ครู่ต่อมาหั่วอวิ๋นก็กลับมาบอกพวกเขาว่าเครื่องบินตรวจสภาพเรียบร้อยแล้ว พร้อมออกเดินทางได้ทันทีที่ต้องการ ลู่หลีมองหน้าเฉียวเหลียง เฉียวเหลียงพยักหน้าตอบ แล้วอุ้มถังซีขึ้นจากเตียง เดินออกไปจากห้องพักผู้ป่วย ลู่หลีเดินตามหลัง เขาหันกลับมามองหั่วอวิ๋น สั่งเสียงเรียบว่า “คุณสองคนอยู่ที่นี่ ดูแลเก็บกวาดเรื่องวันนี้ให้เรียบร้อย ไม่ต้องตามเรากลับปารีส”
“ไม่นะ!” หั่วอวิ๋นมองตามหลังเฉียวเหลียง เม้มริมฝีปาก แล้วกล่าวว่า “คุณเซียวบาดเจ็บเพราะปกป้องคุณเฉียว ฉันควรตามไปดูแลเธอ คุณเฉียวมีธุระยุ่งเกินกว่าจะอยู่ดูแลเธอได้ตลอดเวลา เราผลัดกันอยู่เฝ้าคุณเซียวก็ได้ จริงไหมคะ”
เมื่อได้ยินดังนี้ ดวงตาลู่หลีก็ฉายแววประหลาดใจ เขาเลิกคิ้วขึ้น มองหน้าหั่วอวิ๋น ถามยิ้มๆ ว่า “คิดอย่างนั้นเหรอ”
หั่วอวิ๋นชะงักไปครู่หนึ่ง แล้วพยักหน้า “แน่นอนค่ะ โปรดเชื่อใจฉันเถอะ!”
ลู่หลียิ้ม แล้วกล่าวว่า “ก็ได้ ถ้าอย่างนั้นเธอตามไปกับเรา” เขาหันไปมองเฟิงหวา สั่งว่า “เฟิงหวา คุณอยู่ที่นี่ จัดการเรื่องทางนี้ให้เรียบร้อย”
…
ที่ปารีส
ฉู่หลิงพยายามโทรถึงถังซี แต่ติดต่อไม่ได้เลย มีคนรับสายเมื่อเขาโทรถึงเธอเป็นครั้งที่ห้า เขาฉุนขาด ตะโกนใส่โทรศัพท์ว่า “เซียวโหรว! นี่มันเรื่องบ้าอะไรกัน! คุณจะไปดูสถานที่จัดโชว์หรือเปล่า! คุณบอกไม่ใช่หรือว่าจะไปดูสถานที่จัดงานกับผมบ่ายวันนี้ นี่มันกี่โมงแล้ว จะมืดอยู่แล้ว! ไปดูกันตอนนี้จะมองเห็นอะไร”
เฉียวเหลียงนิ่วหน้า ดวงตาเป็นประกายเยียบเย็น กล่าวว่า “พรุ่งนี้ผมจะไปสำรวจสถานที่จัดงานกับคุณเอง”
ฉู่หลิงประหลาดใจที่ได้ยินเสียงเฉียวเหลียง “ผมคิดอยู่แล้วเชียว ว่าแม่สาวน้อยนั่นต้องอยู่กับคุณแน่ เดาไม่ผิดจริงๆ”
เฉียวเหลียงกำโทรศัพท์แน่น ดวงตาหรี่ลงเมื่อถามว่า “เธอเป็นห่วงผมใช่ไหม”
“ใช่ เธอเป็นห่วงคุณมากหลังจากที่รู้ว่ามีจลาจลที่โพรวองซ์ ผมถามแล้วว่าเธอจะไปตามหาคุณหรือเปล่า เธอบอกว่าไม่ไป แต่สุดท้ายก็ไปหาคุณที่โพรวองซ์จนได้” ฉู่หลิงเดินไปที่หน้าต่าง มองออกไปยังท้องฟ้ายามราตรีของปารีส เขากล่าวยิ้มๆ ว่า “เฉียวเหลียง บางทีผมก็อิจฉาพวกคุณจริงๆ คุณสามคนมีผู้หญิงที่รัก และมีความสัมพันธ์ต่อกันฉันพี่น้อง การมีคนคอยห่วงใยเวลาที่คุณไปอยู่ไกลบ้านนี่มันช่าง…”
“ผมจะช่วยบอกพ่อคุณให้เอง ว่าคุณอยู่ที่ไหน” เฉียวเหลียงกล่าว ด้วยสีหน้าเรียบสนิท
ฉู่หลิงแทบจะมองเห็นสีหน้าร้ายกาจของเฉียวเหลียงลอยอยู่ตรงหน้า เขากะพริบตาถี่ๆ แสยะยิ้ม แล้วกล่าวว่า “เฮ้ พี่ชาย ขอร้องล่ะ! อย่าพูดเรื่องหยาบคายในค่ำคืนอันสวยงามอย่างนี้! ผมยอมตาย ดีกว่าจะโดนพ่อลากตัวกลับบ้านไปเผชิญหน้ากับแม่เลี้ยงทั้งสิบสอง!”
