บทที่ 27 ที่ตรงนี้มองเห็นทุกอย่าง

Lady to Queen บัลลังก์แค้นจักรพรรดินี

บทที่ 27 ที่ตรงนี้มองเห็นทุกอย่าง Ink Stone_Romance

ถ้าไสม้าให้วิ่งเร็วๆ จะให้ความรู้สึกเหมือนวิ่งนำลม ยิ่งม้าวิ่งเร็วมากเท่าไร ลมก็ยิ่งปะทะแรงขึ้นเท่านั้น แพทริเซียรู้สึกดีกับความรู้สึกยามที่ลมปะทะใบหน้า ยิ่งนางขยับตัวมากเท่าไร เหงื่อก็ยิ่งออกที่หน้าผาก ลมเย็นๆ ทำให้เหงื่อนั้นแห้งไป แพทริเซียยิ้มอย่างพึงใจก่อนจะดึงบังเหียนม้าให้กระชับมือมากขึ้น

“ย่าห์!”

แพทริเซียตัวสั่นโคลงรุนแรงราวกับจะตกจากหลังม้า แต่ถึงกระนั้นมันก็ยังทำให้นางรู้สึกดี หญิงสาวชอบความรู้สึกหวาดเสียวและความตื่นเต้นยามที่อยู่ในสภาพไม่มั่งคงระหว่างความปลอดภัยและความเสี่ยงจะตกจากหลังม้า

“หยุด หยุดดด”

แพทริเซียหยุดม้าเมื่อเข้าป่ามาลึกประมาณหนึ่งแล้ว ลมหายใจเหนื่อยหอบออกมาจากปากของนางที่ขี่ม้ามาไกล ร่างบางปรับลมหายใจอยู่ครู่ใหญ่ก่อนจะเริ่มจัดทรงผมที่กระเซอะกระเซิงให้เรียบร้อย หลังใช้ผ้าเช็ดหน้าซับเหงื่อแล้ว นางก็เริ่มล่าสัตว์อย่างจริงจัง แม้ว่ายามปกตินางจะไม่นิยมการพรากชีวิตสัตว์ แต่นางก็ควรจะจับกระต่ายให้ได้สักตัว อย่างน้อยก็เพื่อรักษาบารมีของจักรพรรดินีเอาไว้

แพทริเซียดึงลูกธนูออกมาจากกระบอกก่อนจะเริ่มหาเหยื่อ ในตอนนั้นเอง นางได้ยินเสียงหญ้าในป่ากระเพื่อมคล้ายมีบางอย่างขยับ เหยื่อหรือ? แพทริเซียยิ้มมุมปากอย่างลิงโลดก่อนจะดึงบังเหียนม้าอีกครั้ง

ครั้นค่อยๆ บังคับม้าให้เดินหน้า แพทริเซียก็เห็นกวางตัวหนึ่งอยู่ที่อีกฝั่ง แพทริเซียรีบขึ้นธนูและง้างสาย นางกลั้นหายใจรอจังหวะดีๆ และเมื่อโอกาสมาถึง นางก็ปล่อยสายธนูอย่างไม่ลังเล

-ฉึก

-ฉึก

เข้าเป้า! ทว่าธนูที่เข้าเป้าไม่ได้มีเพียงหนึ่ง แต่เป็นสอง แพทริเซียควบม้าไปทางที่กวางนอนอยู่ด้วยสีหน้าตกตะลึง มีธนูของคนอื่นปักอยู่บนกวางพร้อมๆ กับธนูของนาง มีใครบางคนยิงธนูใส่เหยื่อที่นางหมายตา แพทริเซียสงสัยว่าคนผู้นั้นเป็นใคร ทันใดนั้นสีหน้าของนางก็แปรเปลี่ยนเป็นบึ้งตึงเมื่อเห็นหางธนูที่คุ้นตา

“อยู่ตรงนี้มองเห็นทุกอย่างเลยทีเดียว”

“ฝ่าบาท”

ลูซิโอ ผู้ชายคนนี้อีกแล้ว แพทริเซียถอนหายใจในใจ ทำไมนางถึงต้องมาเจอผู้ชายคนนี้ในสนามล่าสัตว์ที่แสนจะกว้างใหญ่เช่นนี้ มิหนำซ้ำทั้งสองคนยังหมายตาเหยื่อตัวเดียวกันอีก ท่าทางบุพเพอาละวาดของนางกับเขาจะไม่มีที่สิ้นสุด

แพทริเซียกล่าวแสดงความเคารพด้วยอารมณ์ที่เกือบจะเป็นการยอมจำนนต่อโชคชะตา

“ถวายบังคมพระสุริยันผู้ยิ่งใหญ่แห่งจักรวรรดิ”

