บทที่ 567 พบเจอกันอีกครั้ง

องค์ชายวายร้ายอยากเป็นพ่อ

องค์ชายวายร้ายอยากเป็นพ่อ บทที่ 565 พบเจอกันอีกครั้ง
ฉีเฟยอวิ๋นออกมาจากถ้ำ พยายามหาชายแปลกหน้าเพื่อออกไปด้วยกัน แต่ท้ายที่สุดนางออกมาแล้วก็ไม่เห็นผู้ใดเลย

ฉีเฟยอวิ๋นก็ยอมใจแล้ว พอเกิดเรื่องก็ทิ้งนางไว้แล้วจากไปเลย เป็นคนอะไรกัน?

ไม่เห็นชายแปลกหน้าฉีเฟยอวิ๋นมองไปโดยรอบ ต้องการออกไปนั้นยากลำบาก นางเข้ามาได้แต่ว่ากลับไม่สามารถออกไปได้

ไม่ใช่ว่านางเดินทางบนเขาไม่ได้เช่นไรก็ฝึกฝนภาคสนามมานานเช่นนั้น แต่ตอนนี้นางพบว่าภูเขาโบราณนั้นดูน่ากลัวไปหน่อยจึงหาทางออกไปไม่ได้จริงๆ ทิศทางก่อนเข้ามานั้นชัดเจนแต่ในขณะที่ไล่ตามเสือมาทางนี้ลืมทุกสิ่งอย่างไปหมดเลย ทางก็จำไม่ได้ ต้องการออกไปนั้นยากลำบากยิ่งนัก

ฉีเฟยอวิ๋นเหลือบมองเจ้าห้าในอ้อมแขนและกล่าวอย่างช่วยไม่ได้ว่า: “แม่ไร้ประโยชน์ยิ่งนัก คิดไม่ถึงว่าแม้แต่ทางก็จำไม่ได้ หากมีโทรศัพท์ก็ดีสิ สามารถโทรหาพ่อเจ้าได้จะดีแค่ไหน”

ฉีเฟยอวิ๋นหวังว่าที่นี่จะมีโทรศัพท์มือถือและติดตั้งให้หนานกงเย่เครื่องหนึ่ง เช่นนั้นก็จะสามารถติดต่อกันได้แล้ว

เจ้าห้าลืมตาขึ้นราวกับว่าไม่เข้าใจในสิ่งที่ฉีเฟยอวิ๋นพูด ฉีเฟยอวิ๋นวางเจ้าห้าไว้ในอ้อมแขนแล้วกล่าวว่า: “แม่จะพาเจ้าไป”

ทันทีที่กล่าวจบก็มีเสียงบางอย่างเดินเกิดชึ้นมาจากด้านหลัง เสียงเบายิ่งนักแต่รู้สึกถึงได้ เป็นสัตว์ประหลาดขนาดใหญ่

ฉีเฟยอวิ๋นหันหลังมองกลับไป เป็นเสือสองตัวตัวใหญ่ตัวหนึ่งและตัวเล็กตัวหนึ่งออกมา

เห็นเสือแล้วฉีเฟยอวิ๋นก็หวาดกลัว เดิมนางก็กลัวเสืออยู่แล้ว แต่ก็ไม่สามารถอุ้มเจ้าห้าวิ่งหนีได้เช่นไรก็บอกว่าเป็นคนของเจ้าห้าแล้ว

ฉีเฟยอวิ๋นฝืนสงบนิ่ง สานสัมพันธ์กับเสือตัวใหญ่นั้นไม่ได้ง่ายเหมือนอีกา

แต่เสือบนภูเขานี้น่าจะเป็นเสือโคร่ง ขอร้องแล้วออกไปได้เป็นแน่

ฉีเฟยอวิ๋นกล่าวอย่างลำบากใจว่า: “เข้ามาก็ออกไปไม่ได้แล้ว เจ้าส่งข้าออกไปได้หรือไม่?”

เสือตัวใหญ่ก้าวอุ้งเท้าอันอ้วนพีเดินไปตรงหน้า ฉีเฟยอวิ๋นและหมอบลงบนพื้น ฉีเฟยอวิ๋นจึงถามว่า: “ให้ข้านั่งบนตัวเจ้าหรือ?”

