บทที่ 843 : เกิดเรื่องใหญ่แล้วครับ!
“คุณเสียมีเรื่องอะไรเกี่ยวกับหลิงหยุนที่อยากจะเล่าก็เชิญเล่ามาได้เลย..”
หลี่จิ่วเจียงละสายตามจากเก้าอี้ที่ว่างเปล่าของหลู่กวนหวังแล้วหันไปมองเสียเจิ้นติงพร้อมกับพูดยิ้มๆ
เสียเจิ้นติงเห็นแววตาเย้ยหยันในดวงตาของหลี่จิ่วเจียงแต่ก็แสร้งทำเป็นไม่เห็น และพูดในสิ่งที่อยากพูดต่อทันที
“ผู้อำนวยการหลี่..คุณคงจะมีงานยุ่งมาก จึงไม่มีเวลาได้ลงมาตรวจสอบโรงเรียนมัธยมต่างๆด้วยตัวเอง ก็เลยไม่เคยได้ยินได้ฟังเรื่องเกี่ยวกับหลิงหยุน..”
“ลูกชายของผู้อำนวยการหลู่กับลูกชายของคุณกู่แล้วก็ลูกชายของผมพวกเขาเรียนอยู่โรงเรียนมัธยมจิงฉูที่เดียวกับหลิงหยุน และทั้งหมดก็มีเรื่องกันมาหลายต่อหลายครั้ง คิดว่าเรื่องนี้คุณคงจะได้ข่าวมาบ้างแล้ว..”
หลี่จิ่วเจียงได้ฟังจึงพยักหน้าเล็กน้อยและพูดขึ้นอย่างหมดความอดทน “เรื่องพวกนี้ผู้อำนวยการหลู่เคยเล่าให้ผมฟังบ้างแล้ว ผมว่าคุณตรงเข้าประเด็นเลยจะดีกว่า..”
หลี่จิ่วเจียงพูดกับเสียเจิ้นติงพร้อมกับถอนหายใจและทำท่าทางราวกับว่ากำลังพูดอยู่กับผู้ใต้บังคับบัญชาของตนเอง
เสียเจิ้นติงถึงกับอึ้งในอากัปกิริยาของหลี่จิ่วเจียงจึงกระแอมเบาๆเป็นการกลบเกลื่อนอาการเสียหน้าของตนเอง พร้อมกับกวาดสายตามองแขกที่นั่งรอบโต๊ะ..
หลี่จิ่วเจียงเห็นเช่นนั้นจึงรู้ว่าเสียเจิ้นติงนั้นไม่ไว้วางใจแขกที่อยู่ในห้องด้วยเขาจึงพูดขึ้นมาเป็นการตบหน้าเสียเจิ้นติง
“คุณเสีย..ผมว่าคุณกังวลเรื่องเด็กที่ชื่อหลิงหยุนมากจนเกินไป! เด็กนักเรียนมัธยมปลายเพียงแค่คนเดียว คุณจะกลัวอะไรนักหนา! คุณเองก็เป็นถึงข้าราชการระดับสูง!”
“การที่ข้าราชการระดับสูงอย่างเราพูดถึงเขาก็นับว่าเป็นการให้หน้าเขามากแล้ว ยังมีอะไรเป็นความลับต้องปิดบังอีก”
“คุณสามารถพูดทุกอย่างต่อหน้าทุกคนในห้องนี้ได้เลยไม่ต้องกังวลใจไป..”
เมื่อได้ยินชื่อหลิงหยุนหลี่จิ่วเจียงก็เริ่มหมดความอดทน ตลอดครึ่งเดือนมานี้ เพื่อหลี่เทียนแล้วเขาต้องอดทนฟังชื่อนี้มาโดยตลอด
เสียเจิ้นติงเองก็รู้ว่าหากคนพวกนี้ไม่ใช่พวกของหลี่จิ่วเจียง ก็คงไม่สามารถเข้ามานั่งในห้องนี้ได้แน่ เขาจึงมั่นใจและกล้าที่จะพูดอย่างเปิดอก..
“ผู้อำนวยการหลี่..ไม่ใช่ว่าผมจะคร่ำเครียดกับเรื่องของหลิงหยุนมากจนเกินไป แต่เขาเป็นคนที่ลึกลับ เอาแต่ใจ แล้วก็น่าหวาดกลัวจนเข้าขั้นสยดสยอง!”
ลึกลับ..เอาแต่ใจ.. น่าหวาดกลัวเข้าขั้นสยดสยอง!
นี่คือคำนิยามที่เสียเจิ้นติงใช้เล่าถึงตัวตนของหลิงหยุนหลังจากที่สอบถาม และฟังเรื่องราวของเขามาจากแหล่งต่างๆมากมาย
“อีกอย่าง..หลิงหยุนเป็นคนที่ทำอะไรตามใจตัวเอง เขาไม่เคยสนใจกฏเกณฑ์ใดๆบนโลกใบนี้ แล้วเรื่องในคืนนี้ก็อย่าได้คิดว่าจะพ้นหูพ้นตาของเขาไปได้..”
