ตอนที่ 386 เอาเวลาร้องไห้ไปทำความสะอาดบ้านยังจะดีกว่า / ตอนที่ 387 เฉียวซือมู่ ไสหัวไปเลยนะ!

เสน่ห์รักร้ายคุณบอสเพลย์บอย

ตอนที่ 386 เอาเวลาร้องไห้ไปทำความสะอาดบ้านยังจะดีกว่า

 

 

           “ฮึ!”

 

 

           เธอโกรธจนสะบัดตัวออกโดยไม่ยอมพูดกับเขาสักคำ จนจิ้นหยวนต้องเสียแรงโอ๋เธออยู่ตั้งนาน

 

 

           เช้าวันรุ่งขึ้น เฉียวซือมู่ตื่นแต่เช้า เธอจัดกระเป๋าให้เขาอย่างไม่ขาดตกบกพร่อง รับประทานอาหารเช้าพร้อมเขา และส่งเขาขึ้นรถ

 

 

           เธอมองจนร่างสูงใหญ่สง่างามของเขาหายเข้าไปในรถ ความไม่อยากจากลาผุดขึ้นในใจอย่างรุนแรง เสี้ยววินาทีนั้น เธออยากจะวิ่งถลาเข้าไปหาเขา แล้วบอกกับเขาว่าเธออยากไปกับเขา สุดท้าย สติสัมปชัญญะก็ยับยั้งความต้องการนั้นเอาไว้

 

 

           ไม่ได้ เธอจะทำแบบนั้นไม่ได้ เพราะจะเป็นการทำให้เขาลำบากใจ

 

 

           เธอพยายามสะกดใจตนเอง แต่ดวงตากลับแดงรื้นอย่างควบคุมไม่ได้

 

 

           จังหวะนั้น ฉินเพ่ยหรงเดินมาเห็นเข้าพอดี ท่าทางของเฉียวซือมู่ทำให้เธอรำคาญขึ้นมาทันที อาหยวนแค่ไปดูงานเท่านั้น เธอกลับเอาแต่ร้องห่มร้องไห้เหมือนเขาจะไปตายอย่างนั้นแหละ นี่มันหมายความว่าอย่างไร?

 

 

           ฉินเพ่ยหรงเอ่ยอย่างไม่ไว้หน้า “ถ้าเธอมีเวลาร้องไห้แบบนี้ เอาเวลาไปทำความสะอาดบ้านยังจะดีเสียกว่า”

 

 

           เฉียวซือมู่ชะงักอึ้ง หมุนตัวกลับไปมอง “คุณแม่? คุณแม่พูดว่าอะไรนะคะ?”

 

 

           เมื่อกี้เธอกำลังจมอยู่กับความทุกข์ที่ต้องจากลา จึงไม่ได้ยินว่าฉินเพ่ยหรงพูดว่าอะไร

 

 

           ฉินเพ่ยหรงหน้าเข้มทันที “ฉันบอกว่า ถ้าเธอจะร้องไห้อยู่แบบนี้ล่ะก็ สู้เอาเวลาไปทำความสะอาดบ้านยังจะดีเสียกว่า วันนี้สาวใช้ทำความสะอาดบ้านลาหยุดพอดี ฉันเห็นว่าเธอว่างอยู่พอดี เธอไปทำความสะอาดบ้านแทนสาวใช้คนนั้นก็แล้วกัน”

 

 

           ฉินเพ่ยหรงคิดว่าพูดแบบนี้แล้วเฉียวซือมู่จะต้องไม่พอใจเป็นแน่ เพราะเธอใช้น้ำคำเหมือนที่พูดกับคนใช้คนหนึ่งเท่านั้น ซึ่งน้ำเสียงเต็มไปด้วยคำสั่ง แต่ไม่คิดเลยว่าเฉียวซือมู่ได้ยินแล้วเพียงแค่ชะงักเล็กน้อย จากนั้นตอบเพียงแค่ “ค่ะ เดี๋ยวหนูทำเองค่ะ”