เสือตัวใหญ่คำรามส่วนฉีเฟยอวิ๋นส่ายศีรษะ: “ไม่ ได้ ข้าเดินและข้าก็ไม่กล้านั่ง เจ้าแค่นำพาข้าออกไปก็พอ”

เสือตัวใหญ่จึงลุกขึ้นและนำทางฉีเฟยอวิ๋นเดินไปด้านหน้า และเจ้าเสือน้อยก็ก้าวทีละก้าวทีละรอยเท้าตาม เจ้าเสือน้อยนั้นตัวเล็กเกินไปจึงเดินได้ช้า เสือตัวใหญ่จึงคาบเอาไว้แล้วเดินไป

เดินเป็นเวลาสองชั่วยามกว่า ฉีเฟยอวิ๋นจึงมาถึงหน้าเรือนเมื่อครู่ หยุดลงแล้วฉีเฟยอวิ๋นก็ถามว่า: “มีผู้ใดอยู่ในเรือนหรือไม่?”

เสือตัวใหญ่ส่ายหัวฉีเฟยอวิ๋นจึงกล่าวว่า: “หนาวเกินไปหากข้าออกไปยังไม่ทันลงเขาก็ค่ำมืดซะแล้ว ไม่เช่นนั้นพักที่นี่พวกเจ้าแม่ลูกก็กลับไปก่อนเถอะ”

ฉีเฟยอวิ๋นรู้ว่าชายแปลกหน้าไม่อยู่จึงไปยังด้านในกระท่อม

ใครจะรู้ว่าเสือตัวใหญ่ก็คาบเจ้าเสือน้อยเข้าไปด้วย

ฉีเฟยอวิ๋นก็ไม่สะดวกที่จะกล่าวสิ่งใด ราวกับว่ากำลังเดินอยู่กับสุนัขตัวหนึ่งอยู่ตลอดทางไม่ใช่เสือตัวหนึ่ง

เสือตัวใหญ่วางเจ้าเสือน้อยลง ฉีเฟยอวิ๋นมองไปโดยรอบ ในเรือนยังมีตะเกียงน้ำมันอยู่นางจึงได้จุดไฟก่อน แต่ทว่าว่าไม่มีของกินฉีเฟยอวิ๋นจึงอดไม่ได้ที่จะถอนหายใจ: “ก็คงต้องทนหิว”

ฉีเฟยอวิ๋นโชคดีที่เสือตัวใหญ่อยู่

“รบกวนแม่เสือแล้ว สักคู่เจ้าให้เจ้าห้ากินมื้อหนึ่งเพื่อให้สามารถทนอยู่ถึงพรุ่งนี้เช้าได้”

แม่เสือไม่พูดสักคำราวกับว่าไม่อยากเปิดปาก

เจ้าเสือน้อยมีชีวิตชีวามากกว่า กระโดดโลดเต้นอยู่ในเรือนและอยากรู้อยากเห็นไปหมดทุกอย่าง

เสือตัวใหญ่นั้นไม่มีความสุขใช้กรงเล็บจับเจ้าเสือยน้อยเอาไว้

ฉีเฟยอวิ๋นก็เหนื่อยแล้วเช่นกันเดินไปยังเตียงไม้และพักผ่อนเป็นเวลาหนึ่งชั่วยาม ขณะที่ตื่นขึ้นมาก็พบว่าเสือตัวใหญ่ก็อยู่บนเตียงไม้เช่นกัน

เตียงไม้นั้นใหญ่มากจนไม่ได้ถูกเสือตัวใหญ่ที่มีน้ำหนักหลายร้อยกิโลกรัมทับแต่กลับอบอุ่นยิ่งนัก

ฉีเฟยอวิ๋นกับเจ้าห้าอยู่ในอ้อมแขนของเจ้าเสือ ที่น่าแปลกก็คือเจ้าเสือน้อยแนบชิดติดอยู่กับเจ้าห้าหัวเล็กๆยังคงชิดอยู่กับศีรษะเล็กของเจ้าห้าฝั่งหนึ่ง เช่นนี้เจ้าห้าจึงไม่หนาว

ฉีเฟยอวิ๋นกอดเจ้าเสือน้อยไว้ เจ้าเสือน้อยตื่นขึ้นมาจากนั้นก็เลียใบหน้าของฉีเฟยอวิ๋นครั้งหนึ่ง รู้สึกขมฉีเฟยอวิ๋นนัันทนไม่ไหวซะแล้ว

