ตอนที่ 435 เดินทางไปสู่ภูเขาอเวจี

คุณหนูสี่ สตรีเปื้อนเลือด

เมื่อเห็นของสองสิ่งที่ปรากฏในมือของฉินเฟิง ซูวั่งชวนและทุกคนในที่นี้ก็ตกตะลึงทันที

“เจ้าเมืองฉินเฟิง ของสองสิ่งนี้ล้ำค่ามากเกินไป”

ฉินอวี้โม่เองก็ตกตะลึงไม่น้อยเช่นกัน นางมองสิ่งของในมือของบุรุษตรงหน้าด้วยความตกใจทว่าเรียกสติกลับคืนมาอย่างรวดเร็วและกล่าวออกไป

ของขวัญสองชิ้นในมือของฉินเฟิงคือหยกขาวที่ดูงดงามอย่างยิ่งและตำราเล่มหนึ่งที่ส่องประกายสีทองอร่าม

ฉินอวี้โม่มีความรู้กว้างขวางพอสมควร นางทราบทันทีที่เห็นของทั้งสองว่าพวกมันคือสิ่งใดและแน่นอนว่านางทราบถึงมูลค่าของพวกมันเช่นกัน

หากนางคิดไม่ผิด หยกขาวก้อนนี้น่าจะเป็นหยกเหอเถียนในตำนานที่กล่าวกันว่าอบอุ่นในฤดูเหมันต์และเยือกเย็นในฤดูคิมหันต์ อีกทั้งมันสามารถต้านพิษได้ทุกรูปแบบ ส่วนตำราสีทองเล่มนั้นคือทักษะยุทธ์ระดับสูง แม้แต่ฉินอวี้โม่ก็ไม่เคยพบเห็นตำราระดับนี้มาก่อน

“ฮ่าๆๆ ไม่ใช่เรื่องใหญ่หรอก ข้าชอบเจ้าหนูน้อยทั้งสองนี่ ข้าจึงอยากมอบของสองสิ่งนี้เป็นการรับขวัญ หากไม่ใช่เพราะผลึกหัวใจมายาอยู่ในหอคอยต้องห้ามในเมืองมายา ข้าก็คงมอบสิ่งนั้นให้กับเจ้าหนูทั้งสอง”

ฉินเฟิงยิ้มและวางของสองสิ่งในมือในของทารกน้อยทั้งสอง

ทารกชายหญิงจับของที่ได้รับไว้แน่นและยิ้มชอบใจ

“หากข้าได้เป็นพ่ออุปถัมภ์ของเจ้าหนูทั้งสองก็คงจะดีไม่น้อย”

ฉินเฟิงมองทารกน้อยน่ารักน่าชังและอดถอนหายใจเบาๆไม่ได้

“อันที่จริง หากท่านเจ้าเมืองฉินเฟิงยินดี ข้าจะรู้สึกเป็นเกียรติอย่างยิ่ง”

แน่นอนว่าเมื่อได้ยินวาจาและเห็นท่าทางของฉินเฟิง ฉินอวี้โม่ก็กล่าวตอบออกไปอย่างรวดเร็ว สำหรับฉินเฟิงผู้นี้ นางมีความรู้สึกคุ้นเคยที่ลึกซึ้งมากขึ้นเรื่อยๆ ราวกับเป็นญาติมิตรในครอบครัวของตนซึ่งทำให้ฉินอวี้โม่ต้องการเชื่อใจเขาไปโดยปริยาย

“ฮ่าๆๆ ช่างมันเถอะ การมีพ่ออุปถัมภ์อย่างข้าอาจนำพาปัญหามาสู่เจ้าหนูทั้งสองนี่ได้”

เมื่อได้ยินคำตอบของฉินอวี้โม่ ฉินเฟิงก็ชะงักไปชั่วขณะ สีหน้าของเขาแสดงถึงความคาดหวังบางอย่างทว่ามันก็หายวับไปอย่างไร้ร่องรอย

“เอาล่ะ ในเมื่อได้พบเจ้าหนูทั้งสองตามที่ต้องการแล้ว ข้าก็คงต้องขอตัวกลับก่อน เมื่อเดินทางไปที่ภูเขาอเวจี ขอให้ทุกท่านระวังตัวไว้ด้วย หากเผชิญหน้ากับสิ่งใดที่อันตรายจงอย่าลังเลที่จะหลบหนี ความอยู่รอดปลอดภัยคือสิ่งสำคัญที่สุด”

เมื่อกล่าวจบ ฉินเฟิงก็ยิ้มให้และหายไปจากตรงหน้าฉินอวี้โม่และทุกคนอย่างรวดเร็วในชั่วพริบตา

