บทที่ 449 ไม่ใช่เวลา

บัลลังก์พญาหงส์

​บรรยากาศภายในห้องนั้นยิ่งหนักหน่วงกว่าด้านนอกหลายเท่านัก

ถาวจวินหลันสังเกตเห็นสีหน้ากล้ำกลืนของเจียงอวี้เหลียน ดูท่าทางเจียงอวี้เหลียนเองก็รับกลิ่นเช่นนี้ไม่ได้เช่นกัน

ถาวจวินหลันเดินเข้าไปดูสถานการณ์ของหลิวซื่อ เห็นว่าหลิวซื่ออยู่ในสภาพหนังหุ้มกระดูกแล้ว ใบหน้าซีดขาวไม่น่ามอง ดวงตาทั้งสองข้างปิดสนิท หายใจรวยริน หากมองผ่านๆ กลับเหมือนคนตายมากกว่าคนเป็น

ถาวจวินหลันมองแล้วใจไม่ดี จึงรีบหันหน้าไปถามบ่าวรับใช้ “ชายาเอกเป็นอย่างนี้มานานเท่าไรแล้ว? ป่วยมาแล้วกี่วัน? ทำไมรอให้เป็นหนักแล้วถึงเพิ่งมารายงาน?”

นางรู้ดีว่าอาการป่วยขนาดได้ไม่ได้เพิ่งเกิดแค่วันสองวัน หลิวซื่อน่าจะป่วยมานานหลายวันแล้ว

บ่าวรับใช้ใจฝ่อเล็กน้อย ลังเลอยู่ครู่หนึ่งก็นั่งคุกเข่าลงไปอย่างแรง “ชายาเอกเป็นอย่างนี้มาสี่ห้าวันแล้วเจ้าค่ะ แต่ก่อนหน้านี้ไม่ได้รุนแรงขนาดนี้เจ้าค่ะ อีกทั้งชายาเอกก็ตั้งใจปิดบังเอาไว้ ไม่ยอมดื่มยาถึงได้อาการหนักเช่นนี้เจ้าค่ะ เป็นบ่าวเองที่ไม่ปรนนิบัติให้รอบคอบ ขอชายารองโปรดลงโทษด้วยเถิดเจ้าค่ะ”

ถาวจวินหลันมองบ่าวรับใช้ที่นั่งลงไปคุกเข่ากับพื้นนิ่ง นางเข้าใจเป็นอย่างดี เกรงว่าบ่าวรับใช้คงคิดจะใช้โอกาสนี้หนีไปจากเบื้องหน้าหลิวซื่อ ก็ถูก อารมณ์ของหลิวซื่อไม่มั่นคง แล้วยังถูกกักบริเวณ ปรนนิบัตินางแล้วจะมีอนาคตอะไร? ไม่อยากอยู่ต่อก็ถือว่าสมเหตุสมผล

แต่บ่าวรับใช้ก็พูดถูกเป็นอย่างมาก เพราะพวกนางปรนนิบัติไม่รอบคอบ อาการป่วยของหลิวซื่อถึงหนักเช่นนี้  ถาวจวินหลันจึงแค่นหัวเราะ พลางสั่งเนิบๆ ว่า “ในเมื่อเจ้ารู้ตัวว่าผิด ก็จะทำโทษสถานเบา โบยตีและหักเงินเบี้ยเลี้ยงช่างเถิด ตั้งแต่วันนี้ไปก็ไปทำความสะอาดห้องน้ำเสีย”

เมื่อคำพูดนี้หลุดออกไป บ่าวรับใช้คนนั้นก็เงยหน้ามองถาวจวินหลันอย่างตื่นตะลึง

ถาวจวินหลันเห็นอย่างชัดเจน ในใจยิ่งรู้สึกเย็นเยียบ แม้ว่าการปรนนิบัติหลิวซื่อจะไม่มีอนาคต และก็ไม่ใช่หน้าที่ที่ดีมาก แต่ก็ไม่สามารถประมาทเลินเล่อหรือชะล่าใจว่าไม่มีอะไรเกิดขึ้นได้ หากทุกคนเป็นเช่นนี้ ทุกคนก็คงพากันไปทำงานสบายๆ มีอนาคตเหล่านั้นกันหมดแล้ว? แล้วงานอย่างอื่นจะทำอย่างไร?

