กู้ชูหน่วนสตรีอัปลักษณ์ บทที่ 913

“น่าวิเศษมากหรือที่ได้ยินบทสนทนาของพวกข้า?” ฮวาอิ่งกล่าวขึ้นอย่างเชื่องช้า

ไป่หนิงเก็บกลั้นความหวาดกลัวไว้ในใจและถามกลับไปว่า “เจ้าคือใคร เหตุใดถึงต้องปลอมตัวเป็นฝ่าบาท? ฝ่าบาทตัวจริงอยู่ที่ใด?”

“ข้าบอกเจ้าไปแล้ว เจ้าจะมีชีวิตรอดออกไปค้นหาความจริงอย่างนั้นหรือ?”

เมื่อได้ยินเช่นนั้น

ไป่หนิงพยายามอย่างสุดความสามารถและตบลงไปที่ฮวาอิ่งอย่างแรง

ฮวาอิ่งไม่ขยับเขยื้อนและปล่อยให้ฝ่ามือนั้นตบลงไปที่ร่างกายของตัวเอง

วรยุทธ์ของไป่หนิงไม่ธรรมดา นางมีกำลังวรยุทธ์ถึงระดับสูงสุดขั้นที่สี่

แต่เมื่อนางออกแรงจากฝ่ามือไปทั้งหมด กลับไม่ได้ทำอันตรายใดๆ ต่อฮวาอิ่งเลยสักนิด นางยังคงยืนอยู่ต่อหน้านางและหัวเราะเยาะออกมา

สีหน้าของไป่หนิงเปลี่ยนไปและวิ่งหนีออกไป

เพิ่งจะวิ่งหนีไปได้เพียงไม่กี่ก้าวก็ถูกพลังมหาศาลอันแข็งแกร่งดูดกลับมา และเกิดเสียงดังก่อนจะตกลงอย่างแรงที่ปลายเท้าของฮวาอิ่ง

“ข้าบอกให้เจ้าวิ่งหนีแล้วหรือ?”

“เจ้าต้องการทำอะไรกันแน่?”

“ทำอะไร? แน่นอนว่าต้องการรีบให้วรยุทธ์ถึงระดับเจ็ดยังไงล่ะ เดิมทีข้าไม่ต้องการรีบกินเจ้าเข้าไปเร็วเช่นนั้น แต่เจ้ากลับมาหาด้วยตัวเอง ในเมื่อเจ้ามาหาข้าถึงที่แล้ว เช่นนั้นข้าจะปฏิเสธน้ำใจของเจ้าได้อย่างไร”

เมื่อเห็นฮวาอิ่งค่อยๆ ขยับเข้ามาใกล้ ไป่หนิงจึงคิดอยากจะหลบหนีออกไปและบอกความจริงให้ทุกคนได้รับรู้ ทว่าไม่ว่านางจะพยายามดิ้นรนอย่างไร ร่างกายของนางก็ไม่อาจขยับได้แม้แต่นิดเดียว และทำได้เพียงมองดูผู้หญิงที่มีใบหน้าอัปลักษณ์ค่อยๆ เดินเข้ามาใกล้นาง

“เจ้าปลอมตัวเป็นฝ่าบาท ทุกคนในรัฐปิงจะไม่มีทางปล่อยเจ้าไปอย่างแน่นอน”

“รอให้วรยุทธ์ของข้าไปถึงระดับเจ็ด ต่อให้คนของรัฐปิงทุกคนรวมตัวกัน เช่นนั้นก็ไม่ใช่คู่ต่อสู้ของข้า ข้าจะเกรงกลัวอะไร?”

“เจ้าฝันไปเสียเถอะ”

เมื่อนึกถึงคนที่ถูกนางทรมานจนตายทั้งเป็น และเมื่อนึกถึงตัวเองที่อยู่ต่อหน้ายอดฝีมือผู้มีวรยุทธ์ระดับสูงสุดขั้นที่หก นางช่างเป็นคนที่เปราะบางอย่างมาก

ไป่หนิงคิดระเบิดร่างกายของนาง โดยไม่ปล่อยให้นางผู้หญิงบ้าคลั่งคนนั้นดูดพลังของนางไปแม้แต่นิดเดียว

“ชู่ว……”