ฉินอวี้โม่และคนอื่นๆรู้สึกเหมือนกันว่าวาจาของฉินเฟิงมีความหมายพิเศษบางอย่างแอบแฝงอยู่ ทว่าพวกเขาก็ไม่อาจหาคำตอบได้เลย

สิ่งใดกันที่ทำให้ฉินเฟิงผู้สงบนิ่งต้องกล่าวย้ำเตือนไม่ให้พวกนางลังเลและรีบหลบหนีออกมา? ยิ่งไปกว่านั้นคือฉินอวี้โม่ไม่เข้าใจความหมายของฉินเฟิงแม้แต่น้อย

แล้วเหตุใดกันเขาจึงกล่าวว่าการเป็นพ่ออุปถัมภ์ของทารกชายหญิงจะเป็นการนำพาปัญหามาสู่พวกเขา?

เห็นทีว่าฉินเฟิงผู้นี้จะเต็มไปด้วยเรื่องลึกลับ ความรู้สึกคุ้นเคยอย่างไม่อาจอธิบายระหว่างทั้งสองทำให้ฉินอวี้โม่รู้สึกว่ามีบางอย่างที่ตนเองอาจมองข้ามไป อย่างไรก็ตาม แม้พยายามไตร่ตรองจนปวดหัว นางก็นึกไม่ออกแต่แม้แต่อย่างเดียว

“ฉินเฟิงผู้นี้พิลึกจริงเชียว”

ซูวั่งชวนเองก็สับสนงุนงงเพราะวาจาของเจ้าเมืองฉินเฟิงเมื่อครู่ ทว่าเขาไม่มีความรู้สึกคุ้นเคยอย่างที่ฉินอวี้โม่มี แน่นอนว่าเขาไม่คิดมากนักและรู้สึกเพียงว่าฉินเฟิงประหลาดพิลึกจนยากเกินจะเข้าใจ

“เอาล่ะ อย่าเพิ่งคิดให้ปวดหัวไปเลย ซากปรักหักพังของสุดยอดผู้ใช้ข่ายอาคมนั่นจะเปิดขึ้นที่ภูเขาอเวจีในอีกสามเดือนข้างหน้า เราเตรียมตัวกันก่อนเถอะ”

ฉินอวี้โม่ถอนหายใจและกล่าวตัดบทเพื่อไม่ให้ทุกคนพยายามไตร่ตรองต่อไปและไม่คิดมากนัก ไม่ว่าอย่างไรนางก็ต้องไปที่ซากปรักหักพังนั้นให้ได้ ต่อให้เผชิญกับอันตราย นางก็ไม่มีทางล้มเลิกความตั้งใจที่จะไปที่นั่น

“ท่านลุงซู ช่วยส่งคนไปแจ้งข่าวทุกคนว่าพวกเราจะนัดพบกันที่จวนเจ้าเมืองในอีกเจ็ดวันและตอนนั้นเราจะหารือแผนการสำหรับการเดินทางไปที่ภูเขาอเวจี”

หลังจากพินิจพิจารณา นางก็กล่าวถึงสิ่งที่ต้องจัดการล่วงหน้า

ซูชิงพยักศีรษะเบาๆและส่งคนออกไปแจ้งข่าวตามขุมกำลังต่างๆ

ฉินอวี้โม่พาบุตรทั้งสองไปพักผ่อนและเริ่มตรวจดูของขวัญที่รับมาจากฉินเฟิง

เป็นจริงดังที่คิด สิ่งที่ฉินเฟิงมอบให้เซี่ยวเซี่ยวคือหยกเหอเถียนซึ่งมีความอบอุ่นในฤดูเหมันต์และเยือกเย็นในฤดูคิมหันต์ อีกทั้งมันยังมีคุณสมบัติต้านพิษทุกชนิด

และสิ่งที่มอบให้เล่อเล่อคือตำราทักษะยุทธ์ที่เรียกว่าเคล็ดวิชามหาอรหันต์ อย่างไรก็ตาม ฉินอวี้โม่ก็ค้นพบว่ามันคือเศษเสี้ยวส่วนหนึ่งเท่านั้น มิใช่ตำราทั้งเล่มที่สมบูรณ์

แม้เพียงเศษเสี้ยวหนึ่งของมันก็มีระดับสูงเช่นนี้ ฉินอวี้โม่สงสัยใคร่รู้ยิ่งนักว่าหากรวบรวมตำราเคล็ดวิชามหาอรหันต์นี้จนครบสมบูรณ์นั้นมันจะทรงพลังถึงเพียงใด

