไม่ร้อนอบอ้าวเช่นเคยแต่กลับกลายเป็นเย็นชื้นแทน เวลานี้ก็เพียงแค่รอคอยสายลมที่จะพัดผ่าน และสายฝนที่จะตกลงมาเท่านั้น
  หากเปรียบเทียบกับสภาพอากาศที่หงอยเหงาอึมครึมภายนอกโรงแรมแล้วภายในห้องจัดเลี้ยงชั้นห้าของโรงแรมไคเฉียนกลับอบอวลไปด้วยความสนุกสนาน และกลิ่นอายของการเฉลิมฉลองชัยชนะ
  ห้องจัดเลี้ยงถูกตกแต่งไว้อย่างหรูหราพร้อมแสงไฟที่สว่างไสวไปทั่วทั้งห้อง โต๊ะกลมที่จัดไว้ทั้งหมดสามสิบหกโต๊ะนั้น มีแขกเหรื่อนั่งกันอยู่เต็มไปหมด แสงไฟภาพในห้องสะท้อนกับเครื่องแก้วสีทองบนโต๊ะจนเกิดเป็นแสงสีเหลืองระยิบระยับงามตา และช่วยเสริมให้บรรยากาศภายในห้องจัดเลี้ยงดูอลังการมากยิ่งขึ้น
  หลี่จิ่วเจียงมีตำแหน่งเป็นถึงผู้อำนวยการกองการศึกษาแห่งมณฑลเจียนหนานส่วนหลี่เทียนก็คือนักเรียนที่ได้คะแนนสอบเอนทรานซ์สูงเป็นอันดับหนึ่งของมณฑลเจียงหนาน เพียงแค่สองคนนี้ก็ทำให้บรรยากาศภายในงานอบอวลไปด้วยความยิ่งใหญ่ และความสำเร็จ
  เวลานี้มีแขกอยู่ในห้องจัดเลี้ยงมากกว่าสามร้อยคนแต่ก็ยังมีบางส่วนที่ยังคงหลั่งไหลเข้ามาเรื่อยๆ ในลิฟท์ยังมีแขกเหรื่อทยอยเดินถือการ์ดออกมาอีกราวสิบกว่าคน หน้าลิฟท์จะมีหญิงสาวหน้าตางดงามหกคนยืนรอต้อนรับอยู่ และคอยพาแขกไปร่วมแสดงความยินดีพร้อมมอบซองแดงให้กับ ‘นักเรียนที่ได้คะแนนสอบเอนทรานซ์สูงสุด’
  แต่แน่นอนว่าบรรดาแขกที่มาในงานนั้นแทบไม่มีใครรู้จักหลี่เทียน พวกเขาเพียงแค่พูดจาไม่กี่คำก็ยื่นซองแดงในมือให้
  ที่หน้าประตูทางเข้าห้องจัดเลี้ยงมีโต๊ะวางอยู่ทั้งหมดสี่ตัวและมีหญิงสาวสองคนนั่งอยู่ คนหนึ่งคอยรับซอง ส่วนอีกคนคอยทำหน้านับและจด ตั้งแต่ห้าโมงครึ่งจนถึงเวลานี้ซึ่งเกือบจะสองทุ่มแล้ว แขกก็ได้หลั่งไหลกันมาจนหมดแล้ว พวกเธอจึงมีโอกาสได้พักบ้าง..
  ทั้งสองคนทำหน้าที่กันอย่างขะมักเขม้นและดูเคร่งเครียดเสียยิ่งกว่าเจ้าหน้าที่ในธนาคาร!
  แขกหลายคนที่มีหน้ามีตาทางสังคมและเป็นที่รู้จักกันดีกับเจ้าภาพ ก็ไม่ได้นำเงินใส่ซองแดง แต่ต่างก็หยิบธนบัตรสีแดงเป็นปึกๆออกมาส่งให้ บ้างก็หนึ่งปึก บ้างก็สองปึก แม้กระทั่งสิบปึกก็ยังมี!
  ในงานเลี้ยงฉลองให้กับนักเรียนที่ได้คะแนนสอบเอนทรานซ์สูงสุดในคืนนี้แน่นอนว่าหลี่จิ่วเจียงได้เงินจากการที่ผู้คนใส่ซองแดงมาร่วมยินดีในจำนวนมากมายมหาศาล!