และด้วยตำแหน่งหน้าที่การงานของเสียเจิ้นติงการจะค้นหาประวัติของใครสักคนนั้นไม่ใช่เรื่องยาก
แต่ถึงกระนั้นก็มีความลับบางอย่างที่หลิงหยุนไม่ต้องการให้ใครรู้ นอกเหนือจากตัวเขาเองแล้ว ก็จะไม่มีคนที่สองที่จะล่วงรู้เรื่องนี้ได้ แม้แต่ฉินตงเฉี่วย หนิงหลิงยู่ ถังเมิ่ง แล้วก็ตี้เสี่ยวอู๋ ก็ไม่มีสิทธิ์ที่จะได้รู้!
ในเวลาเพียงไม่กี่เดือนแต่หลิงหยุนกลับเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วจนกลายเป็นที่รู้จักของคนทั่วทั้งจิงฉู ผ่านวิธีการจัดการกับศัตรูต่อหน้าผู้คนมากมาย และยังสร้างเหตุการณ์ที่ชวนตกตะลึงอีกหลายครั้งหลายครา ไม่ว่าจะเป็นการจับตี้เสี่ยวอู๋โยนใส่แป้นบาสเก็ตบอลที่สนามกีฬาในโรงเรียนมัธยมจิงฉู หรือเหตุการณ์ที่หลิงหยุนคนเดียวแต่กลับสามารถเอาชนะคนของแก๊งมังกรเขียวทั้งสามสิบคนได้ ยังมีเรื่องของการทุบบ้านสองหลังของเถียนป๋อเตา รวมทั้งเรื่องที่สร้างความอับอายให้กับหลัวจ้ง..
และในวันที่เปิดคลินิกสามัญชนนั้นหลิงหยุนก็สามารถรักษาคนไข้ที่อยู่ในอาการสาหัสปางตายทั้งยี่สิบสองคนได้อย่างน่าอัศจรรย์ใจ อีกทั้งยังสร้างความตกตะลึงให้กับวงการพนันหินที่ตลาดค้าของเก่าอีกด้วย
เพียงเท่านี้ก็นับว่ายากเกินกว่าที่คนธรรมดาสามัญจะเข้าใจได้แล้วหากไม่ใช่เพราะหลี่ยี่เฟิงกับถังเทียนห่าวสั่งห้ามไม่ให้มีการเผยแพร่วีดีโอเหล่านี้ และได้สั่งให้ลบออกจากอินเทิร์เน็ต และสื่อต่างๆแล้วล่ะก็ รับรองว่าเวลานี้หลิงหยุนคงกลายเป็นที่รู้จักของคนทั้งประเทศอย่างแน่นอน!
และหากมีใครสักคนสามารถนำคลิปและภาพเหล่านั้นไปเผยแพร่ในอินเทอร์เน็ตได้แล้วอีกครั้ง รับรองว่าจะต้องสร้างกระแสในประเทศนี้ได้อย่างมากมายเลยทีเดียว!
และหลิงหยุนอาจจะถูกขนานนามว่าเป็นอสูรกายก็เป็นได้!ทุกคนจึงต้องอาศัยอำนาจในมือช่วยกันปกปิดเรื่องเหล่านี้!
ดังนั้นเหตุการณ์ที่น่าเหลือเชื่อและสร้างความแปลกประหลาดใจให้กับผู้คนในหลายๆเรื่องนั้น นอกเหนือจากผู้ที่โชคดีได้เห็นภาพเหล่านั้นแล้ว ก็ไม่สามารถหลุดออกไปสู่สายตาของคนภายนอกได้เลย
แต่ถึงกระนั้น..ผู้คนที่ได้พบเห็นเหตุการณ์เหล่านั้น ต่างก็พากันพูดกันปากต่อปาก แต่คนที่ได้ฟังก็ยากที่จะเชื่อว่ามันคือเรื่องจริง และคิดว่าน่าจะเป็นนิทานปรัมปราเสียมากกว่า..
แต่เสียเจิ้นติงนั้นต่างกันในเมื่อหลัวจ้งถูกหลิงหยุนจัดการจนหมดท่าเช่นนั้น และหลังจากที่หลัวจ้งถูกส่งเข้าคุก หลิงหยุนจึงกลายมาเป็นศัตรูที่น่ากลัวของเสียเจิ้นติงทันที ชื่อ ‘หลิงหยุน’ จึงเปรียบเสมือนหนามที่คอยทิ่มตำจิตใจของเสียเจิ้นติงอยู่ตลอดเวลา!
และแน่นอนว่า..เสียเจิ้นติงต้องทำทุกวิถีทางเพื่อตรวจสอบประวัติของหลิงหยุน และด้วยอำนาจหน้าที่ที่มีอยู่ในมือ มีหรือที่เสียเจิ้นติงจะไม่สืบหาความจริง..