แน่นอนว่าฉินอวี้โม่ไม่มีทางคิดได้เลยว่าวันหนึ่งบุตรชายของตนจะรวบรวมเคล็ดวิชามหาอรหันต์นี้จนครบสมบูรณ์ได้ และสร้างตำนานที่สะเทือนฟ้าสะเทือนสวรรค์ด้วยตำราเล่มนี้

หลังจากเก็บตำราสีทองและคล้องสร้อยหยกเหอเทียนไว้ที่ลำคอของเซี่ยวเซี่ยว ฉินอวี้โม่ก็เกิดความคิดว่านางควรหลอมอุปกรณ์ป้องกันบางอย่างให้กับบุตรทั้งสองด้วยตัวเอง

ตอนนี้ทั้งสองยังเด็กมากและยังไม่สามารถทำพันธสัญญากับอสูรมายาได้ เพราะเหตุนั้นฉินอวี้โม่จึงตั้งใจไว้ว่าเมื่อทั้งสองมีอายุครบหนึ่งปี นางจะสยบอสูรมายาที่ทรงพลังให้ทั้งสองเพื่อที่พวกมันจะปกป้องทั้งสองได้

หลังจากนั้น นอกเหนือจากการเดินทางไปที่จวนเจ้าเมืองเพื่อเตรียมการเดินทางไปยังภูเขาอเวจี ฉินอวี้โม่ก็ได้ตามหาวัสดุระดับสูงจำนวนหนึ่งเพื่อที่จะหลอมอุปกรณ์ป้องกันไว้ให้ทารกน้อยทั้งสอง

หลังจากที่ยุ่งวุ่นวายเป็นเวลากว่าครึ่งเดือน ในที่สุดนางก็หลอมของสองชิ้นที่นางพึงพอใจออกมาได้

มันคือกำไลมังกรหงส์คู่หนึ่งสำหรับแฝดชายหญิงซึ่งทำมาจากกำไลที่หานโม่ฉือมอบให้นาง กอปรกับเลือดของหานอวี้ พลังเยือกเย็นของมารยาและวัสดุระดับสูงอื่นๆ

กำไลคู่นี้ดูเหมือนกำไลธรรมดาทั่วไป ทว่าแท้จริงแล้วมันเป็นอุปกรณ์ป้องกันระดับวิญญาณสองชิ้น

พวกมันไม่เพียงแต่สามารถขยายและหดตัวเล็กลงได้ตามการเจริญเติบโตของแฝดชายหญิง ทว่าหากถึงคราวตกอยู่ในอันตราย พวกมันสามารถสร้างม่านป้องกันเพื่อปกป้องทารกน้อยทั้งสองไว้ทันที

และม่านป้องกันดังกล่าว หากไม่ใช่จอมยุทธ์ที่มีพลังขอบเขตเซียนขั้นเจ็ดก็ไม่สามารถทำลายมันได้อย่างแน่นอน ยิ่งไปกว่านั้น หากกำไลมังกรหงส์นี้ประสานพลังรวมกัน มันสามารถปลดปล่อยการโจมตีที่ทรงพลังออกมาได้ อย่างไรก็ตาม เซี่ยวเซี่ยวและเล่อเล่อยังไม่มีพลังมายา กำไลคู่จึงยังไม่สามารถแสดงอิทธิฤทธิ์ในด้านนี้ได้

ทารกชายหญิงตัวน้อยในอ้อมแขนส่งเสียงหัวเราะคิกคัก ใบหน้าจิ้มลิ้มยิ้มแย้มอย่างชอบใจกอปรกับนัยน์ตาใสแจ๋วดูน่ารักน่าชังเป็นที่สุด

เมื่อมองดูบุตรตัวน้อยและฟังเสียงหัวเราะอย่างมีความสุข อดีตนักฆ่าสาวมือพระกาฬผู้เคยเย็นชาและไร้ความอ่อนโยนก็รู้สึกถึงความสุขอย่างที่ไม่เคยมีมาก่อน หากหานโม่ฉืออยู่ข้างกาย ความสุขก็คงจะเอ่อล้นยิ่งกว่านี้เสียอีก

ภายในเวลาอันรวดเร็วราวชั่วพริบตา เวลาก็ล่วงเลยมาจนเหลือเพียงครึ่งเดือนเท่านั้นก่อนถึงกำหนดการเปิดซากปรักหักพังของสุดยอดผู้ใช้ข่ายอาคม ณ ภูเขาอเวจี