“แต่แม่เลี้ยงทั้งสิบสองก็รักใคร่เอ็นดูคุณมากนะ” เฉียวเหลียงยืนกอดอก มองทิวทัศน์ภายนอกหน้าต่าง กล่าวยิ้มๆ ว่า “ถ้าคุณกล้าปากดีจิกกัดเซียวโหรวอีกละก็ ผมคงไม่มีทางเลือกอื่น นอกจากจะให้พ่อคุณมาลากตัวคุณกลับบ้าน ไปให้แม่เลี้ยงทั้งสิบสองช่วยกันดูแลเสียให้เข็ด!”
“นี่เกิดอุบัติเหตุขึ้นกับเซียวโหรวหรือเปล่า” จู่ๆ เขาก็เกิดรู้สึกขึ้นมาว่าอาจจะเกิดเหตุร้ายกับเซียวโหรว ไม่อย่างนั้นเฉียวเหลียงคงไม่อารมณ์เสียจนถึงกับขู่เขาด้วยเรื่องแม่เลี้ยงทั้งสิบสอง
เฉียวเหลียงหันไปมองถังซีซึ่งนอนนิ่งสนิทอยู่บนเตียง หรี่ตาลงและกล่าวเสียงเยือกเย็นว่า “คุณควรอธิษฐานขอให้เธอสามารถรับโทรศัพท์คุณได้ด้วยตัวเองภายในเช้าวันพรุ่งนี้ ไม่อย่างนั้นผมจะจับคุณส่งกลับบ้านพรุ่งนี้บ่าย และ…”
“นี่คุณอยู่ที่ไหน” ฉู่หลิงรีบขัดคอเฉียวเหลียงเพราะไม่อยากได้ยินเรื่องแม่เลี้ยงทั้งสิบสองอีก เขาถามต่อด้วยน้ำเสียงกังวลว่า “เกิดอุบัติเหตุขึ้นกับเธอตั้งแต่เมื่อไร” แต่เฉียวเหลียงวางสายไปแล้ว ฉู่หลิงจ้องโทรศัพท์ในมือ สบถออกมา แล้วต่อสายโทรศัพท์ ออกคำสั่งว่า “หาพิกัดของเบอร์โทรศัพท์นี้ให้ด้วย!”
อีกยี่สิบนาทีต่อมา โทรศัพท์ของฉู่หลิงก็ดังขึ้น เขารับสาย เมื่อทางปลายสายบอกที่อยู่ให้ เขาก็รีบขับรถตรงไปยังจุดหมายทันที หากเป็นยามปกติจะต้องใช้เวลาประมาณหนึ่งชั่วโมงจึงจะถึงที่หมายแห่งนี้ แต่เขาขับรถมาถึงได้ภายในเวลาเพียงสามสิบนาที อย่างไรก็ตามเขากลับนั่งลังเลอยู่ในรถ เมื่อเดินทางมาถึงจุดหมายในที่สุด
ถ้าเขารีบขึ้นไปข้างบนบ้าน เฉียวเหลียงคงซ้อมเขาเป็นกระสอบทรายแน่ บางทีเขาน่าจะรอจนกว่าจะถึงพรุ่งนี้เช้า แต่เขาใจร้อนอยากรู้ตอนนี้เลยว่าเธอเป็นอย่างไรบ้าง…
ถึงแม้เขาจะไม่ได้ตั้งใจส่งเธอไปโพรวองซ์ และไม่คาดคิดว่าเธอจะไปโพรวองซ์จริงๆ แต่เธอก็ได้รับบาดเจ็บเพราะสิ่งที่เขาบอกกับเธอ… ถึงที่สุดแล้ว แม้ว่าเธอจะไม่ได้รับบาดเจ็บเพราะคำพูดของเขา แต่เขาก็ต้องมาเยี่ยมเธออยู่ดี เพราะเธอช่วยชีวิตเขาไว้!