แต่ถึงกระนั้นหลิงหยุนก็ไม่จำเป็นต้องหลบเลี่ยงใคร และไม่จำเป็นต้องหลบเลี่ยงด้วย..
เสียเจิ้นติงพยายามอย่างสุดความสามารถที่จะสืบหารายละเอียดเกี่ยวกับหลิงหยุนให้ได้มากที่สุดเพื่อที่จะสามารถทำความเข้าใจ และสรุปเรื่องราวของหลิงหยุนได้อย่างแม่นยำและเที่ยงตรง
และจากข้อมูลทั้งหมดที่เสียเจิ้นติงได้มานั้นเขาก็สรุปได้ว่า.. หลิงหยุนนั้นเป็นคนที่ลึกลับ เอาแต่ใจ น่าหวาดกลัว และมันทำอะไรโดยไม่สนใจกฏเกณฑ์ใดๆ อีกทั้งยังไม่เห็นแก่หน้าใครด้วย และนั่นคืออุปนิสัยของหลิงหยุน!
“ฮ่า.. ฮ่า.. ฮ่า..”
เสียเจิ้นติงกำลังเล่าเรื่องหลิงหยุนด้วยสีหน้าเคร่งเครียดจริงจังแต่กลับคิดไม่ถึงว่าจู่ๆ หลี่จิ่วเจียงจะระเบิดเสียงหัวเราะออกมาเช่นนี้..
“คุณเสีย..นี่คุณพูดอะไรออกมารู้ตัวบ้างมั๊ย ลึกลับ น่าหวาดกลัว เอาแต่ใจ ไม่ในใจกฏเกณฑ์ นี่คุณพูดเกินจริงไปหน่อยหรือเปล่า?”
“ก็แค่เด็กอายุสิบแปดเขามีสามหัวหกกรหรือยังไงกัน เอาเป็นว่าคุณลองเล่าให้พวกเราฟังอีกสักสองสามเรื่องสิ! ฮ่า.. ฮ่า..”
เสียเจิ้นติงเห็นหลี่จิ่วเจียงพูดถึงหลิงหยุนราวกับเป็นเรื่องตลกเช่นนี้ก็ได้แต่แอบถอนหายใจอย่างหมดหนทาง แต่เมื่อมองไปยังชายที่แต่งตัวธรรมดาทั้งสามคนแต่ดูลึกลับนั้น เขาจึงค่อยสบายใจขึ้นมาบ้าง..
เสียเจิ้นติงนั้นรู้ว่าชายทั้งสามคนนี้น่าจะเป็นยอดฝีมือที่มีวรยุทธซึ่งตระกูลซันเป็นผู้ส่งมาคุ้มครองหลี่จิ่วเจียงนั่นเอง
‘เฮ้อ..อย่างน้อยตระกูลซันก็หนุนหลังหลี่จิ่วเจียงอยู่ ในเมื่อตระกูลซันส่งคนมาคุ้มครองหลี่จิ่วเจียงแบบนี้ ก็คงมั่นใจว่าพวกเขาทั้งสามคนจะสามารถจัดการกับหลิงหยุนได้..’
เสียเจิ้นติงนั้นนับว่าเป็นผู้ที่ควบคุมความรู้สึกได้อย่างยอดเยี่ยมเพราะเขายังคงทำสีหน้าได้เป็นปกติอย่างที่สุด
เสียเจิ้นติงเชื่อว่าในเมื่อเขาเลือกอยู่ข้างหลี่จิ่วเจียง ก็เท่ากับได้รับการหนุนหลังจากตระกูลซันด้วยเช่นกัน เมื่อเป็นเช่นนี้หลี่ยี่เฟิงก็คงไม่กล้ายุ่งกับตนเองเช่นกัน และหากหลิงหยุนถูกตระกูลซันจัดการ เขาก็จะมีโอกาสก้าวหน้าในที่การงาน เรียกได้ว่าจะได้รับประโยชน์มากมายหลายอย่าง!
เมื่อคิดได้เช่นนี้เสียเจิ้นติงก็ยิ้มพร้อมกับพูดกับทุกคนว่า “ในเมื่อผู้อำนวยการหลิ่วสนใจ ผมก็จะเล่าเรื่องของหลิงหยุนให้ฟังอีกสักสองสามเรื่องก็แล้วกัน ผมเชื่อว่ามันจะทำให้พวกคุณรู้จักหลิงหยุนมากยิ่งขึ้น!”
จากนั้น..เสียเจิ้นติงก็ยกถ้วยชาตรงหน้าขึ้นดื่ม และเริ่มเล่าเรื่องของหลิงหยุนต่อ..
แต่ระหว่างนั้นเอง..เสียงสัญญาณข้อความเข้าในโทรศัพท์มือถือก็ดังขึ้น เลขานุการชายของหลี่จิ่วเจียงรีบหยิบโทรศัพท์มือถืออกมา เมื่อได้เห็นข้อความ สีหน้าของเขาก็เปลี่ยนไปทันที เขารีบลุกขึ้นยืน และเดินเข้าไปกระซิบข้างหูของหลี่จิ่วเจียงทันที
“ผู้อำนวยการหลี่ครับ..ชีเต๋อเปียวรออยู่หน้าห้องรับรอง เขาบอกว่ามีเรื่องสำคัญจะรายงานท่านครับ!”