โดยเฉพาะจิตใจที่คิดวางแผนเช่นนี้ ก็ยิ่งไม่มีทางละเลยไปได้ มิเช่นนั้นก็ไม่ต้องมีกฎเกณฑ์กันพอดี แล้วอย่างนี้จะดูแลความเรียบร้อยในจวนได้อย่างไร? แค่บ่าวรับใช้ไม่กี่คนก็ทำให้เรื่องในจวนพลิกจากหน้ามือเป็นหลังมือได้!

ดังนั้นพอเห็นบ่าวรับใช้ขอร้อง ถาวจวินหลันจึงเบือนหน้าหนีไม่สนใจ

เมื่อเห็นว่าขอร้องถาวจวินหลันไปก็ไม่เกิดผล บ่าวคนนั้นจึงมองไปยังเจียงอวี้เหลียน ร้องไห้พลางพูดว่า “ชายารองเจียงได้โปรดให้อภัยบ่าวด้วยเถิดเจ้าค่ะ! บ่าวผิดไปแล้ว!”

เจียงอวี้เหลียนเบนหน้ามองถาวจวินหลัน หรี่ตามอง ยิ้มพลางส่ายหน้า “ข้าไม่กล้าขอร้องแทนเจ้าหรอก เจ้าทำผิด ชายารองถาวทำโทษเจ้าก็ถือว่าสมควรแล้ว”

บ่าวคนนั้นหน้าซีดเหมือนคนตาย แม้แต่นั่งคุกเข่าก็ยังนั่งไม่ไหว หมอบลงไปนอนร้องไห้กับพื้น

เจียงอวี้เหลียนเห็นว่าถาวจวินหลันไม่มีปฏิกิริยาแม้แต่น้อย ท่าทีเพิกเฉยดูดาย จึงรู้สึกว่าใจกระตุกวูบ ยิ้มพลางพูดว่า “เจ้าไม่มีผลงานดีแต่ก็ทำงานเหน็ดเหนื่อย อย่างไรก็ปรนนิบัติชายาเอกมานาน แม้ว่าจะเป็นชายาเอกก็คงไม่ยินยอมลงโทษเจ้าเช่นนี้ เอาอย่างนี้ก็แล้วกัน ไม่ลงโทษเจ้าให้ไปทำความสะอาดห้องน้ำก็แล้วกัน ลงโทษให้เจ้าไปเป็นบ่าวชั้นต่ำในสวนแทน”

ถาวจวินหลันได้ยินเช่นนั้นก็มองไปทางเจียงอวี้เหลียนวูบหนึ่ง กลับสบเข้ากับสายตาของเจียงอวี้เหลียนที่ทอดมองมาพอดี ดวงตาทั้งสองคู่สบกัน รอยยิ้มของเจียงอวี้เหลียนยิ่งกว้างขึ้นสองส่วน แววตานั้นแฝงไว้ด้วยท่าทีหาเรื่อง แล้วเจียงอวี้เหลียนยังพูดเสียงอ่อนโยนด้วยว่า “ชายารองถาว ท่านว่าจริงหรือไม่?”

ถาวจวินหลันไม่หลบหลีก เพียงแค่ยิ้มและส่ายหน้าพูดอย่างหนักแน่นว่า “การปรนนิบัติเจ้านายเป็นเรื่องสมเหตุสมผล มิเช่นนั้นข้าจะเลี้ยงพวกนางเอาไว้ทำไมกัน? หากทุกคนทำผิดแล้วพูดแก้ตัวเช่นนี้เหมือนกัน แล้วจะเชือดไก่ให้ลิงดูได้อย่างไร? กฎเกณฑ์ที่กำหนดเอาไว้คงไร้ประโยชน์มิใช่หรืออย่างไร? หากเป็นเรื่องอื่นก็แล้วไป ข้าเองจะไว้หน้าเจ้าบ้าง แต่เรื่องนี้กลับปล่อยไปไม่ได้ ชายาเอกป่วยถึงเพียงนี้ จะโบยตีพวกนางจนตายก็ยังไม่เกินไป!”