เจ้าห้าลืมตาขึ้นแล้วเหลือบมองเจ้าเสือน้อย เจ้าเสือน้อยเอาหัวออกและมันก็คว่ำอยู่ฝั่งหนึ่งอย่างเชื่องนักโดยไม่กล้าทำสิ่งใดเรื่อยเปื่อย

ฉีเฟยอวิ๋นขบขำ: “ไม่เป็นไรนะ ขอบใจเจ้ามากไม่เช่นนั้นเจ้าห้าคงจะแข็งไปแล้ว”

เจ้าเสือน้อยได้ยินก็ดีใจ ม้วนตัวไปมาและเงยหน้าขึ้นครางออกมาเสียงหนึ่ง

ในเวลานี้เสือตัวใหญ่ลุกยืนขึ้นมาแล้วคาบเจ้าเสือน้อยแล้วจากไป ฉีเฟยอวิ๋นก็อุ้มเจ้าห้าขึ้นมา ออกประตูไปแล้วเสือตัวใหญ่มองกลับไปยังฉีเฟยอวิ๋นและเดินจากไปท่ามกลางสายลมและหิมะ

เวลานี้ฉีเฟยอวิ๋นจึงได้สังเกตว่าหิมะเริ่มตกแล้ว

มองแม่เสือที่เดินจากไปไกลแล้วฉีเฟยอวิ๋นรู้สึกสับสนเล็กน้อย หากมิใช่อุ้งเท้าเสือบนพื้นยังคิดว่ากำลังฝันอยู่

ฉีเฟยอวิ๋นอุ้มเจ้าห้ากลับไปอย่างจนปัญญา คิดว่ายังจะให้เจ้าห้ากินสักคำแต่คิดไม่ถึงว่าแม่เสือจากไปแล้ว

ฉีเฟยอวิ๋นตั้งใจจะพักผ่อนอีกครู่หนึ่งค่อยจากไป แต่ตอนนี้ด้านนอกมีหิมะตกนางไม่สามารถเสี่ยงอันตรายได้

เข้าไปในประตูดูแล้วยังมีฟืนอยู่จึงจุดไฟขึ้นละลายหิมะและต้มน้ำสักหน่อย

สิ่งอื่นไม่กล่าวถึงดื่มน้ำให้อิ่มก่อน

ฉีเฟยอวิ๋นกำลังอุ้มเจ้าห้ารอจนเวลาที่ท้องฟ้ามืดมิดจนถึงรุ่งเช้า มีความเคลื่อนไหวด้านนอกฉีเฟยอวิ๋นลุกยืนขึ้นในทันที ขณะที่หิมะตกหนักเช่นนี้ผู้ใดจะมาได้นะ?

แค่คิดก็เป็นชายแปลกหน้าผู้นั้น

ฉีเฟยอวิ๋นลุกขึ้นไปดูตรงหน้าประตู ท้ายที่สุดแล้วมีดวงตาประกายเขียวสองคู่ในค่ำคืนอันมืดมิด ตัวใหญ่หนึ่งตัวเล็กหนึ่ง ตัวสูงหนึ่งตัวต่ำหนึ่ง

ฉีเฟยอวิ๋นรีบวางเจ้าห้าลงและเปิดประตูห้องออก

เสือตัวใหญ่คาบไก่ฟ้าสองตัวและกระต่ายตัวหนึ่งเข้ามาในขณะที่ในปากเจ้าเสือน้อยนั้นเต็มไปด้วยขนไก่

ฉีเฟยอวิ๋นตื้นตันจนอยากจะร้องไห้ รีบให้แม่เสือเข้ามาพักผ่อนและนางก็รีบจัดการกับไก่และกระต่ายอย่างรวดเร็ว

เจ้าเสือน้อยน้ำลายไหลโลภมาก เดินไปเดินมาล้อมอยู่รอบๆฉีเฟยอวิ๋นฉีเฟยอวิ๋นจึงกล่าวว่า: “เดี๋ยวข้าจะนึ่งไก่ตัวหนึ่ง ย่างกระต่ายและไก่เจ้าต้องชอบมากแน่ๆ