ชีเต๋อเปียวเป็นครูใหญ่โรงเรียนมัธยมเขาจึงไม่มีคุณสมบัติพอที่จะเข้ามาร่วมดื่มกินในห้องรับรองนี้ สถานะของเขายังห่างไกลนัก อย่าว่าแต่ได้ร่วมกินดื่มโต๊ะเดียวกับหลี่จิ่วเจียงเลย แม้แต่จะส่งข้อความให้หลี่จิ่วเจียงก็ยังไม่มีสิทธิ์ ได้แต่ส่งให้กับเลขาของหลี่จิ่วเจียงแทน
หลี่จิ่วเจียงได้ฟังก็ถึงกับขมวดคิ้วพร้อมกับคิดอย่างไม่พอใจว่า‘เจ้าชีเต๋อเปียวนี่จริงๆเลย กล้าขัดความสุขของฉันจริงๆ!’
แม้จะคิดเช่นนั้นแต่หลี่จิ่วเจียงก็ไม่ได้พูดออกมาเขาเพียงแค่พยักหน้าเบาๆเท่านั้น และเลขานุการชายก็รีบขออนุญาตทุกคนเดินออกไปจากห้องรับรองทันที
ทันทีที่เดินออกไปนอกห้องเขาก็เห็นชีเต๋อเปียวยืนรออยู่หน้าห้องแล้ว จึงรีบตรงเข้าไปหาพร้อมกับพูดด้วยน้ำเสียงที่ไม่พอใจนัก
“ครูใหญ่ชี..คุณมีหน้าที่ดูแลความเรียบร้อยด้านนอกไม่ใช่เหรอ แล้วมายืนอยู่ตรงนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่? ผู้อำนวยการกำลังคุยกับแขกเหรื่ออยู่ รบกวนท่านกลางคันแบบนี้เสียมารยาทมากจริงๆ..”
ชีเต๋อเปียวได้ยินก็รีบขอโทษขอโพยและพูดขึ้นว่า “เลขาหวัง.. ผมรู้ว่าไม่ควรเข้ามารบกวนผู้อำนวยการหลี่ แต่ผมมีเรื่องใหญ่จะมารายงาน ไม่อย่างนั้นผมคงไม่กล้ามาหรอก!”
“งั้นเหรอเรื่องอะไรกันล่ะ?”
ชีเต๋อเปียวดึงเลขาหวังออกมาให้ห่างจากประตูและระหว่างเล่าเรื่องทั้งหมดให้เลขาหวังฟัง
เลขาหวังได้ฟังถึงกับตกใจจนแทบช็อค“คุณว่าอะไรนะ มีคนนำเช็คจำนวนยี่สิบล้านมามอบให้เป็นของขวัญงั้นเหรอ? แล้วหลี่เทียนก็ถูกทำร้าย? และไม่รู้ว่าใครเป็นคนทำด้วย?”
“นี่คุณพูดกำลังพูดบ้าอะไรกัน!”
คิ้วของเลขาหวังขมวดเข้าหากันและร้องถามชีเต๋อเปียวเสียงดัง..
ชีเต๋อเปียวยิ้มขื่นพร้อมกับตอบไปว่า“เลขาหวัง.. ผมไม่กล้าล้อเล่นเรื่องแบบนี้แน่! ตอนนี้เช็คยี่สิบล้านก็อยู่ในมือแล้ว และตรวจสอบแล้วว่าเป็นเช็คจริง ส่วนหลี่เทียนก็หน้าบวมเปล่งอยู่ตอนนี้..”
สีหน้าของเลขาหวังเปลี่ยนเป็นบิดเบี้ยวขึ้นมาทันทีเขายืนนิ่งนานกว่าสิบวินาทีแล้วจึงพูดขึ้นว่า
“เอาล่ะ..คุณรีบไปที่หน้าห้องจัดเลี้ยงก่อน ผมจะไปรายงานผู้อำนวยการหลี่เดี๋ยวนี้!”
“อย่าลืมส่งคนไปจับตามองผู้หญิงหกคนนั้นไว้ให้ดีผมจะไปรายงานผู้อำนวยการ และจะรีบกลับออกมาโดยเร็ว”
เลขาหวังรู้สึกเป็นกังวลและกระวนกระวายใจอย่างมากจึงรีบเดินกลับเข้าไปในห้องรับรองทันที และตรงเข้าไปหาหลี่จิ่วเจียงด้วยสีหน้ากังวล
เขากระซิบข้างหูหลี่จิ่วเจียง“ผู้อำนวยการครับ.. เกิดเรื่องใหญ่แล้วครับ!”
บทที่ 844 : บรรยากาศเริ่มร้อนระอุ!