เมื่อคิดเช่นนี้ ฉู่หลิงก็รีบเปิดประตูรถ กระโดดลงจากรถอย่างรวดเร็ว แต่แล้วก็หยุดชะงักหลังจากเดินไปได้สองก้าว เขาปลอบตัวเองว่า “ฉู่หลิง ใจเย็นๆ ถ้านายขึ้นไปข้างบนตอนนี้ เฉียวเหลียงต้องเห็นนายเป็นกระสอบทราย ซ้อมนายจนน่วม นายต้องไม่อยากเป็นอย่างนั้นแน่ จริงไหม ถึงตอนนี้ก็ยังไม่สายที่จะเปลี่ยนใจ ไว้ขึ้นไปข้างบนพรุ่งนี้เช้านะ…”
…
เช้าวันรุ่งขึ้น ฉู่หลิงพร้อมด้วยถุงใต้ตาอันดำคล้ำก็ขึ้นไปชั้นบนและเคาะประตู เฉียวเหลียงเปิดประตูออกมา เห็นฉู่หลิงยืนอยู่ สารรูปดูแทบไม่ได้ เขาขมวดคิ้วแล้วเดินกลับเข้าไปในห้อง ฉู่หลิงผู้ซึ่งในเวลาปกติดูเย่อหยิ่งและไม่สนใจโลก แต่ตอนนี้ไม่แทบไม่มีมาดอีกต่อไป เขาวิ่งเข้าไปล้างหน้าในห้องน้ำ เมื่อกลับออกมาก็จ้องหน้าเฉียวเหลียง ถามว่า “เธอเป็นยังไงบ้าง ฟื้นหรือยัง”
เฉียวเหลียงไม่ตอบ เมื่อเห็นอย่างนั้นฉู่หลิงก็เกือบจะทรุดลงไปกองกับพื้น เขามองเฉียวเหลียงพลางวิงวอนโหยหวน “ญาติที่รัก! ขอร้องล่ะ! อย่าบอกพ่อเลยนะว่าผมอยู่ที่ไหน! ผมต้องไม่ได้ผุดได้เกิดแน่ ถ้าพ่อหาผมเจอ! จริงๆ แล้วเรื่องนี้ผมก็ไม่ได้ตั้งใจ…”
“ผมไม่ได้เป็นญาติคุณ!” เฉียวเหลียงคำราม จ้องหน้าฉู่หลิงด้วยสายตาเย็นชา
ฉู่หลิงรู้สึกโล่งอกที่อย่างน้อยเฉียวเหลียงก็ไม่ได้เมินเฉยใส่เขา จึงรีบกล่าวต่อไป “ครอบครัวทางฝ่ายคุณย่าผมก็แซ่เฉียว ไม่น่ามีปัญหาถ้าผมจะนับคุณเป็นลูกพี่ลูกน้อง ถึงคุณจะไม่ยอมไว้หน้าผม ก็ควรจะเห็นแก่หน้าคุณย่าผมบ้าง ในที่สุดผมก็หนีออกจากกรงมาได้สำเร็จ คุณจะใจร้ายจับผมส่งกลับไปได้ยังไง!”
เฉียวเหลียงยังมองหน้าฉู่หลิงนิ่งอยู่ ฉู่หลิงจึงอ้อนวอนต่อไป “ได้โปรดเถอะนะ บอกมาเลยว่าอยากให้ผมทำอะไร สัญญาว่าผมจะทำให้ทุกอย่าง!”
“ให้ผมยืมเครือข่ายข่าวกรองในแอฟริกาของคุณใช้เป็นเวลาสามปี” เฉียวเหลียงมองหน้าฉู่หลิง และกล่าวด้วยสีหน้านิ่งสนิท “หรือไม่ก็ คุณต้องทำงานให้เดอะควีนเป็นเวลาห้าปี แทนที่จะเป็นแค่สองปี คุณจะเลือกอย่างไหน”
“ผมขอเลือกกลับบ้าน ไปเลียแข้งเลียขาพ่อ!” ฉู่หลิงเชิดคาง กล่าวอย่างหยิ่งยะโส
เฉียวเหลียงพยักหน้ากล่าวว่า “ดีมาก ผมชอบตัวเลือกของคุณ” แล้วหยิบโทรศัพท์มือถือออกมา กดเบอร์โทรออก เมื่อเห็นเช่นนั้นฉู่หลิงรีบพุ่งเข้ามา คุกเข่าลงกอดขาเฉียวเหลียง “ญาติสุดที่รัก! อย่าใจร้ายกับผมเลย! เราคุยกันก่อนนะ! อีกปีหนึ่ง! ผมจะทำงานให้เดอะควีนสามปี ตกลงไหม”