ไม่ทันที่นางจะระเบิดร่างกาย จากนั้นตัวนางก็ถูกดูดไปอยู่ตรงหน้าของฮวาอิ่ง

กระแสพละกำลังได้ถูกนางดูดไปอย่างต่อเนื่อง

รวมไปถึงเลือดในร่างกายของนาง ไป่หนิงบอกว่าไม่ตกใจก็คงเป็นเรื่องแปลก

นางไม่กลัวตาย

แต่นางไม่ต้องการให้ฮวาอิ่งทำสำเร็จ

และยิ่งไม่ต้องการเห็นทุกคนถูกนางหลอก

ชิงเฟิงตะโกนออกมา “นางผู้หญิงบ้าคลั่ง เจ้ารีบปล่อยนางเดี๋ยวนี้”

“คุณชายเซี่ยว ท่านมีวิธีช่วยชีวิตนางหรือไม่?”

เซี่ยวอวี่เซวียนส่ายหน้า

แม้ว่าพฤติกรรมของผู้หญิงคนนี้จะดูเรียบร้อย ทว่าก็ไม่ได้หมายความว่านางจะเป็นคนโง่เขลา

นางค้นพบความลับของฮวาอิ่ง อีกทั้งยังมีวรยุทธ์สูงส่ง เช่นนั้นแล้วฮวาอิ่งจะปล่อยนางไปได้อย่างไร

หากนางคาดเดาไม่ผิดละก็ เป้าหมายของฮวาอิ่งไม่เพียงแค่ต้องการดูดพลังของพวกเขา แต่รวมไปถึงผู้นำและผู้อาวุโสของตระกูลเผ่าใหญ่ๆ และแม้แต่ผู้ที่มียอดฝีมือสูงส่งในโลกใบนี้ เพียงแค่นางสามารถหลอมรวมได้ เช่นนั้นนางจะไม่มีทางปล่อยไปโดยเด็ดขาด

พลังความชั่วร้ายของนางไม่เหมือนกับมหาเวทดูดพลังของแม่สาวอัปลักษณ์

มหาเวทดูดพลังของแม่สาวอัปลักษณ์นั้นเป็นการดูดพลังของอีกฝ่ายโดยตรงและหลอมไว้เพื่อใช้เอง

แต่ทว่านาง ใช้วิธีการดูดเลือดและแก่นสารจำเป็นของคนอื่น และจำเป็นต้องใช้วิชาเก็บรวบรวมหยางบำรุงอินจึงจะหลอมเป็นวรยุทธ์ได้ และสุดท้ายก็หลอมรวมเพื่อนำกลับมาใช้เอง

วิธีการที่เพิ่มขึ้นมา จำเป็นต้องใช้เวลาอย่างมาก

และ……นางไม่สามารถดูดมากเกินไปในหนึ่งครั้ง หากดูดเยอะเกินไปละก็ ไม่เพียงแค่ไร้ประโยชน์ ทว่ากลับเป็นอันตราย

วรยุทธ์อันชั่วร้ายของนางนั้นเทียบไม่ได้กับมหาเวทดูดพลังของแม่สาวอัปลักษณ์เลยแม้แต่นิดเดียว

“อ่า……ทำความชั่วไว้มาก ย่อมพิฆาตตัวเอง ฝ่าบาทไม่มีทางปล่อยเจ้าไปอย่างแน่นอน ประชาชนในรัฐปิงก็ไม่มีทางปล่อยเจ้าไปเช่นกัน”

ฮวาอิ่งเพลิดเพลินกับการดูไป่หนิงที่เหี่ยวเฉาไปทีละนิด และเลือดในร่างกายของนางก็ระบายออกทีละเล็กน้อย

นางกล่าวอย่างเกียจคร้าน “เจ้าควรจะพูดว่า บนโลกนี้มีสักกี่คนที่ไม่อยากฆ่าข้า?”