“ฮ่า..ฮ่า.. หลี่เทียนสอบเอนทรานซ์ได้คะแนนสูงสุดของมณฑลเจียงหนาน เวลานี้ใครๆต่างก็พากันอยากจะมาตีสนิทผมกันหมด..”
เมื่อเลขาของเขาเดินออกไปนอกห้องหลี่จิ่วเจียงก็โอ้อวดออกมาอย่างหน้าไม่อาย นับว่าหนังหน้าของเขานั้นหนาไม่เบาเลยทีเดียว..
แม้ว่าผู้ใต้บังคับบัญชาของหลี่จิ่วเจียงจะรู้กันดีว่าคะแนนสูงสุดของหลี่เทียนนั้นได้มาอย่างไร แต่ทุกคนต่างก็พากันพูดชื่นชมเพื่อเป็นการเอาอกเอาใจหลี่จิ่วเจียงแทน..
แต่คิดไม่ถึงว่าเพียงแค่เลขาหวังเดินหน้าตาตื่นเข้ามารายงานเท่านั้น เหตุการณ์ภายในห้องก็เปลี่ยนไปทันที!
“ห๊ะ!”
หลี่จิ่วเจียงได้ฟังคำบอกเล่าของเลขาหวังก็ถึงกับร้องอุทานออกมาเบาๆ!
เลขาหวังนั้นเป็นเลขานุการส่วนตัวของหลี่จิ่วเจียงและทำงานกับเขามาร่วมสิบปีแล้ว เรียกได้ว่ารู้ใจกันถึงขั้นมองตาก็สามารถเข้าใจได้
หลี่จิ่วเจียงมีเงินอยู่ในธนาคารเท่าไหร่มีภรรยาน้อยกี่คน? ซุกซ่อนอยู่ที่ใหนบ้าง? เรียกได้ว่าเลขาหวังนั้นรู้หมดทุกอย่าง เขาจึงเปรียบเสมือนเงาของหลี่จิ่วเจียงมานานหลายปี
ตั้งแต่ที่เลขาหวังมากระซิบบอกเขาว่าเกิดเรื่องใหญ่นั้น!หลี่จิ่วเจียงก็สัมผัสได้ว่ามีบางอย่างที่ไม่ปกติเกิดขึ้นแล้ว และได้แต่คิดในใจว่าใครกันนะที่กล้ามาสร้างปัญหาให้กับเขาถึงที่นี่
ที่นี่เป็นโรงแรงหรูหราระดับห้าดาวพวกเขาได้ทำการปิดชั้นห้าของโรงแรมทั้งชั้นเพื่อจัดงานเลี้ยงใหญ่โตเช่นนี้ ใครกันช่างกล้าที่จะมาสร้างความวุ่นวายที่นี่ได้
แม้หลี่จิ่วเจียงจะรู้สึกไม่พอใจแต่ก็มีเพียงแววตาเท่านั้นที่เปลี่ยนไป เขาลุกขึ้นยืนและบอกกับทุกคนในโต๊ะว่า
“ทุกท่านคุยกันตามสบาย..ผมขอตัวไปจัดการธุระบางอย่างก่อน!”
หลังจากนั้น..หลี่จิ่วเจียงก็ลุกเดินออกจากโต๊ะไปยังห้องรับรองอีกห้องหนึ่งทันที และเลขาหวังก็เดินตามไปติดๆ
ห้องรับรองนี้เป็นห้องที่จัดไว้ให้แขกเหรื่อสามารถเข้ามานั่งพักผ่อนและพูดคุยกันได้ ภายในห้องนั้นมีระบบกันเสียงอย่างดี ไม่ต้องกลัวว่าเสียงหนวกหูจากภายนอกจะเข้ามาด้านในได้ หรือเสียงจากด้านในจะรั่วไหลไปด้านนอกได้ ต่อให้พูดคุยอยู่หน้าประตูห้อง คนข้างนอกก็ไม่มีทางได้ยินอย่างแน่นอน
เลขาหวังเดินตามหลี่จิ่วเจียงเข้าไปในห้องที่ว่านั้นและจัดการปิดประตูทันที!
หลี่จิ่วเจียงหันมาถามเลขาหวังด้วยสียงที่เบา“นี่เลขาหวัง.. มีเรื่องอะไรรุนแรงก็พูดมาตรงๆเลย!”
และเลขาหวังก็ไม่มีเวลาจะพูดอ้อมค้อมเขาตอบหลี่จิ่วเจียงไปตามตรง “ท่านผู้อำนวยการครับ.. มีอยู่สองเรื่อง เรื่องแรก.. มีแขกพิเศษที่ไม่มีบัตรเชิญเข้ามาในงานหกคน และได้นำเช็คจำนวนยี่สิบล้านมามอบให้เป็นของขวัญอีกด้วย..”
“อะไรนะ!ยี่สิบล้าน?!”