  ในฐานะที่เป็นถึงหลานชายของผู้อำนวยการกองการศึกษาประจำมณฑลเจียงหนานอีกทั้งยังควบตำแหน่งนักเรียนที่ได้คะแนนสอบเอนทรานซ์ที่สูงที่สุดในมณฑล แม้แต่สื่อต่างๆในมณฑลเจียงหนานก็ยังพากันตีพิมพ์เรื่องที่น่ายินดีนี้ด้วย
  หลี่เทียนในฐานะนักเรียนที่ได้คะแนนสอบเอนทรานซ์สูงสุดนั่งอยู่หลังโต๊ะที่เหลืออีกสองตัวพร้อมกับครูใหญ่ชีเต๋อเปียว และกำลังโบกมือทักทายแขกเหรื่อในงาน..
  หลี่เทียนสวมเสื้อเชิ้ตแบรนด์เนมสีขาวและกางเกงขายาวที่รีดจนเป็นจีบเรียบ และรองเท้าหนังสีดำที่ขัดจนมันวาววับ เขากำลังนั่งไขว่ห้างเอนกายพิงพนักเก้าอี้ด้วยท่าทางสบายอกสบายใจ ริมฝีปากคาบบุหรี่ไว้ และสายตากำลังจ้องมองผู้คนที่พากันมาแสดงความยินดีกับเขาด้วยแววตาที่ไม่ยินดียินร้าย
  ภาพของหลี่เทียนที่เห็นคือภาพของหนุ่มเพลย์บอยร่างสูงรูปหล่อ และร่ำรวย!
  หากแขกที่มาเป็นเพียงคนธรรมทั่วไปหลี่เทียนแทบไม่ปลายตามองด้วยซ้ำ แต่เพียงแค่ยกมือขึ้นโบกพอเป็นพิธีเท่านั้น
  ชีเต๋อเปียวนั้นรู้จักนักเรียนผู้ทำคะแนนสูงสุดของตนเองดีแต่ก็คร้านที่จะใส่ใจ และจัดการกับพฤติกรรมของหลี่เทียน และได้แต่เดินตามหลังนักเรียนผู้นี้ไปวันๆ..
  ทางด้านขวาของหลี่เทียนยังมีคนคนหนึ่งที่ยืนนิ่งเงียบเธอคือเด็กสาวอายุราวสิบเจ็ดหรือสิบแปดปี และดูเหมือนจะเป็นหญิงสาวหน้าตาสะสวยไม่เบาเลยทีเดียว
  หากหลิงหยุนปรากฏตัวขึ้นในเวลานี้และได้เห็นเพียงแค่แวบเดียว เขาก็คงจะจำเด็กสาวผู้นี้ได้อย่างแน่นอน เพราะเธอก็คือนักเรียนหญิงที่มาจากครอบครัวยากจน และเป็นเด็กสาวที่หลิงหยุนช่วยให้รอดพ้นจากการลวนลามของหลี่เทียนในวันไปดูห้องสอบที่ชื่อฉีเสี่ยวชิงนั่นเอง!
  ฉีเสี่ยวชิงเป็นหญิงสาวที่มีใบหน้าและรูปร่างงดงามยิ่งนักเธออยู่ในชุดราตรีสีม่วงสวยหรู แต่กลับยืนนิ่งไม่พูดไม่จา ใบหน้าเรียบนิ่งเรียบไร้ความรู้สึก แววตาทั้งสองคู่ว่างเปล่าราวกับไร้จิตวิญญาณ
  ฉีเสี่ยวชิงยืนนิ่งเป็นหุ่นแม้ว่าสิ่งที่อยู่ตรงหน้านั้นจะงดงามใหญ่โตหรูหรามากเพียงใด แต่กลับไม่สามารถทำให้เธอรู้สึกอะไรได้เลยแม้แต่น้อย เธอทำราวกับว่าด้านหน้าของเธอนั้นคือความว่างเปล่า และกำลังอยู่กันคนละโลก..
  มันคือความรู้สึกเฉยชาและชินชาของคนที่ดิ้นรนต่อสู้หลายครั้งหลายครา แต่ท้ายที่สุดก็ต้องพ่ายแพ้ให้แก่ความเป็นจริง และโชคชะตา!
  “ครูใหญ่ชี..ยินดีด้วยที่เด็กนักเรียนขอบคุณสอบได้คะแนนสูงสุดของเจียงหนาน เรื่องนี้คงทำให้ผู้อำนวยการหลี่ปลาบปลื้มดีใจอย่างมากเลยสินะ!”
  “นั่นสิ..ครั้งนี้นับว่าครูใหญ่ชีทำผลงานได้ดี ส้มหล่นจริงๆ!”
  แขกสองคนของชีต้าเปียวเอ่อยแสดงความยินดีกับเขาอย่างจริงใจ..
  “ไม่แค่นั้นนะ..เพื่อนนักเรียนห้องเดียวกันกับหลี่เทียนเองก็ได้คะแนนดีมากทีเดียว เธอเป็นเด็กที่ขยัน แล้วก็มีพรสวรรค์มาก!”