“แม้จะอยู่ในที่แบบนี้เจ้าก็ยังเหมือนเดิมเลยนะ”

“ไม่ว่าจะอยู่ที่ใด ฝ่าบาทก็คือฝ่าบาท หม่อมฉันก็คือหม่อมฉันนี่เพคะ”

แพทริเซียตอบอย่างไร้อารมณ์ก่อนจะดึงธนูออกมาจากตัวกวาง นางไม่สนว่ามันจะมีเลือดมากมายอยู่ที่หัวธนู แพทริเซียเช็ดธนูกับเสื้ออย่างไม่ยี่หระ ก่อนจะเก็บเข้ากระบอกธนู ลูซิโอเห็นดังนั้นจึงถามขึ้นมา

“นั่นลูกธนูของเจ้าหรือ”

“เพคะ ฝ่าบาท ท่าทางเราจะยิงเหยื่อตัวเดียวกันเพคะ”

“เช่นนั้น…จะถือว่าใครเป็นคนล่าได้ล่ะ”

“ให้ฝ่าบาทเป็นคนล่าได้ก็ได้เพคะ หม่อมฉันขอเสียสละเอง”

“ไม่ๆ เราเสียสละเอง”

“…”

การโต้เถียงกันแบบนี้ดูไม่เป็นผู้ใหญ่เอาเสียเลย นางไม่ค่อยอยากทำอะไรเป็นเด็กเช่นนั้น ยิ่งถ้าอีกฝ่ายเป็นผู้ชายคนนี้ด้วยแล้วล่ะก็ แพทริเซียซ่อนสีหน้าเหนื่อยหน่ายก่อนจะกล่าวขอบคุณสั้นๆ

“เป็นพระมหากรุณาธิคุณเพคะ”

“เรื่องแค่นี้ไม่ถือเป็นบุญคุณหรอก ว่าแต่เจ้าออกมาไกลเกินไปหรือไม่ อัศวินราชองครักษ์ของเจ้าไปไหนเสียล่ะ”

ถามมากเสียจริง แพทริเซียไม่รู้สึกว่าต้องตอบคำถามของผู้ชายคนนี้ แต่นางก็ไม่สามารถทำเช่นนั้นได้ นางจึงตอบออกไปอย่างละเอียด

“หม่อมฉันบอกเองว่าไม่จำเป็นต้องตามมาเพคะ หม่อมฉันอยากอยู่คนเดียว… และพวกเขาก็ควรได้สนุกกับเทศกาลนี้ด้วยเช่นกัน”

แพทริเซียตอบก่อนจะมองรอบตัวอีกฝ่าย ตัวเองพูดแบบนั้นแท้ๆ แต่รอบๆ ตัวกลับไม่มีอัศวินราชองครักษ์สักคน แพทริเซียจ้องอีกฝ่ายราวกับต้องการคำอธิบาย ลูซิโอทำหน้าเจื่อนพลางกระแอมไอและเริ่มแก้ตัว

“เราหนีมา เหตุผลก็…เหมือนกับเจ้า”

“ถึงอย่างนั้นก็เถอะ…”

“เราเองก็ต้องการเวลาที่จะอยู่คนเดียวเช่นกัน เราคิดว่าจักรพรรดินีน่าจะเข้าใจนะ หรือมิใช่?”

“…”

แพทริเซียปิดปากเงียบ นางเข้าใจ เพราะเขากับนางก็อยู่ในสถานะเดียวกัน แต่นางก็ยังเป็นห่วง ผู้ชายคนนี้มีหัวคิดหรือไม่ แม้เขาจะไม่มีศัตรู แต่ก็เป็นถึงเชื้อพระวงศ์สายตรงที่เหลืออยู่เพียงคนเดียว ถ้าไม่ระวังตัวเช่นนี้…

แพทริเซียอ้าปากเพื่อจะพูดกับลูซิโอ แต่สุดท้ายริมฝีปากบางก็หุบลงอีกครั้ง คิดไปคิดมานางก็ไม่อยู่ในฐานะที่จะยกเหตุผลเช่นนั้นขึ้นมาพูดกับอีกฝ่ายได้ แพทริเซียถอนหายใจในใจก่อนจะพูด

“พระองค์ควรกลับไปตอนนี้พร้อมกับหม่อมฉันนะเพคะ ที่นี่ห่างจากพระราชวังมาก อีกทั้งบริเวณนี้ก็มีแค่พระองค์กับหม่อมฉัน…”

แพทริเซียหยุดพูดกะทันหัน เพราะจู่ๆ ลูซิโอก็ชักดาบออกมาและกวัดแกว่งมาทางนาง แพทริเซียกรีดร้องด้วยความตกใจและย่อตัวลง เมื่อเวลาผ่านไปสักครู่ นางจึงลืมตาขึ้นมาอย่างกล้าๆ กลัวๆ

นี่มันอะไรกัน จู่ๆ ทำไมถึง… แพทริเซียลืมตาขึ้นมาด้วยสีหน้าตกตะลึง นางเห็นธนูแปลกตาดอกหนึ่ง แพทริเซียเรียกลูซิโอด้วยความตกใจ

“ฝ่าบาท!”