คำพูดของถาวจวินหลันดูโหดเ**้ยม แต่กลับผิดจากสิ่งที่เจียงอวี้เหลียนคิดเป็นอย่างมาก ในความเป็นจริงแล้ว นางคิดว่าถาวจวินหลันจะยินยอมลงโทษสถานเบา เพื่อรักษาสถานะภาพลักษณ์ของตนเองเอาไว้ เพราะอย่างไรแล้วจะมีใครไม่รู้บ้างว่าถาวจวินหลันโด่งดังในแง่จิตใจงดงาม? แต่คิดไม่ถึงว่า…

แต่เดิมนางคิดอยากจะฉวยโอกาสนี้ทำให้ถาวจวินหลันไม่พอใจและดูเป็นคนพูดจากลับกลอก แต่ใครจะรู้ว่าสุดท้ายแล้วคนที่ไม่พอใจและเสียหน้ากลับเป็นตัวนางเอง

เมื่อคิดว่าหน้าตาของตัวเองนั้นถูกกวาดไปเสียหมดสิ้น ใบหน้าของเจียงอวี้เหลียนก็แดงก่ำด้วยความโมโห เมื่อคิดไปแล้วนางก็ต้องหัวเราะออกมา แต่เพราะไม่ทันได้ควบคุมอารมณ์ให้ดี เสียงจึงฟังดูแหลมสูง “โอ้ ชายารองถาวนี่เป็นอะไรไป? ปกติแล้วออกจะมีจิตใจเมตตามิใช่หรือ? ทำไมวันนี้ถึง…”

จุดประสงค์ที่พูดเช่นนี้ เพื่อเป็นการเยาะเย้ยถาวจวินหลัน  แล้วยังต้องการทำลายภาพลักษณ์ของนางอีกด้วย

ถาวจวินหลันย่อมรู้ว่าเจียงอวี้เหลียนกำลังโจมตีนาง หาว่า่าเจียงอวี้เหลียนกำลังโจมตีว่าปนางเสแสร้งแกล้งทำเป็นมีเมตตา แต่ความจริงแล้วเป็นคนโหดเ**้ยมไร้เยื่อใย นางหัวเราะออกมา สีหน้าไม่เปลี่ยนแปลง “มีเมตตาก็เป็นอีกเรื่องหนึ่ง แต่กฎเกณฑ์ก็เป็นอีกเรื่องหนึ่ง คงไม่ใช่เพราะข้าใจดีแล้วจะปล่อยความผิดของพวกนางทุกครั้งได้! เจ้าเองก็ดูสภาพของชายาเอกซีว่าเป็นอย่างไร? ข้าจะทนใจดีต่อไปได้อย่างไร? กลับเป็นชายารองเจียงต่างหาก ตอนที่ดูแลจวนก็พูดง่าย มีเมตตามิใช่หรืออย่างไร?”

คำพูดนี้เหมือนตอกหน้ากลับ ทำให้เจียงอวี้เหลียนพูดอะไรไม่ออกแม้แต่น้อย

ถาวจวินหลันเห็นเช่นนั้นก็เม้มปาก แล้วสั่งให้คนลากบ่าวคนนั้นออกไป สุดท้ายแล้วเจียงอวี้เหลียนก็ยังไม่ได้เผชิญโลกมามาก ฝีมือยังอ่อนหัดนัก ดูไร้ฝีมือและไม่อาจะทนมองได้แม้แต่น้อย

พูดตามตรงแล้ว นางยังคำนึงถึงภาพลักษณ์ที่ไหนกัน? ขอแค่เพียงจัดการดูแลจวนตวนชินอ๋องให้ดี ขอเพียงแค่ทุกคนเชื่อฟังไม่ก่อความวุ่นวาย นั่นก็ดีกว่าอะไรอื่นแล้วมิใช่หรือ? อีกอย่างหนึ่ง นางทำเช่นนี้ถือว่าโหดร้ายที่ไหน? ช่วงปีใหม่หรืองานเทศกาล นางก็ให้สิ่งของและตบรางวัลให้มากกว่าจวนอื่นเล็กน้อย ถ้าเรื่องเหล่านี้ทำให้นางลงโทษบ่าวไม่ได้เลย อย่างนั้นไม่สู้ให้อาหารสุนัขดีกว่าหรือ?