  “เป็นความสามารถของเด็กๆเอง..”
  แม้คำพูดของชีเต๋อเปียวจะฟังดูถ่อมเนื้อถ่อมตัวแต่สีหน้ากลับเต็มไปด้วยความภาคภูมิใจ
  “พวกคุณเข้าไปนั่งได้แล้วล่ะงานเลี้ยงกำลังจะเริ่มขึ้นแล้ว..”
  หลังจากพูดจากันไม่กี่คำชีต้าเปียวก็เชื้อเชิญให้แขกของเขาไปนั่งในห้องจัดเลี้ยง
  เสียงของหลี่เทียนดังขึ้นมาอย่างหมดความอดทน“แขกเหรื่อก็มากันหมดแล้ว ทำไมยังไม่เริ่มงานเสียที!”
  ชีเต๋อเปียวได้ยินก็ตอบกลับด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม“ยังเหลือเวลาอีกสิบนาที เดี๋ยวถึงเวลาก็คงจะเริ่มงานแล้วล่ะ!”
  “เธอหิวหรือเปล่าล่ะถ้าหิว.. เดี๋ยวครูไปหาอะไรมาให้เธอรองท้องก่อน!”
  หากใครไม่รู้จักคนทั้งคู่คงจะคิดว่าชีเต๋อเปียวกับหลี่เทียนนั้นมีสถานะเป็นพ่อลูกกันเสียมากกว่า!
  ชีเต๋อเปียวนั้นดูประจบประแจงและเอาอกเอาใจหลี่เทียนอย่างอย่างออกนอกหน้า หลี่เทียนไม่เพียงไม่เอ่ยขอบคุณ แต่ยังมองชีเต๋อเปียวด้วยสายตาเหยียดหยัน ก่อนจะหันไปมองฉีเสี่ยวชิงพร้อมกับพูดขึ้นว่า
  “ครูใหญ่..ไม่น่าถามอะไรโง่ๆแบบนั้นเลย! ผมอยากจะกินเธอมากกว่า รีบๆเร่งให้งานจบเร็วๆ ผมจะได้มีเวลาอยู่กับเธอคืนนี้..”
  หลี่เทียนพูดออกมาอย่างอดรนทนไม่ได้และแทบจะรอให้ถึงคืนนี้โดยเร็วไม่ไหว..
  พ่อของหลี่เทียนเป็นถึงรองนายกเทศมนตรีประจำเมืองฮู๋ตงนับว่าเป็นคนในแวดวงสังคมชั้นสูง ลุงของเขาเป็นถึงผู้อำนวยการกองการศึกษาประจำมณฑลเจียงหนาน งานเลี้ยงเรียกซองแดงเช่นนี้ ตั้งแต่เล็กจนโตหลี่เทียนผ่านงานลักษณะนี้มานับครั้งไม่ถ้วน จึงรู้สึกเบื่อหน่ายและหงุดหงิดอย่างมาก!
  คืนนี้ต้องได้ซองแดงอย่างน้อยไม่ต่ำกว่าสิบล้านแต่ในสายตาของหลี่เทียนนนั้น มันเป็นจำนวนเงินเพียงไม่กี่ล้าน เทียบไม่ได้กับการที่เขาจะได้อยู่กับฉีเสี่ยวชิงเพื่อช่วงชิงความบริสุทธิ์ของเธอในคืนนี้เลยแม้แต่นิดเดียว!
  คำพูดและอากัปกิริยาของหลี่เทียนทำให้ผู้คนที่อยู่รอบๆถึงกับตกใจพวกเขาเห็นเด็กหนุ่มข้างชีเต๋อเปียวกำลังยิ้ม และเลียริมฝีปากราวกับปีศาจร้ายพร้อมกับพูดขึ้นว่า
  “คืนนี้ผมจะเข้าหอกับเธอ!”
  “เธอสองคนเป็นนักเรียนของฉันทั้งคู่คนหนึ่งสอบได้คะแนนสูงสุด อีกคนได้คะแนนเป็นที่สอง พวกเธอช่างเป็นคู่ที่เหมาะสมกันจริงๆ”
  เพียงแค่ต้องการประจบประแจงหลี่เทียนชีเต๋อเปียวถึงกับทำตัวสูญสิ้นมโนธรรม และจรรยาบรรณเช่นนี้!
  ฉีเสี่ยวชิงที่ยืนนิ่งราวกับร่างไร้วิญญาณนั้นเมื่อได้ฟังคำพูดของชีเต๋อเปียวก็ถึงกับมีปฏิกิริยาตอบโต้ขึ้นมาทันที เธอจ้องมองใบหน้าของชีเต๋อเปียวด้วยแววตาเย้ยหยัน และเต็มไปด้วยความรังเกียจอย่างยิ่ง!