หลี่จิ่วเจียงได้ฟังถึงกับใจสั่นด้วยความตกใจเขาได้แต่คิดว่าตนเองนั้นหูฝาดไปหรือเปล่า
ที่หลี่จิ่วเจียงตื่นเต้นอย่างมากนั้นใช่ว่าหลี่จิ่วเจียงจะไม่เคยสัมผัสเงินจำนวนนั้น เพียงแต่เงินจำนวนมากถึงเพียงนี้ ไม่ควรปรากฏในงานเลี้ยงลักษณะนี้ต่างหาก!
“แล้วเรื่องที่สองล่ะ..!”หลี่จิ่วเจียงถามขึ้นด้วยสีหน้าเคร่งเคียด
เลขาหวังกัดริมฝีปากเล็กน้อยคล้ายลังเลใจแต่แล้วก็ตัดสินใจตอบไปว่า “คุณหนูหลี่เทียนถูกตบหน้าอยู่ที่หน้าทางเข้าห้องจัดเลี้ยงครับ..”
“อะไรนะ!”
หลี่จิ่วเจียงได้ยินก็โกรธจนหน้าดำหน้าแดงและแทบจะกระโจนจากพื้นด้วยความตกใจ แต่ถึงกระนั้นก็ถามออกมาอย่างคนมีสติ
“คุณว่ายังไงนะ!นี่ผมไม่ได้ฟังผิดใช่มั๊ย? หลี่เทียนถูกทำร้ายอีกแล้วเหรอ? แล้วก็ที่หน้าห้องจัดเลี้ยงนี่ด้วย ใครกันที่กล้าทำร้ายหลานชายของฉันแบบนี้?”
เวลานี้สีหน้าของหลี่จิ่วเจียงไม่เหลือร่องรอยแห่งความสุขอีกต่อไปแต่เปลี่ยนเป็นบึ้งตึงขึ้นมาแทน!
การทำร้ายหลานชายของเขาถึงในงานเช่นนี้ไม่เพียงเป็นการฉีกหน้าหลี่เทียน แต่ยังเป็นการไม่ไว้หน้าผู้อำนวยการอย่างเขาด้วยเช่นกัน!
ยิ่งไปกว่านั้นนี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่หลี่เทียนถูกคนทำร้าย! ผ่านมายังไม่ถึงเดือนหลี่เทียนก็ถูกทำร้ายร่างกายอย่างรุนแรงเป็นครั้งที่สองแล้ว!
เพราะเหตุใดหลี่จิ่วเจียงจึงได้ลงมาจัดการกับหลิงหยุนด้วยตัวเองอย่างนั้นหรือนั่นเพราะก่อนที่จะมีการสอบเอนทรานซ์ หลิงหยุนได้ทำร้ายร่างกายของหลี่เทียนอย่างรุนแรง ทำให้หลี่เทียนถึงกับหวาดผวา ไม่กล้าแม้แต่จะไปสอบเอนทรานซ์!
หลี่ซันเจียงและหลี่จิ่วเจียงนั้นต่างก็รับราชการด้วยกันทั้งคู่ส่วนหลี่เทียนก็เป็นลูกชายหัวแก้วหัวแหวนเพียงคนเดียวของหลี่ซันเจียง
ตั้งแต่เล็กจนโต..หลี่เทียนถูกเลี้ยงดูประคบประหงมมาอย่างดี เรียกได้ว่าลิ้นไม่ให้ไต่ไรไม่ให้ตอมก็ว่าได้ อีกทั้งยังไม่เคยถูกทำโทษ และได้รับการตามอกตามใจจนเสียคน..
แล้วหลิงหยุนกล้าดีอย่างไรจึงได้กล้าเล่นงานหลี่เทียนอย่างหนัก จนมันไม่กล้าออกนอกบ้านเกือบครึ่งเดือน!
หลี่ซันเจียงอาศัยอยู่ที่ฮู๋ตง..หลังจากที่ทราบเรื่องนี้ ก็โกรธเป็นฟืนเป็นไฟ และรีบโทรมาด่าว่าน้องชายของตนเองนานเกือบชั่วโมง!
แต่ถึงกระนั้นหลี่ซันเจียงก็ไม่ได้ถามหลี่เทียนถึงสาเหตุที่เขาถูกคนทำร้ายเพียงแต่สั่งให้หลี่จิ่วเจียงไปจัดการกับคนที่ทำร้ายร่างกายลูกชายของตนเองจนปางตายเท่านั้น!
หลังจากที่หลี่จิ่วเจียงสอบถามจนได้ความเขาจึงเลือกที่จะใช้วิธีนี้ในการจัดการกับหลิงหยุน!
คืนนี้นับเป็นวันดีวันมงคลและเหมาะที่จะจัดงานเลี้ยงฉลอง แต่งานยังไม่ทันจะเริ่ม อีกทั้งหลี่จิ่วเจียงก็ยังอยู่ในงานด้วย แต่หลี่เทียนกลับถูกทำร้ายร่างกายอีกครั้งด้วยการตบหน้า!