เจ้าเสือน้อยครางเสียงหนึ่งส่วนฉีเฟยอวิ๋นนั้นรู้สึกขบขัน

จัดการเรียบร้อยแล้วฉีเฟยอวิ๋นให้กระต่ายตัวหนึ่งกับไก่ตัวหนึ่งกับเสือตัวใหญ่ ให้แม่เสือกับเจ้าเสือน้อยกินด้วยกัน ในขณะที่ฉีเฟยอวิ๋นพบเกลือที่ไม่รู้ว่าหมดอายุไปนานแค่ไหนแล้วกินกันกับไก่ที่นึ่งออกมา

ฉีเฟยอวิ๋นต้องการพลังงาน กินไก่แล้วยังสามารถดื่มน้ำแกงไก่ได้ด้วย

คืนหนึ่งอันลำบากแสนเข็ญนับว่าได้ผ่านพ้นไปแล้ว ในเวลารุ่งสางของวันรุ่งขึ้นฉีเฟยอวิ๋นก็จัดเก็บของเตรียมที่จะจากไป เสือตัวใหญ่ส่งฉีเฟยอวิ๋นไปจนถึงด้านล่างของภูเขาแล้วจึงคาบเจ้าเสือน้อยหันหลังจากไป

ฉีเฟยอวิ๋นโค้งคำนับสามครั้งแล้วนางจึงหันหลังจากไป

หลังจากลงจากภูเขาฉีเฟยอวิ๋นยังคงเศร้าโศกนัก เมื่อใดจะสามารถกลับไปถึงจวนอ๋องเย่ได้

รู้ว่าพบเจอเจ้าสารเลวผู้นี้ฉีเฟยอวิ๋นก็ถูกลักพาตัวมาโดยไม่รู้เนื้อรู้ตัว

อุ้มเจ้าห้าพยายามเดินไปตลอดทางและในที่สุดก็เห็นประตูเมืองหลวง ฉีเฟยอวิ๋นอยากจะนั่งลงบนพื้นแล้วร้องไห้คร่ำครวญสักรอบ

แต่ฟ้าลิขิตไม่เท่ามนุษย์สรรค์สร้าง นางจะรู้ได้เช่นไร หากว่าเวลาที่คนจะซวยดื่มน้ำเย็นก็อุดซอกฟันได้

กำลังเตรียมจะเข้าไปในเมืองหลวงก็เห็นชุดสีแดงเดินผ่านหน้าไป เท้าทั้งคู่ของฉีเฟยอวิ๋นราวกับก้อนหินไม่สามารถขยับได้และจ้องมองไปยังผู้ที่เดินไปด้านหน้า

เฟิงอู๋ชิงเดินไปสิบก้าวเศษแล้วหยุดลง จากนั้นหันหลังมองฉีเฟยอวิ๋น ขณะที่มองอย่างละเอียดเฟิงอู๋ชิงรู้สึกว่ารู้จักหญิงที่อยู่ตรงหน้า

“เจ้ารู้ไหมว่าจวนอ๋องเย่อยู่ที่ใด”

เฟิงอู๋ชิงถามฉีเฟยอวิ๋น นางสวมเสื้อผ้าธรรมดาและมองไม่ออกว่าสูงเท่าใด ผู้ใดจะคาดถึงว่าพระชายาเย่จะอุ้มลูกน้อยเดินเที่ยวอยู่ในตลาดเพียงลำพัง

แท้ที่จริงแล้วฉีเฟยอวิ๋นตั้งใจเปลี่ยนเสื้อผ้าเป็นคนจนเพื่อให้สามารถเข้าคุกได้

ฉีเฟยอวิ๋นมองไปที่ชายแปลกหน้า: “ข้าไม่รู้ ข้าก็ไม่รู้จักคนในเมืองหลวงด้วย สามีของข้าพบสตรีผู้หนึ่งในเมืองหลวงและข้าก็มาตามหาเขา”

ฉีเฟยอวิ๋นหน้าตาขมขื่น

เฟิงอู๋ชิงขมวดคิ้ว: “ข้าจะช่วยเจ้าฆ่าเขา!”

ฉีเฟยอวิ๋นเงยหน้าขึ้นอย่างกะทันหันจากนั้นก็ส่ายศีรษะอย่างแรง

เฟิงอู๋ชิงตวาดอย่างเย็นชา: “ หาเหาใส่หัว!”

เมื่อหันกลับไปเฟิงอู๋ชิงก็เดินไปทางประตู

หมายเหตุ

หาเหาใส่หัว สุภาษิตแปลว่ารนหาเรื่องเดือดร้อนรำคาญมาใส่ตน