 

 

           น้ำเสียงเธอเรียบนิ่ง ราวกับไม่โกรธเลยแม้แต่นิดเดียว

 

 

           ฉินเพ่ยหรงรู้สึกว่าตนไม่เข้าใจคนอย่างเฉียวซือมู่เลยสักนิด

 

 

           เธอพยักหน้า “ดี ในเมื่อรับปากแล้วก็ทำให้ได้ล่ะ นี่ก็ใกล้ตรุษจีนแล้ว งั้นก็ทำความสะอาดใหญ่ไปเลย เริ่มจากห้องครัวก่อนก็แล้วกัน”

 

 

           คนที่เคยทำความสะอาดบ้านย่อมรู้ดีว่าการทำความสะอาดใหญ่นั้น ห้องครัวถือเป็นงานหินที่สุด เพราะห้องครัวเต็มไปด้วยคราบมันเหนียวเหนอะหนะ ทำความสะอาดแต่ละทีเหนื่อยจนสายตัวแทบขาด

 

 

           เธอสั่งเสร็จแล้วมองหน้าเฉียวซือมู่อย่างสะใจ ใครจะไปคิดว่าเฉียวซือมู่เพียงแค่ชะงักกายเล็กน้อย จากนั้นรับปากเหมือนเดิม “ค่ะ ให้เริ่มทำเดี๋ยวนี้เลยหรือเปล่าคะ?”

 

 

           “ก็ใช่นะสิ” เมื่อเห็นอีกฝ่ายไม่ได้แสดงท่าทีไม่พอใจอย่างที่หวัง เธอจึงรู้สึกโมโหมาก ท่าทีโหดร้ายมากกว่าเดิม 

 

 

           เฉียวซือมู่ลุกขึ้นราวไม่มีอะไรเกิดขึ้น “งั้นหนูไปทำเดี๋ยวนี้แหละค่ะ”

 

 

           เอ่ยพลางค่อยๆ เดินเข้าไปในห้องครัว

 

 

           โดยปกติจะมีคนครัวประจำอยู่ในห้องครัวหลายคน อาทิเช่น คนซื้อกับข้าว คนเตรียมวัตถุดิบ แม่ครัวปรุงอาหาร เป็นต้น อย่างน้อยก็ต้องมีคนครัวสามคน แต่ตอนที่เธอเดินเข้าไปในครัว กลับไม่พบใครเลยสักคน ไม่เพียงเท่านั้นนั้น ข้าวของเครื่องใช้ในครัวยังวางระเกะระกะรกรุงรังไปทั่ว บนพื้นมีแต่เศษผัก ทุกอย่างดูรกรุงรังไม่แตกต่างจากครัวร้านข้างถนน

 

 

           นี่นะเหรอห้องครัวในคฤหาสน์ใหญ่โต?

 

 

           เธอเพิ่งเข้าใจเดี๋ยวนั้นเองว่า ทั้งหมดทั้งมวลเป็นแผนการที่ฉินเพ่ยหรงวางแผนเอาไว้ตั้งแต่แรกแล้ว ฉินเพ่ยหรงคงสั่งเอาไว้ตั้งแต่เมื่อคืนว่าไม่ต้องทำความสะอาดห้องครัว เพื่อที่เช้านี้เธอจะได้เป็นคนทำเองคนเดียวทั้งหมด

 

 

           ถึงเธอจะรู้ แต่เธอก็ทำอะไรไม่ได้อยู่ดี เพราะตอนนี้เหลือเธอแค่คนเดียวลำพัง และเธอไม่สามารถวิ่งออกไปป่าวประกาศว่าไม่ทำเสียด้วย จึงได้แต่พับแขนเสื้อขึ้น แล้วเริ่มลงมือทำความสะอาดตามคำสั่ง

 

 

           เริ่มจากกวาดพื้น ใช้ผ้าเช็ดโต๊ะให้สะอาด ล้างเครื่องครัวต่างๆ รวมทั้งเครื่องดูดควันที่ทำความสะอาดยากที่สุด

 

 

           เธอง่วนอยู่กับการทำความสะอาดห้องครัวตั้งแต่แปดโมงเช้าจนถึงสิบเอ็ดโมง ซึ่งได้เวลาเตรียมอาหารเที่ยงพอดี

 

 

 

 

ตอนที่ 387 เฉียวซือมู่ ไสหัวไปเลยนะ!