การเดินทางจากเมืองเพลิงมายาไปถึงภูเขาอเวจีใช้เวลาประมาณสิบวัน คณะเดินทางต้องเดินทางไปล่วงหน้าเพื่อตรวจสอบสถานการณ์และเตรียมความพร้อมที่จำเป็น เพราะเหตุนั้น เช้าตรู่ของวันนี้ ฉินอวี้โม่และทุกคนจึงมารวมตัวกันในลานจัตุรัสกว้างขวางของเมืองเพลิงมายาอย่างพร้อมหน้าพร้อมตา

“คารวะท่านเจ้าเมือง ท่านผู้นำทั้งหลาย และท่านจอมยุทธ์อวี้โม่”

แน่นอนว่าเมื่ออยู่ท่ามกลางฝูงชน ทุกคนจะไม่เรียกฉินอวี้โม่ว่า ‘ท่านเทพมายา’ ทว่าพวกเขาเอ่ยถึงนางอย่างเคารพด้วยคำว่า ‘ท่านจอมยุทธ์’ ถึงอย่างไรแล้วนอกเหนือจากสถานะเทพมายา นางก็เป็นถึงผู้ฝึกสัตว์อสูรระดับเทวะ เพราะฉะนั้นการกล่าววาจาและแสดงท่าทางเคารพต่อนางจึงไม่กระตุ้นความสงสัยของผู้ใด

“ฮ่าๆๆ ทุกคนลุกขึ้นเถอะ”

เลี่ยหยางยิ้มและกล่าวให้ทุกคนลุกขึ้นตามเดิม จากสิ่งที่ปรากฏต่อหน้าทุกคน บัดนี้เขาคือเจ้าเมืองเพลิงมายาและเป็นคนกุมอำนาจจัดการทุกอย่างอย่างแท้จริง

พวกเขาหารือเรื่องการจัดการต่างๆไว้ก่อนหน้านี้แล้วและเลี่ยหยางเข้าใจอย่างชัดเจนดี

“ทุกคนที่มารวมตัวกันที่นี่ในวันนี้ล้วนเป็นจอมยุทธ์ฝีมือดีของเมืองเพลิงมายา ต่อไปเราจะมุ่งหน้าไปสู่ภูเขาอเวจีเพื่อสำรวจซากปรักหักพังด้วยกัน ในช่วงที่ผ่านมานี้ ท่านจอมยุทธ์อวี้โม่ได้เสริมความแข็งแกร่งให้กับขุมกำลังมากมายของเรา พลังของเราจึงพัฒนาขึ้นมาก เพราะฉะนั้นครานี้ เราจะเดินทางไปสู่ภูเขาอเวจีและประกาศศักดาให้เมืองทองมายาและเมืองไม้มายาได้ประจักษ์ว่าเมืองเพลิงมายาของเราทรงพลังเพียงใด!”

เลี่ยหยางกล่าวพร้อมรอยยิ้มเพื่อกระตุ้นความฮึกเหิมให้กับทุกคน

เมื่อได้ยินวาจาของเจ้าเมือง ทุกคนก็ส่งเสียงตะโกนด้วยความฮึกเหิมและบรรยากาศดูเป็นใจอย่างยิ่ง

“เอาล่ะ ออกเดินทางกันเถอะ ผู้นำซูชิงจะคอยอยู่ดูแลความเรียบร้อยในเมืองเพลิงมายา หากมีเรื่องใดหรือปัญหาใดก็จงไปพบผู้นำซูชิงเพื่อให้เขาตัดสินใจ”

เวลานี้เลี่ยหยางได้มอบอำนาจการปกครองเมืองเพลิงมายาให้กับซูชิง หลังจากนั้นเขาก็โบกมือเล็กน้อย อสูรบินจำนวนมากก็ปรากฏทั่วท้องฟ้าเหนือลานจัตุรัส

อสูรบินเหล่านี้คือยานพาหนะในการเดินทางที่เพิ่งถูกรวบรวมเมื่อไม่นานมานี้ แม้ว่าประสิทธิภาพในการต่อสู้อาจไม่มากนัก ทว่าความเร็วของพวกมันก็สูงมาก อีกทั้งเมืองเพลิงมายาก็อยู่ห่างจากภูเขาอเวจีพอสมควรและการเดินเท้าไปที่นั่นก็ไม่ใช่ความคิดที่ดีเลย

ทุกคนพยักศีรษะก่อนจัดสรรยานพาหนะและปีนขึ้นบนอสูรบินทั้งหลาย

เลี่ยหยางและบรรดาบุคคลสำคัญคนอื่นๆต่างก็เข้าไปในคฤหาสน์เฟิงหัวพร้อมกับฉินอวี้โม่ พวกเขาไม่ได้เลือกเดินทางโดยอสูรบิน

อย่างไรก็ตาม ฉินอวี้โม่มิได้เปิดใช้งานระบบการซ่อนตัวของคฤหาสน์เฟิงหัว หากแต่อยู่หน้าสุดของกองกำลังเพื่อนำทุกคนมุ่งหน้าตรงไปในทิศทางของภูเขาอเวจี

….