  หลี่เทียนสังเกตเห็นสีหน้าและแววตาของฉีเสี่ยวชิงเขาจึงแสยะยิ้มพร้อมกับพูดออกมาอย่างดูแคลน..
  “ฉีเสี่ยวชิง..เธอจัดว่าเป็นม้าที่พยศมาก ดี.. ยิ่งพยศฉันยิ่งชอบ แล้วคอยดูว่าฉันจะจัดการกับม้าพยศแบบเธอยังไง”
  “คืนนี้เป็นคืนเข้าหอของเราสองคน..แล้วอย่าทำตัวนิ่งเป็นซอมบี้ล่ะ”
  “ถ้าไม่อยากให้แม่ของเธอตายและอยากมีเงินไปรักษาอาการเจ็บป่วยของแม่เธอแล้วล่ะก็.. เธอก็ต้องเอาอกเอาใจฉัน ปรนเปรอจนกว่าฉันจะพอใจล่ะ!”
  และนั่นคือไพ่ตายในมือของหลี่เทียน!
  ฉีเสี่ยวชิงได้ยินถึงกับตกใจน้ำตาแห่งความโกรธ และความอัปยศอดสูรื้นขึ้นมาทันที แต่เธอก็กัดฟันแน่น และไม่ยอมร้องไห้ออกมา!
  ชีวิตของคนที่เธอรักและอนาคตของตัวเอง ล้วนแล้วแต่อยู่ในกำมือของหลี่เทียน! เธอจึงไม่มีทางเลือก และได้แต่อดทนอดกลั้นต่อความอัปยศที่หลี่เทียนสร้างให้..
  หลี่เทียนมองฉีเสี่ยวชิงที่กำลังเจ็บปวดด้วยสายตาเย็นชาก่อนจะพูดออกมาอย่างเย้ยหยัน “ฉันยังไม่ได้คิดบัญชีในวันนั้นกับเธอ อย่าเพิ่งรีบร้องไห้ก่อนล่ะ!”
  “ครั้งที่แล้วนับว่าเธอโชคดีแต่ครั้งนี้ฉันจะดูว่าใครหน้าใหนจะมาช่วยเธอ!”
  เสียงที่พูดของหลี่เทียนนั้นไม่ได้เบาเลยคนรอบๆตัวที่ได้ยินต่างก็ตกตะลึง แต่ก็ไม่มีใครกล้าพูดอะไร!
  อีกห้านาทีก็จะสองทุ่มตรงแล้วและดูเหมือนว่าแขกที่ได้รับการ์ดเชิญจะมากันครบหมดแล้ว งานเลี้ยงของผู้อำนวยการหลี่ก็กำลังจะเริ่มต้นขึ้น
  “เอาล่ะ..แขกน่าจะมากันครบหมดแล้ว เจ้าภาพก็ขึ้นเวทีไปกันหมดแล้ว!”
  “หลี่เทียน..พวกเราเข้าไปกันได้แล้ว”
  ชีต้าเปี่ยวกำลังเชื้อเชิญหลี่เทียนให้เข้าไปในห้องจัดเลี้ยงด้วยท่าทางเกรงอกเกรงใจ
  “ผมก็อยากให้เริ่มนานแล้ว!”
  หลี่เทียนพึมพำอย่างไม่พอใจพร้อมกับลุกขึ้นยืนทันทีเขายื่นมือออกไปจะจับหน้าอกของฉีเสี่ยวชิง แต่ด้วยสัญชาติญาณเธอจึงก้าวถอยหลังหลบฝ่ามือของหลี่เทียนทันที
  และนาทีนั้นเองประตูลิฟท์ก็เปิดออกพอดี!
  “พระเจ้า..สาวสวยมาจากใหนกัน!”
  หลี่เทียนได้ยินเสียงร้องอุทานก็รีบหันไปมองทันทีและถึงกับตกตะลึงจนพูดอะไรไม่ออก!
บทที่ 840 : เริ่มการแสดง!
  แม้ว่าหลี่เทียนเพิ่งจะอายุเพียงสิบเก้าปีแต่ก็นับว่าเป็นเด็กหนุ่มที่หมกมุ่นในกามอย่างมาก ตั้งแต่มัธยมต้นมาจนถึงมัธยมปลาย มันได้สร้างความทุกข์ และความเดือดร้อนให้กับเด็กสาวมากมายนับไม่ถ้วน เรียกได้ว่าเด็กสาวคนใหนที่มันต้องตาต้องใจเข้าแล้ว ก็ยากที่จะรอดเงื้อมือของมันไปได้..
  แต่ในบรรดาเด็กสาวที่ต้องตาต้องใจหลี่เทียนนั้นคนที่มันหมายตามากที่สุดก็คือฉีเสี่ยวชิงนั่นเอง!