 

 

           จนกระทั่งใกล้เที่ยงแล้ว ในห้องครัวยังคงมีแต่เธอเพียงคนเดียวเท่านั้น คนครัวที่ควรมาประจำตำแหน่งเพื่อเตรียมอาหารเที่ยงยังไม่มาสักคน

 

 

           เธอถอนหายใจเบาๆ รู้ดีว่าวันนี้แม่สามีคงกะจะแกล้งเธอให้สะใจ

 

 

           แต่เธอคาดการณ์เอาไว้ล่วงหน้าแล้วว่าตนอาจจะเจอเรื่องอะไรบ้าง เธอจึงไม่แตกตื่น คิดในใจว่าทำเมนูอะไรสำหรับมื้อเที่ยงดี

 

 

           หนึ่งชั่วโมงผ่านไป กับข้าวหอมฉุยสี่อย่างและน้ำซุปร้อนๆ ถูกเสิร์ฟลงบนโต๊ะ

 

 

           สองผู้เฒ่าที่นั่งรออยู่ก่อนแล้วต่างลอบมองตากันด้วยความประหลาดใจ

 

 

           ทั้งสองสืบประวัติเฉียวซือมู่มาเรียบร้อยแล้ว รู้ว่าตอนนี้สภาพครอบครัวเธอไม่ได้ดีเด่อะไร แต่เมื่อก่อนต้องนับว่าเธอเป็นคุณหนูลูกเศรษฐีคนหนึ่ง พวกเขาจึงเดาว่าเธอต้องทำงานบ้านไม่เป็นเป็นแน่ นึกไม่ถึงเลยว่าเธอไม่เพียงทำเป็นเท่านั้น แต่ยังทำออกมาได้ดีเสียด้วย และทำได้อย่างรวดเร็วอีกต่างหาก

 

 

           เฉียวซือมู่แสร้งทำเป็นมองไม่เห็นสายของพวกเขา ค่อยๆ นั่งลงบนเก้าอี้ “ขอโทษด้วยนะคะ เวลาน้อยไปหน่อย ก็เลยทำได้แค่นี้ ถ้าไม่ถูกปากคุณพ่อคุณแม่ ก็ต้องขออภัยด้วยนะคะ”

 

 

           จิ้นเฮ่ามองเธอแวบหนึ่ง คีบกับข้าวกินเงียบๆ เขาพยักหน้าน้อยๆ โดยไม่ได้พูดอะไร

 

 

           ฝีมือทำอาหารของเธอไม่เลวเลย และยังถูกปากเขามากอีกด้วย

 

 

           ฉินเพ่ยหรงลองชิมไปคำหนึ่ง รู้สึกว่ารสชาติอร่อยเลยทีเดียว แต่กลัวตนต้องเสียหน้า จึงเอ่ยเสียงขุ่น “ก็พอใช้ได้”

 

 

           เธอได้ยินคำตอบตามคาด จึงยิ้มบางๆ อย่างเงียบๆ

 

 

           เธอไม่หวังให้พวกเขาชมเธอหรอก แค่ไม่หาเรื่องตำหนิติเตียนก็พอแล้ว

 

 

           ดูท่าทางแล้ว พวกเขาคงไม่ทำอะไรที่มันมากเกินไป แค่ต้องทำงานบ้านบ้าง เธอไม่มีปัญหาอยู่แล้ว ใช่ว่าเธอจะไม่เคยทำเสียเมื่อไหร่

 

 