เจียงอวี้เหลียนยืนอยู่ข้างๆ อย่างนิ่งเงียบขลาดกลัว พูดไปก็ไร้ประโยชน์ ตอนนี้หลิวซื่อยังสลบไม่ได้สติ หลี่เย่เองก็ไม่ได้มา ภายในห้องนอกจากบ่าวรับใช้สองสามคนก็เป็นถาวจวินหลัน ไม่สู้เงียบไว้จะดีกว่า

ถาวจวินหลันเองก็ไม่ได้สนใจเจียงอวี้เหลียน ยังคงให้คนไปเปิดหน้าต่างระบายอากาศ จากนั้นก็นั่งรอหมอหลวงอยู่ข้างหน้าต่าง ไม่มีทางอื่นแล้ว หลิวซื่อเป็นถึงขนาดนี้ นางคงไปไหนไม่ได้ อย่างน้อยก็ต้องรอให้หมอหลวงมาตรวจก่อนถึงจะทำอะไรต่อได้ หากสถานการณ์รุนแรง ก็คงต้องยอมเหน็ดเหนื่อยมาที่นี่หลายวันหน่อย

ส่วนเหตุผลที่นั่งข้างหน้าต่าง ก็เพราะมีเพียงบริเวณนี้เท่านั้นที่กลิ่นจางอยู่บ้าง

พูดตามความจริงแล้ว กลิ่นนี้ไม่รู้ว่ามีที่มาจากตรงไหน ตามหลักการแล้วหากห้องไม่ได้ระบายอากาศแต่ก็ได้รับแสงแดดทุกวัน ไฉนเลยจะเป็นเช่นนี้ได้?

“อาการป่วยของชายาเอกนอกจากวันนี้แล้ว ปกติยังมีอาการอะไรอีกหรือไม่?” ถาวจวินหลันกวักมือเรียกบ่าวรับใช้คนหนึ่งมาถาม กดเสียงลงต่ำ “หรือจะบอกว่าปกติแล้วพวกเจ้าก็ไม่ทำความสะอาดห้อง?”

“พวกบ่าวทำความสะอาดทุกวันเจ้าค่ะ” บ่าวรับใช้คนนั้นตอบกลับมา น้ำเสียงยิ่งกดต่ำลง “ไม่รู้ว่ากลิ่นนี้มาจากที่ไหนเจ้าค่ะ รมกลิ่นหอมก็แล้วก็ยังกลบไม่ได้ มีคนแอบพูดว่าเป็นกลิ่นจากตัวชายาเอกเจ้าค่ะ”

ถาวจวินหลันขมวดคิ้ว “กลิ่นนี้เริ่มมีมาตั้งแต่เมื่อไรกัน?”

“ช่วงสองสามวันนี้จู่ๆ ก็มีกลิ่นแรงเจ้าค่ะ” บ่าวรับใช้คนนั้นตอบ ครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งก็พูดอย่างเด็ดเดี่ยวว่า “ตั้งแต่อาการป่วยของชายาเอกเริ่มแย่ลง กลิ่นนี้ก็เริ่มแรงขึ้นเจ้าค่ะ”

ถาวจวินหลันมองไปทางเตียง เห็นหลิวซื่อนอนอยู่ในผ้าห่มที่สูงพะเนินจนแทบมองไม่เห็นว่ามีคนนอนอยู่ นางก็สะอึกไปเล็กน้อย สุดท้ายก็ส่ายหัวไม่ได้ถามอะไรต่อไป “เจ้าถอยไปเถิด หมอหลวงมาถึงก็รีบเชิญเข้ามาเสีย”

ไม่ใช่ว่านางไม่อยากรู้ว่ากลิ่นนี้มาจากที่ไหน แต่ตอนนี้หลิวซื่อเป็นเช่นนี้แล้ว นางเองก็ไม่อยากทรมานต่อไป ไม่ว่าอย่างไรรอจนหมอหลวงมา ทุกอย่างก็จะกระจ่างชัดเอง

ในที่สุดหมอหลวงก็มาถึง ถาวจวินหลันแทบจะผุดลุกผุดยืนออกไปต้อนรับ ในขณะเดียวกันก็เห็นท่าทีของหมอหลวงที่ขมวดคิ้วอย่างกะทันหันอย่างชัดเจน

เห็นได้ชัดว่าหมอหลวงก็ได้กลิ่นนี้เช่นเดียวกัน

ถาวจวินหลันลอบถอนหายใจ และรู้สึกประหม่าเล็กน้อย แต่ก็ยังแสดงท่าทีสงบนิ่งออกไปต้อนรับและพูดว่า “ขอเชิญหมอหลวงรีบตรวจอาการชายาเอกด้วยเถิด ชายาเอกสลบไปครู่หนึ่งแล้ว ไม่รู้ว่ารุนแรงเพียงใด”