  แต่ถึงกระนั้นสาวงามที่เดินออกมาจากลิฟท์เวลานี้ ก็ถูกอกถูกใจจนมันไม่สามารถเบือนสายตาหนีได้..
  หลี่เทียนถึงกับนิ่งอึ้งไปด้วยความตกตะลึงเลือดหนุ่มในกายของมันพลุ่งพล่านขึ้นมาทันที ดวงตาของมันเบิกโพลงจนลูกตาแทบถลนออกมานอกเบ้า!
  แขกเหรื่อหลายคนที่ยังไม่ได้เดินเข้าไปในห้องจัดเลี้ยงรวมทั้งเด็กสาวที่ทำหน้าที่เก็บนับซองทั้งสองคน หลังจากที่ได้เก็บของเรียบร้อยแล้ว ก็เตรียมตัวที่จะเข้าไปในงาน แต่เวลานี้ทุกคนต่างก็หยุดนิ่ง และทุกสายตาก็จับจ้องอยูที่ลิฟท์ด้านหน้า
  เวลานี้ไม่ว่าจะเป็นผู้ชายผู้หญิง หรือแม้แต่เด็ก ทุกคนต่างก็อยู่ในลักษณะที่อ้าปากหวอ คล้ายกำลังตกตะลึงกับอะไรบางอย่าง!
  “พระเจ้า..ช่างเป็นแขกที่สวยงามที่สุดในวันนี้จริงๆ!”
  หลี่เทียนกำลังตกตะลึงอย่างที่สุดเพราะสาวงามที่หาใครเทียบไม่ได้เช่นนี้ ไม่ได้มาเพียงแค่คนเดียวเท่านั้น แต่มากันเป็นกลุ่ม!
  และคนแรกที่เดินออกมาจากลิฟท์ก็คือหลินเมิ่งหาน!
  ใบหน้าของหลินเมิ่งหานนั้นงดงามราวกับนางฟ้ารูปร่างก็เย้ายวนร้อนแรง ผมดำขลับปล่อยสยายยาวอยู่บนแผ่นหลัง ลำคอยาวระหงส์นั้นขาวนวลราวกับหิมะ สดใสอยู่ในชุดกี่เพ้ารัดรูปสีชมพูที่ประดับประดาด้วยลูกไม้ลายดอกโบตั๋น
  สายตาของผู้คนในงานต่างก็จับจ้องอยู่ที่หน้าอกใหญ่โตและเอวคอดที่ส่ายไปส่ายมาของเธอ ท่าทางที่เยื้องย่างอยู่ในชุดกี่เพ้านั้นก็ดูช่างเย้ายวนดึงดูดสายตาผู้คนยิ่งนัก!
  หลินเมิ่งหานเดินนำเข้ามาคนแรกตามมาด้วยเหยาลู่ และสาวงามที่น่าหลงใหลอีกหลายคน!
  วันนี้เหยาลู่อยู่ในชุดราตรีสีเหลืองที่มีชายกระโปรงยาวแบบหางปลาและรัดเข้ากับรูปขาที่เรียวยาวของเธอ และเพียงแค่ขยับเท้า ผู้คนก็สามารถมองเห็นส่วนเว้าส่วนโค้งที่สมบูรณ์แบบไร้ที่ติ..
  เหยาลู่แต่งหน้าบางๆทำให้ดูหวานและน่าประทับใจยิ่งนัก เมื่อปรากฏตัวท่ามกลางแสงไฟสว่างไสว ความงดงามของเธอนั้นก็ไม่ได้เป็นรองหลินเมิ่งหานเลย และสามารถดึงดูดสายตาของผู้คนได้ในทันทีเช่นกัน
  ด้านหลังเหยาลู่ก็คือไป๋เซียนเอ๋อเหมี่ยวเสี่ยวเหมา หลงหวู่ และเกาเฉินเฉิน..
  ภาพของหญิงสาวทั้งหกคนที่ก้าวออกมาจากลิฟท์ทีละคนนั้นได้สร้างความตกตะลึงให้กับหลี่เทียน และผู้คนในงานอย่างมาก!
  ทันทีที่สาวงามทั้งหกคนปรากฏตัวขึ้นที่หน้าลิฟท์ก็ทำให้บรรดาหญิงสาวที่ทำหน้าที่ต้อนรับแขกอยู่หน้าห้องจัดเลี้ยงทั้งหกถึงกับหมองไปในทันที สีหน้าของพวกเธอล้วนบ่งบอกว่ากำลังตกใจอย่างมาก
  ตลอดทั้งชั้นห้าของโรงแรมไคเฉวียนนั้นเห็นจะมีหญิงสาวเพียงคนเดียวเท่านั้นที่จะสามารถแข่งขันกับสาวงามทั้งหกที่เพิ่งมาถึงได้ และเธอผู้นั้นก็จะเป็นใครไปไม่ได้นอกจากฉีเสี่ยวชิงที่อยู่ในชุดราตรีสีม่วงนั่นเอง..