           แม้เมื่อก่อนครอบครัวเธอจะมีฐานะดี แต่คุณแม่ไม่ได้เลี้ยงเธอให้กลายเป็นคุณหนูเหยียบขี้ไก่ไม่ฝ่อ สิ่งที่ควรสอนคุณแม่ก็สอนเธอทุกอย่างอย่างไม่ขาดตกบกพร่อง ดังนั้น ตอนนี้เธอจึงสามารถเอาตัวรอดได้อย่างสบาย

 

 

           เธอรู้สึกขอบคุณคุณแม่อยู่ในใจ

 

 

           แต่ดูเหมือนเธอจะดีใจเร็วเกินไปเสียแล้ว

 

 

           เมื่อฉินเพ่ยหรงรู้ว่าเล่นงานเธอเรื่องงานครัวไม่ได้ จึงหาเรื่องอื่นมาให้เธอทำเพิ่ม อาทิเช่น ทำความสะอาดห้องน้ำทั้งบ้าน ให้เธอเรียนจัดดอกไม้และเรียนศิลปะการชงชา บอกว่านี่เป็นสิ่งที่สาวสังคมชั้นสูงจำเป็นต้องเรียน หากทำไม่เป็นจะถูกคนอื่นดูถูกเหยียดหยามเอาได้

 

 

           เฉียวซือมู่เหนื่อยมาทั้งเช้าแล้วยังต้องมานั่งฟังฉินเพ่ยหรงบ่นกระปอดกระแปดอีก การเคลื่อนไหวที่เชื่องช้า อุณหภูมิที่เหมาะสม และเสียงบ่นราวเสียงสะกดจิต ขับกล่อมให้เฉียวซือมู่ที่ร่างกายเหนื่อยล้าเต็มทนค่อยๆ ตาปรือจนผลอยหลับไป

 

 

           “เฉียวซือมู่!” ขณะที่เธอกำลังหลับสนิท และเริ่มเข้าสู่โลกแห่งความฝันนั้น จู่ๆ เสียงดังลั่นราวฟ้าผ่าดังกระทบหูเธอ จนเธอตกใจสะดุ้งตื่น รีบนั่งตัวตรงแน่ว แต่กลับกระแทกเข้ากับโต๊ะตรงหน้าอย่างจัง จนน้ำชากระเด็นใส่ฉินเพ่ยหรงจนตัวเปียกโชก

 

 

           เธอชายตาขึ้นมอง พลันเห็นสีหน้าถมึงทึงของฉินเพ่ยหรง เธอตกใจจนสติหลุดลอย นานสองนานกว่าจะเรียกสติกลับมาได้ “คุณแม่…”

 

 

           “หุบปาก อย่ามาเรียกฉันว่าแม่! ฉันไม่มีลูกสาวอย่างเธอ!” ฉินเพ่ยหรงโกรธจนตัวสั่น ลุกขึ้นยืนแล้วด่าเธอเสียงดังลั่น “ไสหัวไปไกลๆ เลยนะ ฉันไม่อยากเห็นหน้าเธออีก! ไสหัวไปซะ!”

 

 

           เพื่อนๆ ที่เธอคบค้าสมาคมด้วยมีแต่หญิงสง่างามที่พูดจาไพเราะเสนาะหูเท่านั้น ต่อให้ลับหลังไม่พอใจกันอย่างไร พวกเธอก็ไม่เคยเอามาพูดต่อหน้าอย่างแน่นอน ดังนั้น เธอจึงไม่เคยเผยด้านน่าเกลียดของตนให้คนอื่นเห็นมาก่อน

 

 

           แล้วดูสภาพเธอในตอนนี้สิ โดยเฉพาะอยู่ต่อหน้าผู้หญิงที่เธอไม่ชอบมากที่สุดอีกต่างหาก น่าขายหน้าที่สุด

 

 

           เฉียวซือมู่ที่เพิ่งได้สติ รีบลุกขึ้นด้วยความตื่นตระหนก “ขอโทษค่ะ หนูไม่ได้ตั้งใจ…”