“ใครกันที่กล้าทำกับหลี่เทียนแบบนี้ใช่ครอบครัวของเด็กสาวที่หลี่เทียนหมายตาอยู่หรือเปล่า?!”
หลี่จิ่วเจียงกัดฟันและรู้สึกว่าตนเองกำลังโมโหจนศรีษะแทบระเบิด..
เรื่องที่หลี่เทียนต้องการครอบครองเด็กนักเรียนหญิงที่ชื่อฉีเสี่ยวชิงนั้นหลี่จิ่วเจียงเองก็รู้ดี เขาจึงได้ถามออกไปเช่นนั้น..
เลขาหวังรีบส่ายหัวพร้อมตอบกลับไปว่า“ท่านผู้อำนวยการ.. พอดีผมรีบร้อนมารายงาน ก็เลยไม่ได้สอบถามรายละเอียด แต่ก็ได้สั่งให้ชีเต๋อเปียวกลับไปเฝ้าดูที่หน้าห้องจัดเลี้ยงไว้ก่อน..”
“แต่ชีเต๋อเปียวก็เล่าให้ฟังว่ามันน่าแปลกที่ทุกคนได้ยินเสียงคุณหนูหลี่เทียนถูกตบหน้า แต่กลับไม่มีคนเห็นว่าใครเป็นผู้ลงมือ
“ห๊ะ..ว่าไงนะ!”
หลี่จิ่วเจียงได้แต่คิดในใจว่าถูกตบหน้าแต่กลับไม่มีใครเห็น เป็นผีสางหรือยังไงกัน!
“เอาล่ะ..อย่าได้กระโตกกระตากไป เดี๋ยวคุณจัดการพาคนของเราไปสักสองสามค นออกไปดูว่าเกิดอะไรขึ้นกันแน่ แล้วถ้ามีเรื่องอะไรที่คุณไม่สามารถจัดการได้ ก็รีบโทรหาผมทันที!”
หลี่จิ่วเจียงนั้นใช่ว่าจะไม่เคยพบเจอเรื่องใหญ่โตมาก่อนหลังจากตื่นเต้นตกใจเล็กน้อย เขาก็สามารถกลับเข้าสู่ความสงบได้ และได้สั่งให้เลขาหวังไปจัดการแทน..
“ครับท่านผู้อำนวยการ!”
เลขาหวังตอบกลับไปแล้วจึงกระซิบถามเสียงเบาว่า“แล้วเช็คยี่สิบล้านล่ะครับท่านผู้อำนวยการ”
“ก็รับไว้สิ!ในเมื่อมีคนใจกล้านำมาให้ ไม่มีเหตุผลที่จะไม่กล้ารับไม่ใช่รึ รับไว้.. แล้วก็จัดการเก็บเช็คใบนั้นไว้กับคุณ! เข้าใจมั๊ย?”
“ครับ..”
จากนั้นทั้งสองคนก็เดินออกจากห้องทันทีหลี่จิ่วเจียงยืนมองเลขาหวังที่เดินออกไป แต่ครั้งนี้เขาไม่สามารถหัวเราะออกมาได้..
ช่างน่าแปลกจริงๆ!
แขกภายในห้องยี่สิบกว่าคนต่างก็เห็นผู้อำนวยการหลี่กลับมาด้วยสีหน้าที่เปลี่ยนไปมากแต่ก็ไม่มีใครกล้าถามอะไร บรรยากาศในห้องก็เปลี่ยนเป็นอึมครึมขึ้นมาทันที
เสียเจิ้นติงกับกู่เหลียนเฉิงจับตามองสีหน้าของชายลึกลับทั้งสามคนและไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นกันแน่ ทั้งสองคนหันไปมองหน้าพร้อมกับครุ่นคิดอะไรบางอย่าง!
และแล้วทั้งคู่ก็เกิดลางสังหรณ์บางอย่างขึ้นพร้อมกัน!
“เอ่อ..อาจารย์ทั้งสามท่าน ผมมีเรื่องจะ..”
หลังจากที่ครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งหลี่จิ่วเจียงก็คิดว่าเรื่องที่หลี่เทียนถูกทำร้ายนั้น ควรจะต้องปรึกษากับชายทั้งสามที่ตระกูลซันเป็นผู้ส่งมา แต่ยังไม่ทันที่จะพูดจบประโยค หนึ่งในชายลึกลับทั้งสามคนก็ตอบกลับมา
“เจ้าไม่จำเป็นต้องเล่า..พวกข้ารู้หมดแล้ว ไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไร แค่บาดเจ็บระดับผิวหนังเท่านั้น..”
หลี่จิ่วเจียงถึงกับอ้าปากหวอเมื่อได้ยินสิ่งที่ชายลึกลับตอบกลับมา..
“ห๊ะ!นี่ท่าน..”
ชายลึกลับคนหนึ่งยิ้มบางก่อนจะยกมือขึ้นชี้มาที่ตัวเองและพวกเขาอีกสองคน “สิ่งที่พวกเจ้าพูด และสิ่งที่เกิดขึ้นในบริเวณชั้นห้าทั้งหมดนี้ พวกข้าต่างก็ได้ยินหมดแล้ว!”