  “ยินดีต้อนรับค่ะ!”
  “ยินดีต้อนรับคุณสุภาพสตรีค่ะ!”
  หลังจากที่หายตกใจและตกตะลึงหญิงสาวที่ทำหน้าที่ต้อนรับแขกในงานก็รีบออกมาต้อนรับสาวงามทั้งหกทันที
  หลินเมิ่งหานยิ้มก่อนจะพูดขึ้นอย่างมีมารยาท“พวกเรามาร่วมแสดงความยินดีกับนักเรียนที่ได้คะแนนสอบเอนทรานซ์สูงสุด..”
  หลินเมิ่งหานจงใจพูดเพียงแค่ว่าเธอมาร่วมยินดีกับนักเรียนที่ได้คะแนนสอบสูงสุดเท่านั้นและจงใจที่จะไม่เอ่ยชื่อของนักเรียนผู้นั้นออกมา..
  “คุณสุภาพสตรีทั้งหกขอเชิญทางนี้ค่ะ..”
  หนึ่งในหญิงสาวที่ทำหน้าที่ต้อนรับแขกรีบโค้งตัวลงและเชื้อเชิญสาวงามทั้งหกให้เข้าไปในห้องจัดเลี้ยงทันที
  สาวงามทั้งหกนี้มาเพื่อฆ่าพวกเธอทั้งหกคนอย่างแท้จริงเธอจึงรีบเดินนำสาวงามทั้งหมดไปที่ห้องจัดเลี้ยงเพื่อให้พ้นจากรัศมีที่พวกเธอทั้งหกยืนอยู่
  สาวงามทั้งหกของหลิงหยุนนั้นไม่ได้มีเพียงแค่ความสวยงามเท่านั้น แต่ละคนยังมีฐานะที่ไม่ธรรมดาด้วยเช่นกัน และหากทุกคนในงานเลี้ยงล่วงรู้ถึงฐานะที่แท้จริงของพวกเธอ คงจะไม่มีใครกล้าจ้องมองพวกเธออยู่เช่นนี้แน่!
  ชีเต๋อเปียวนั้นนับว่าเป็นผู้ที่รู้จักคนในสังคมมากมายแต่สาวงามทั้งหกคนนี้กลับไม่มีสักคนที่เขารู้จัก และไม่คุ้นหน้าคุ้นตาด้วยซ้ำไป หลังจากที่หายจากอาการตกตะลึง ก็ตามมาด้วยความตื่นตระหนกแทน!
  ชีเต๋อเปียวรีบหันไปมองหลี่เทียนพร้อมกับกระซิบถามด้วยความตื่นเต้น“หลี่เทียน.. หลี่เทียน.. พวกเธอเป็นใครกัน”
  “ห๊ะ..อะไรนะ! เมื่อครู่ครูใหญ่พูดว่าอะไรนะ?”
  ชีเต๋อเปียวเห็นหลี่เทียนมาตั้งแต่เล็กจนโตนี่เป็นครั้งแรกที่เขาเห็นหลี่เทียนยืนมองสาวงามด้วยความตกตะลึงจนไม่ได้ยินสิ่งที่เขาถาม..
  ชีเต๋อเปียวมองสาวงามทั้งหกที่กำลังเดินเข้ามาเขารู้สึกกระวนกระวายใจอย่างบอกไม่ถูก จึงรีบกระซิบกับหลี่เทียนทันที
  “ครูได้ยินว่าสาวงามทั้งหกคนนั่นมาร่วมแสดงความยินดีกับเธอนี่เธอรู้จักกับสาวงามทั้งหกคนด้วยเหรอ แต่ครูว่าพวกเธอดูไม่เหมือนหญิงสาวธรรมดาสามัญเลย..”
  ชีเต๋อเปียวร้องเตือนอย่างระมัดระวัง..
  หลี่เทียนยืนครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งจึงพูดขึ้นว่า“ไม่รู้จัก.. ไม่รู้จักแม้แต่คนเดียว! แต่น่าจะเป็นเพื่อนของคุณลุง หรือไม่ก็เพื่อนของครูผู้หญิงที่โรงเรียน”
  หลี่เทียนครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งแต่แล้วความรู้สึกคล้ายคนอกหักก็วูบเข้ามาในใจ และได้แต่คิดว่า ‘อย่าบอกนะว่าสาวงามทั้งหมดนี่เป็นเมียน้อยของลุง ถ้าเป็นแบบนั้นจริงๆ ก็น่าเสียดายแย่!’