“ตุ่บ……”

กระดูกทั้งหมดในร่างกายของไป่หนิงแตกเป็นเสี่ยงๆ และกรีดร้องออกมาอย่างโอดครวญ

นางจ้องมองเลือดของตัวเองถูกดูดออกไปจนหมดอย่างไร้เรี่ยวแรง และในที่สุดก็เจ็บปวดทรมานตายทั้งเป็น

ฮวาอิ่งถอยหลังและเตะศพของนางออกไป

“ยอดฝีมือระดับสี่ขั้นสูงสุด……ข้ารู้สึกว่ากำลังภายในของข้ากลับมาแข็งแกร่งมากขึ้นอย่างมาก”

ฮวาอิ่งเดินมาตรงหน้าของชิงเฟิงและเจี้ยงเสวี่ย ด้วยรัศมีอาฆาตที่เปิดเผยออกมาอย่างไม่ปกปิด

ชิงเฟิงและเจี้ยงเสวี่ยตื่นตระหนกอย่างไร้เหตุผล

หากนางต้องการตัดแขนตัดขาของพวกเขาทิ้งจริงๆ เช่นนั้นพวกเขาไม่มีทางต่อต้านได้

“ต่อจากนี้ก็ถึงคราวของพวกเจ้าแล้ว”

เซี่ยวอวี่เซวียนหัวเราะเยาะเย้ยและบ่นพึมพำกับตัวเอง

“ไม่รู้ว่าควรจะบอกว่าเจ้าฉลาดหรือควรจะบอกว่าเจ้าโง่เขลาดี เจ้าตัดแขนตัดขาของพวกเขาไปแล้ว เช่นนั้นพวกเขาจะยังมีเลือดเหลืออยู่อีกเท่าไร? ยอดฝีมือระดับสี่ขั้นสูงสุดถึงสองคน แต่กลับต้องสูญเสียไปอย่างไร้ประโยชน์เช่นนี้ ฮึฮึฮึ ข้าเสียดายแทนเจ้าเหลือเกิน”

สายตาของฮวาอิ่งจับจ้องไปมาระหว่างชิงเฟิงและเจี้ยงเสวี่ย

นางยิ้มและกล่าวว่า “เซี่ยวอวี่เซวียน กลวิธีของเจ้าใช้ไม่ได้ผลกับข้าหรอก”

“เช่นนั้นก็ตามใจเจ้า ดีหรือไม่ดีนั้นก็ไม่เกี่ยวอะไรกับข้า”

เซี่ยวอวี่เซวียนและคนอื่นกำลังเดิมพัน

เดิมพันกับท่าทีของนาง

หากนางตัดสินใจที่จะตัดแขนตัดขาของชิงเฟิงและเจี้ยงเสวี่ย เช่นนั้นแล้วคงไม่มีใครสามารถขัดขวางได้

โชคดีที่พวกเขาเดิมพันสำเร็จและเป็นฝ่ายชนะ

เพราะฮวาอิ่งค่อยๆ กล่าวขึ้นอย่างเชื่องช้า

“เซี่ยวอวี่เซวียน แม้ว่าข้าจะไม่ชอบที่เจ้าใช้กลวิธีดื้อรั้นเช่นนี้กับข้า แต่กลวิธีของเจ้านั้นช่างมีประโยชน์และสำคัญต่อข้าเหลือเกิน สองคนนี้ ข้าจะเก็บไว้ก่อนก็แล้วกัน”

ชิงเฟิงและเจี้ยงเสวี่ยถอนหายใจออกมาด้วยความโล่งอก

ฝืนต่อไปอีกสักหน่อย ไม่แน่นายท่านของพวกเขาอาจจะมาช่วยชีวิตพวกเขาก็ได้

“ข้าเก็บพวกเขาเอาไว้ ส่วนเจ้า……หน้าตาหล่อเหลางดงามเช่นนี้ เกรงว่าบนโลกนี้จะพบเห็นได้น้อยคนนัก เช่นนั้นแล้วเหตุใดข้าถึงไม่ลิ้มลองดูสักหน่อยนักนะ”

“เมื่อเทียบกับเหวินเส่าอี๋และเยี่ยจิ่งหานแล้ว ข้าเทียบไม่ได้เลย หากข้าเป็นเจ้า ข้าจะจัดการกินพวกเขาทั้งสองก่อน”

“เจ้าคิดว่ากระดูกของพวกเขาไม่อร่อย ฉะนั้นจึงบอกให้ข้าจัดการเหวินเส่าอี๋และเยี่ยจิ่งหานก่อนใช่หรือไม่?”