ที่จริงแล้วหลิวซื่อมีหมอหลวงมาตรวจอาการจับชีพจรเป็นประจำ แต่เพราะช่วงนี้มีโรคระบาด ถึงได้หยุดพักไป ใครจะรู้ว่าฉับพลันอาการป่วยก็จะทรุดลงจนเป็นเช่นนี้

พูดไปแล้ว ถาวจวินหลันก็ยังรู้สึกอึดอัดใจ ก่อนหน้านี้แม้จะบอกว่าสุขภาพของหลิวซื่อไม่ดีมาโดยตลอด มีอาการเจ็บออดๆ แอดๆ แต่ก็ไม่ได้มีผลกระทบถึงชีวิต ครั้งนี้ทำไมดูแล้วถึงได้น่ากลัวเพียงนี้?

เมื่อหมอหลวงได้ยินว่าสลบไประยะเวลาหนึ่งแล้ว ก็ตกใจทันที แม้แต่ประโยคตามมารยาทก็ยังไม่กล้าพูดให้มากความ รีบก้าวเข้าไปตรวจชีพจรให้หลิวซื่อ

มือของหมอหลวงเพิ่งวางลงไป ฉับพลันนั้นก็ขมวดคิ้วมุ่น ชีพจรของหลิวซื่ออ่อนแรงไปมาก จนกระทั่งเหมือนจะตายได้ตลอดเวลา

นี่อันตรายเป็นอย่างมาก

แต่อาศัยเพียงการจับชีพจรนั้นไม่สามารถตรวจพบอาการป่วยที่แน่นอนได้ หมอหลวงจึงมองสีหน้าของหลิวซื่อ

ถาวจวินหลันจึงให้บ่าวรับใช้ม้วนม่านขึ้นไป

หมอหลวงมองอยู่ครู่หนึ่ง และก็จับชีพจรอย่างละเอียดอีกทีหนึ่ง สุดท้ายแล้วก็ซักถามอาการป่วย ไม่รู้ว่าอยู่ๆ คิดอะไรขึ้นมาได้ สีหน้าถึงดูไม่ดีไปทันที

ถาวจวินหลันเห็นเช่นนั้น ก็รู้สึกใจกระตุกวูบ หรือว่าหลิวซื่อจะไม่ดีแล้ว?

พูดตามความจริง นางไม่ยินยอมให้หลิวซื่อเป็นอะไรไป อย่างแรกเพราะไม่ยอมให้หลี่เย่แต่งชายาเอกคนใหม่เข้ามา อย่างที่สองเพราะตอนนี้จวนตวนชินอ๋องไม่ควรเกิดเรื่องอะไรขึ้นอีก

จวนตวนชินอ๋องโดดเด่นมากพอแล้ว หากหลิวซื่อเป็นอะไรไปอีก หลังจากนางเสียชีวิตแล้ว สถานการณ์ของจวนตวนชินอ๋องจะต้องถูกคนขุดขึ้นมาพูดเป็นแน่ แม้ว่านั่นไม่ใช่ความผิดของหลี่เย่ แต่เพราะคนได้ตายไปแล้ว ก็ไม่มีใครไปหาเรื่องหลิวซื่ออีกแล้วไม่ใช่หรืออย่างไร?

อีกอย่างนางยิ่งรู้อย่างแน่ชัดว่า ฮองเฮาคงไม่ปล่อยเรื่องนี้ไป หากหลิวซื่อเสียชีวิตไปในเวลานี้จริง ตนเองก็คงหนีจากการถูกหาเรื่องหาราวไม่พ้น อย่างไรหลิวซื่อก็เป็นถึงชายาเอก แม้ว่านางจะสูงส่งเพียงใด แต่ก็ไม่สามารถเทียบหลิวซื่อได้ ถึงตอนนั้นถูกโทษว่าไม่เคารพชายาเอก ความพยายามทั้งหมดที่นางทำไป ไม่ว่าจะชื่อเสียงดีเพียงใดก็ถือว่าสิ้นเปลืองทั้งนั้น

เมื่อคิดเช่นนี้ และบวกกับอาการที่ร้อนอบอ้าว ฝ่ามือของถาวจวินหลันก็เต็มไปด้วยเหงื่อเย็นทันที