  ‘แต่ไม่น่าจะใช่..เมียน้อยของลุง ฉันเองก็เคยเห็นมาเป็นสิบคนแล้ว ไม่ใช่พวกเธอแน่..’
  แต่แล้วเงาสีเขาก็พุ่งเข้ามาหาหลี่เทียนอย่างรวดเร็ว..
  เพียะ!!!
  ทุกคนมัวแต่ชื่นชมความงดงามของสาวงามที่อยู่ตรงหน้าจึงไม่เข้าใจว่าเกิดอะไรขึ้น และเสียงที่ดังขึ้นนั้นคือเสียงอะไร!
  มันคือเสียงตบหน้า!
  “โอ๊ย..”
  เสียงร้องโหยหวนด้วยความเจ็บปวดดังตามขึ้นมาทันที!
  เมื่อทุกคนเงยหน้าขึ้นมองอีกครั้งก็เห็นหลี่เทียน ‘นักเรียนที่ได้คะแนนสอบเอนทรานซ์สูงสุด’ กำลังยกมือซ้ายขึ้นกุมแก้มซ้ายของตนเอง ร่างของมันหมุนวนราวสี่ถึงห้ารอบก่อนจะหยุดนิ่งในที่สุด
  “นี่มันเกิดอะไรขึ้น!”
  “มีเรื่องอะไรกัน”
  “หลี่เทียน..”
  ผู้คนในงานหลายคนต่างก็ร้องอุทานออกมาและไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นกันแน่ เพราะจู่ๆ ร่างของหลี่เทียนก็หมุนติ้วอยู่กับที่..
  และผู้ที่ตบหน้าหลี่เทียนก็คือไป๋เซียนเอ๋อนั่นเอง..
  …..
  ในนาทีที่ร่างของไป๋เซียนเอ๋อปรากฎขึ้นที่ห้องจัดเลี้ยงชั้นห้าของโรงแรมไคเฉวียนนั้นภายในห้องหรูหราส่วนตัวก็มีซ่งเจิ้งหยาง มู่หลงเวิ่นฉี เซียนพนันหยก และเถ้าแก่ฮั่นพร้อมด้วยหลิงหยุน ครูใหญ่จางแห่งโรงเรียนมัธยมจิงฉู และคนอื่นๆนั่งอยู่..
  “โอ้..แย่แล้ว! ข้าไม่ควรให้เซียนเอ๋อขึ้นไปที่ห้องจัดเลี้ยงก่อนเลย เกิดเรื่องเข้าแล้วจริงๆ เจ้าช่างโชคร้ายนักหลี่เทียน..!”
  เวลานี้จิตหยั่งรู้ของหลิงหยุนนั้นสามารถครอบคลุมในรัศมีหนึ่งร้อยเมตรทันทีที่เขามาถึงโรงแรมไคเฉวียน ก็จัดการเปิดจิตหยั่งรู้จับตาดูที่ชั้นห้าของโรงแรมทันที เรียกได้ว่าต่อให้มีแมลงวันสักตัวบินผ่านเข้าไป หลิงหยุนก็สามารถมองเห็นได้อย่างชัดเจน..
  “หลิงหยุน..เกิดเรื่องขึ้นงั้นเหรอ”
  หลิงหยุนขมวดคิ้วพร้อมกับหันไปพยักหน้าให้กับมู่หลงเฟยจื่อที่ยืนอยู่ข้างๆ
  ภายในห้องเลี้ยงรับรองที่หรูหรานั้นยังมีมู่หลงเฟยจื่อและกงเสี่ยวลู่อยู่ด้วย..
  ฉินตงเฉี่วยกับหนิงหลิงยู่เองก็มาถึงโรงแรมแล้วเช่นกันและหนิงหลิงยู่ก็กำลังนั่งคุยกับเสี่ยวเม่ยหนิงอยู่ในห้องส่วนตัวอีกห้องที่อยู่ถัดจากห้องของหลิงหยุน
  หลิงหยุนอยู่ในอาการสงบนิ่งพร้อมกับบอกทุกคนว่า“เอาล่ะ.. ดูเหมือนการแสดงได้เริ่มขึ้นแล้ว ถังเมิ่งเองก็จัดเตรียมทุกอย่างเรียบร้อยแล้ว พวกเราขึ้นไปข้างบนกันดีกว่า..”
  ในเมื่อไป๋เซียนเอ๋อเป็นผู้เริ่มเปิดการแสดงหลิงหยุนจึงเกรงว่านางจะทำอะไรที่มากกว่านั้น เพราะหากปล่อยไว้ ไม่แน่ว่าหลี่เทียนอาจจะถูกไป๋เซียนเอ๋อเผาทั้งเป็น..