เซี่ยวอวี่เซวียนยิ้มโดยไม่พูดอะไร

“พวกเขาทั้งสองคนนับว่าเป็นสิ่งมหัศจรรย์อันน่าทึ่งบนโลกใบนี้ เหวินเส่าอี๋น่ะหรือ ข้าสนใจเป็นอย่างมาก ส่วนเยี่ยจิ่งหาน……ข้ารู้สึกรังเกียจอย่างมาก และบนร่างกายของเขาก็มีเพียงวรยุทธ์และเลือดเท่านั้นที่ที่ตรงกับความต้องการของข้า”

ไม่มีใครเคยพูดว่าเยี่ยจิ่งหานเป็นที่น่ารังเกียจขยะแขยง

คนที่เคยเห็นเยี่ยจิ่งหานต่างก็ไม่เคยพูดว่าเขาหน้าตาแย่

ฮวาอิ่งน่าจะสนใจในตัวของเยี่ยจิ่งหานอย่างมาก

ใช้เยี่ยจิ่งหานเพื่อเก็บรวบรวมหยางบำรุงอิน จะต้องได้ผลลัพธ์อย่างดีมากแน่ๆ

แต่เหตุใดฮวาอิ่งกลับไม่มีความคิดเกี่ยวกับเยี่ยจิ่งหานเลยสักนิด?

เรื่องนี้……จะต้องมีความลับอะไรซ่อนอยู่แน่ๆ

มีเพียงชิงเฟิงผู้โง่เขลาที่จ้องฮวาอิ่งตาเขม็งและกล่าวอย่างโกรธเคือง “นายท่านของข้าเพียบพร้อมทุกด้าน น่ารังเกียจขยะแขยงที่ไหนกัน?”

“ข้าบอกว่าเขาน่ารังเกียจก็น่ารังเกียจ เจ้ามีปัญหาหรือ?”

“แน่นอนว่าข้ามีปัญหา เจ้าไม่ได้เป็นอะไรกับนายท่าน เจ้ามีเหตุผลอะไรถึงพูดว่านายท่านน่ารังเกียจ”

“ข้าไม่ได้เป็นอะไรกับเขา……ฮ่าๆๆ……ข้าไม่ได้เป็นอะไรกับเขา……ข้าไม่ได้เป็นอะไรกับเขาจริงๆ ด้วย ข้าเป็นเพียงแค่คนที่ต้องการดูดพลังวรยุทธ์และเลือดของเขาจนเหือดแห้งเท่านั้น……”

คำพูดของฮวาอิ่งทำให้ทุกคนรู้สึกแปลก

นางดูเสียสติ และไม่รู้ว่ากำลังพูดอะไร

“เซี่ยวอวี่เซวียน พรุ่งนี้เจ้ารอเข้านอนกับลั่วอิ่งเถอะ ฮ่าๆๆ……”

ฮวาอิ่งหัวเราะเสียงดังและเดินออกไป

ปล่อยให้เซี่ยวอวี่เซวียนและคนอื่นๆ ทั้งดีใจและเป็นกังวล

กังวลที่เยี่ยจิ่งหานก็ตกอยู่ในเงื้อมมือของฮวาอิ่ง

ดีใจที่กู้ชูหน่วนยังมีชีวิตอยู่

เจี้ยงเสวี่ยกล่าว “คุณชายเซี่ยว ท่านคิดว่าสิ่งที่นางพูดออกมานั้นเป็นความจริงหรือไม่? พระชายาคือมู่หน่วนจริงหรือ?”

“ไม่รู้”

หากนางคือมู่หน่วน เขาก็ยังพอมีโอกาสแต่งงานกับนาง

หากนางคือกู้ชูหน่วน เช่นนั้นแล้วเขาก็ไม่มีโอกาสเลยสักนิด

เรื่องราวในอดีตทั้งร้ายและดี เขาไม่มีทางตัดขาดและต่อให้พยายามอย่างไรก็ยังคงสับสนยุ่งเหยิง

ภายในหอดาบ

กู้ชูหน่วนทุบตีกระดูกของเยี่ยจิ่งหานจนแตกเป็นเสี่ยงๆ เยี่ยจิ่งหานเจ็บปวดจนเหงื่อไหลออกมาเต็มตัว และเล็บของเขาฝังเข้าไปลึกลงไปในแผ่นเตียง

ความรุนแรงของกำลังนั้นทำให้เล็บของเยี่ยจิ่งหานหักลงอย่างกะทันหัน และมีเลือดไหลออกมาจำนวนไม่น้อย

เยี่ยจิ่งหานกัดฟันกรอด แม้ว่าเจ็บปวดทุกข์ทรมานมากเพียงใด ก็ไม่ส่งเสียงร้องออกมาแม้แต่นิดเดียว