ไม่แปลกที่ชายลึกลับทั้งสามคนจะไม่เห็นผู้อำนวยการหลี่อยู่ในสายตาเพราะจากความสามารถในการได้ยินของทั้งสามคนนั้น ดูเหมือนว่าจะอยู่ในขั้นที่ไม่ต่ำกว่าเซียงเทียน-3 อย่างแน่นอน!
“แต่เจ้าไม่ต้องกังวลใจไปตราบใดที่พวกเราสามคนอยู่ที่นี่ ไม่ว่าคืนนี้จะเกิดเรื่องอะไรขึ้น พวกเราจะจัดการให้กับเจ้าเอง!”
ในบรรดาชายลึกลับทั้งสามคนดูเหมือนว่าคนที่พูดจะเป็นหัวหน้า..
……
ไป๋เซียนเอ๋อแทบไม่รู้ว่าการที่ตนเองจัดการตบหน้าหลี่เทียนนั้นทำให้หลี่จิ่วเจียงที่อยู่ในห้องรับรองหรูหราถึงกับนั่งไม่ติด..
ภายในห้องจัดเลี้ยงขนาดใหญ่มีแขกทั้งชาย หญิง และเด็กรวมสามร้อยกว่าคน ในเมื่อมีผู้คนมารวมตัวกันมากมายเช่นนี้ จึงแทบไม่ต้องพูดถึงเสียงที่คุยกันดังสนั่นไปทั่วทั้งห้อง!
แต่เมื่อหลินเมิ่งหานและสาวงามอีกทั้งห้าคนปรากฏตัวขึ้นในห้องจัดเลี้ยง เสียงพูดคุยที่ดังหนวกหูนั่นก็เงียบลงไปทันที! เงียบจนกระทั่งว่าหากมีเข็มหล่นสักเล่มก็คงได้ยินอย่างชัดเจน และทำให้สามารถได้ยินเสียงฝนที่กระหน่ำอยู่ด้านนอกได้ชัดเจนด้วย..
แต่ความเงียบสงัดนั้นก็เกิดขึ้นอยู่เพียงแค่ยี่สิบวินาทีจากนั้นก็มีเสียงร้องอุทานดังออกมาด้วยความตกใจ!
“พระเจ้า..นี่ฉันไม่ได้ตาฝาดไปใช่มั๊ย นั่นมันหลินเมิ่งหานตำรวจหญิงของสำนักงานรักษาความมั่นคงประจำมณฑลเจียงหนานนี่ ทำไมเธอถึงมาอยู่ในงานนี้ได้ล่ะ?!”
ผู้ที่ร้องตะโกนออกมานี้ดูเหมือนจะเป็นเจ้าหน้าที่จากสำนักงานรักษาความมั่นคงอย่างแน่นอน..
“นั่น..ผู้หญิงคนนั้นก็คือเจ้าของคลินิกสามัญชน ฉันเคยพาลูกไปรักษาครั้งหนึ่ง เธอเป็นผู้ที่ลงมือรักษาให้!”
“ใช่ๆฉันก็จำได้เหมือนกัน ดูเหมือนว่าจะแซ่เหมี่ยว โอ้โห.. ทักษะทางการแพทย์ของเธอน่าอัศจรรย์มากจริงๆ!”
แน่นอนว่า..ทั้งคู่นั้นน่าจะเคยไปที่คลินิกสามัญชนมาก่อน
“ดูผู้หญิงที่ตัวสูงที่สุดนั่นสิ!นั่นน่ะเป็นลูกสาวของหัวหน้าแก๊งมังกรเขียวเชียวนะ! ดูเหมือนเธอจะชื่อหลงหวู่ นี่เธอก็มางานนี้ด้วยเหรอ”
และดูเหมือนว่าคนผู้นี้จะเคยร่วมงานกับแก๊งมังกรเขียว..
“รู้สึกว่าสาวงามทั้งหมดนี้จะเป็นผู้หญิงที่เคยไปร่วมงานพิธีเปิดคลินิกสามัญชนด้วย ว่าแต่ทำไมพวกเธอถึงมาอยู่ที่นี่ได้ล่ะ?”
เมื่อสาวงามทั้งหกคนปรากฏตัวขึ้นในห้องจัดเลี้ยงพวกเธอก็ได้กลายเป็นจุดสนใจของผู้คนในงานทันที และเวลานี้บรรยากาศภายในห้องจัดเลี้ยงดูเหมือนจะเริ่มร้อนระอุ!
ระหว่างนั้นเอง..ประตูลิฟท์ด้านนอกก็กำลังเปิดออกอย่างช้าๆ
หลิงหยุนยืนอยู่ในท่าทางที่สง่างามริมฝีปากปรากฏขยับขึ้นเป็นรอยยิ้มที่มีเลศนัย และกำลังก้าวเท้าออกมาจากลิฟท์!