  หลิงหยุนลุกขึ้นยืนพร้อมกับหันไปยิ้มให้กับมู่หลงเวิ่นฉีและคนอื่นๆ “ท่านปู่มู่หลง.. ท่านลุงซ่ง.. พวกท่านจะออกไปพร้อมกับพวกเราหรือไม่ หรือจะนั่งรออยู่ที่ห้องนี้ก็ได้!”
  ซ่งเจิ้งหยางลุกขึ้นพร้อมกับหัวเราะออกมาอย่างอารมณ์ดี“หลิงหยุน.. ลุงว่าพอเธอขึ้นไปที่ห้องจัดเลี้ยง ทุกอย่างคงจะวุ่นวายหนวกหู แล้วก็โกลาหลน่าดู พวกเรานั่งดื่มชาอยู่ที่ห้องนี้จะดีกว่า รอจนเธอสะสางทุกอย่างเรียบร้อยแล้ว พวกเราก็จะขึ้นไปแสดงความยินดีกับเธอเอง..”
  หลังจากที่มู่หลงเฟยจื่อกลับไปถึงตลาดค้าของเก่าเมื่อตอนบ่ายนั้นเธอก็ได้บอกเล่าเรื่องนี้ให้กับซ่งเจิ้งหยาง และคนอื่นๆฟัง ทุกคนจึงต้องการมาร่วมแสดงความยินดีกับหลิงหยุน
  “ถ้าเช่นนั้นผมจะขึ้นไปข้างบนก่อนและจะรีบจัดการทุกอย่างให้เสร็จโดยเร็วที่สุด ทุกท่านจะได้ไม่เสียเวลาไปกับการดื่มชารอนานนัก!”
  หลิงหยุนหัวเราะอย่างมีความสุขก่อนจะเดินตรงไปที่ห้องส่วนตัวที่อยู่ถัดไป เพื่อไปหาหนิงหลิงยู่และเสี่ยวเม่ยหนิง..
  ….
  ในเวลานั้นเอง..เหตุการณ์หน้าห้องจัดเลี้ยงชั้นห้าก็กำลังร้อนระอุ
  “นี่มันอะไรกัน”
  หลี่เทียนร้องคำรามออกมาหลังจากที่ถูกตบหน้าจนเลือดไหลกลบปากและมีรอยนิ้วมืออยู่เต็มใบหน้า
  “ใครกันใครตบหน้าฉัน?” หลี่เทียนร้องตะโกนถามด้วยความโมโห
  ไป๋เซียนเอ๋อนั้นไม่ใช่คนธรรมดาแม้แต่หลินเมิ่งหานและเหยาลู่เองก็ยังดูไม่ทัน มีเพียงเหมี่ยวเสี่ยวเหมาเท่านั้นที่เห็น แต่ก็ไม่สามารถห้ามนางได้ทัน แต่ถึงแม้จะสามารถห้ามได้ทัน เหมี่ยวเสี่ยวเหมาก็คงเลือกที่จะไม่ห้าม
  “หลี่เทียน..หลี่เทียน.. นี่เธอทำบ้าอะไร นี่มัน..”
  หลี่เทียนไม่สามารถอธิบายได้ว่าใครตบหน้าตนเองชีเต๋อเปียวเองก็ถึงกับอึ้งไป และตกใจจนทำอะไรไม่ถูก..
  ชีเต๋อเปียวมั่นใจว่ารอยฝ่ามือบนใบหน้าของหลี่เทียนนั้นเกิดขึ้นด้วยน้ำมือของสาวงามทั้งหกคนที่เพิ่งมาถึง แต่เขาก็ไม่เห็นหญิงสาวทั้งหกขยับตัว!
  ชีเต๋อเปียวไม่สนใจหลี่เทียนและเดินตรงเข้าไปหาหลินเมิ่งหานทันทีพร้อมกับถามด้วยรอยยิ้ม
  “คุณสุภาพสตรีครับ..ไม่ทราบว่ามีบัตรเชิญหรือไม่ครับ”
  สาวงามทั้งห้าคนเอาแต่ต้องมองหลี่เทียนและไม่ใส่ใจกับคำถามของชีเต๋อเปียว มีเพียงหลงหวู่เท่านั้นที่ก้าวเท้าไปข้างหน้าพร้อมกับดึงอะไรบางอย่างออกมาจากกระเป๋า
  “พวกเราลืมเอาบัตรเชิญมาแต่ได้เตรียมซองแดงมาให้ผู้ที่ได้คะแนนสอบเอนทรานซ์สูงสุดในวันนี้ด้วย..”