ในขณะเดียวกันนั้นก็มีการเคลื่อนไหวมากมายในเมืองอื่นๆเช่นกัน

แน่นอนว่าเมืองทองมายาและเมืองไม้มายาก็ส่งกองกำลังที่แข็งแกร่งที่สุดของพวกเขาออกไปด้วยความปรารถนาที่จะครอบครองสมบัติดีๆในซากปรักหักพัง

ส่วนเมืองวารีมายาก็มิได้เข้าร่วมการสำรวจครานี้โดยมีเพียงขุมกำลังเล็กๆไม่กี่กลุ่มที่มุ่งหน้าไปในทิศทางของภูเขาอเวจี ในบรรดากลุ่มคนเหล่านี้ ฉินอวี้โม่ก็บังเอิญรู้จักกับผู้ที่ทรงพลังที่สุดเช่นกัน ซึ่งคนผู้นั้นก็คือเฮยรองของเมืองวารีมายานั่นเอง

ภายในเมืองมายา ณ จวนเจ้าเมือง สตรีรูปโฉมงดงามนางหนึ่งกำลังออกคำสั่งกับลูกน้องของตนเอง

“ผู้อาวุโสฉินหวย เจ้ามีหน้าที่รับผิดชอบการดำเนินการทั้งหมดที่ภูเขาอเวจี หากกองทหารหงเฟิงปรากฏตัวขึ้นมา เจ้าต้องสังหารผู้นำของพวกเขาให้ได้และกำจัดกองทหารหงเฟิงไปอย่างราบคาบ เจ้าเข้าใจรึไม่!?”

สตรีผู้นี้มิใช่ใครอื่น หากแต่เป็นผู้นำคนปัจจุบันของโลกมายา—ฉินเหยียน

“ขอรับ ท่านผู้นำฉินเหยียน พวกเราเข้าใจแล้ว”

ฉินหวยพยักศีรษะตอบรับและเข้าใจจุดประสงค์ของการเดินทางไปยังภูเขาอเวจีเป็นอย่างดี หากไม่ใช่เพราะความกังวลว่าอาจมีผู้ใดบุกมาโจมตีเมืองมายา ฉินเหยียนก็คงจะเดินทางไปที่นั่นด้วยตัวเอง

“พวกเจ้าจงช่วยฉินหวยอย่างสุดความสามารถ หากพวกเจ้าทำลายกองทหารหงเฟิงได้และกลับมารายงานข้า พวกเจ้าจะได้รับรางวัลไปอย่างงาม”

ฉินเหยียนกล่าวกับทุกคนอีกครา ทว่านางก็ไตร่ตรองบางอย่างครู่หนึ่งก่อนกล่าวเสริม “อีกอย่าง คอยจับตาดูด้วยว่ามีใครที่ดูพิเศษหรือดูโดดเด่นกว่าผู้อื่นรึไม่ หากคำนวณจากเวลา เทพมายาคนใหม่น่าจะปรากฏตัวขึ้นแล้ว หากพวกเจ้าคนใดพบเบาะแสของนาง พวกเจ้าต้องจับตัวนางกลับมาให้ได้”

จากข้อสันนิษฐานก่อนหน้านี้ เทพมายาคนใหม่น่าจะปรากฏกายขึ้นแล้ว เพียงแต่ทุกวันนี้ไม่มีข่าวเบาะแสใดๆเลย ฉินเหยียนจึงรู้สึกตงิดใจว่าน่าจะมีบางอย่างไม่ชอบมาพากล

“ขอรับ พวกเราทุกคนจะคอยจับตาดูไว้”

ฉินหวยพยักศีรษะรับคำ จู่ๆเขาก็นึกถึงฉินอวี้โม่จากเมืองเพลิงมายา ทว่าเขาก็สลัดความคิดนั้นอย่างรวดเร็ว หากฉินอวี้โม่เป็นเทพมายาคนใหม่จริง นางก็คงจะไม่เปิดเผยตัวอย่างโจ่งแจ้งและทำตัวโดดเด่นเช่นนั้น…

.