“ใครอยู่ตรงนั้น!”

ลูซิโอตวาดแหวกอากาศออกไป แพทริเซียเข้าใจสถานการณ์ได้ด้วยตัวเอง แย่แล้ว พวกนางถูกลอบโจมตี

ว่าแต่ใครกัน? แต่ก่อนที่แพทริเซียจะได้ขบคิด กลุ่มชายใส่หน้ากากกลุ่มหนึ่งก็ปรากฏตัว บ้าเอ๊ย! แพทริเซียสบถ ก่อนจะหยิบธนูสองดอกออกมาจากกระบอก นางวิเคราะห์ได้ด้วยสัญชาติญาณ พวกนี้คือมือสังหารที่โรสมอนด์ส่งมาฆ่านาง

แพทริเซียคิดดังนั้นแล้วก็ขนลุก อา แพทริเซีย เจ้าช่างโง่เขลานัก ทำไมไม่คิดถึงเรื่องนี้แม้แต่น้อย? ทำไมถึงคิดว่าโรสมอนด์จะยอมปล่อยโอกาสดีๆ เช่นนี้ไป? ทำไมถึง…ไม่คิดว่านางจะวางแผนชั่วอะไรไว้? ทำไมย่ามใจถึงเพียงนี้? ทำไม!

“เจ้ายิงธนูเป็นใช่หรือไม่”

แพทริเซียหยุดความคิดเพราะคำถามที่ร้อนใจของลูซิโอ นางรีบตอบทันที

“พอได้เพคะ”

“เราจะคุ้มกันเจ้าเอง เจ้าคอยระวังหลัง ส่วนเราจะจัดการด้านหน้า”

บทสนทนาสิ้นสุดตรงนั้น ไม่มีเวลาให้คิดแล้ว ต่อให้โรสมอนด์ส่งคนพวกนี้มาฆ่าตนจริง ตนก็ต้องจัดการนักฆ่าพวกนี้ก่อนจะคิดถึงเรื่องอื่น มิเช่นนั้นคงมีโอกาสได้ใช้ความคิดเป็นครั้งสุดท้ายที่นี่ แพทริเซียขึ้นธนูด้วยลูกธนูสองดอกก่อนจะง้างสายธนู

นักฆ่าที่อยู่ด้านหลังล้มลงทีละคนสองคน แต่แพทริเซียก็ไม่มีเวลาให้ดีใจ นางยื่นมือไปคว้าลูกธนูจากกระบอกโดยไม่ต้องรอให้ใครบอก โชคดีที่เอาลูกธนูมาเพียงพอจึงไม่ขาดมือ แต่นางก็ยิงอย่างไม่เสียเปล่า ด้วยต้องเผื่อเอาไว้ยามฉุกเฉินด้วย แพทริเซียยิงธนูอย่างแม่นยำจนน่าตกใจ และพยายามไม่ยิงพลาด

นักฆ่ากว่ายี่สิบคนลดจำนวนไปมากแล้วก็จริง แต่พละกำลังของแพทริเซียก็ลดลงเช่นกัน

แต่ถึงกระนั้นนางก็ปลุกทุกอณูในร่างกายให้ตื่นตัวด้วยแรงกระตุ้นที่ว่าต้องตั้งสติให้มั่น หากนางไม่ตั้งสติในตอนนี้ นางก็คงตั้งสติไม่ได้อีกแล้ว ยิ่งไปกว่านั้น คนเหล่านี้ล้วนแล้วแต่เป็นผู้มีฝีมือ เทียบกับพวกเขาแล้ว ฝีมือของนางต่ำชั้นกว่ามาก ถ้าอยากรอด อย่างน้อยนางก็ต้องไม่เปิดช่องโหว่

“แฮ่ก แฮ่ก”

แพทริเซียหอบหายใจ ก่อนจะหยิบธนูออกมาจากกระบอกอย่างรวดเร็ว ตอนนี้มือสังหารเหลือประมาณห้าหกคน ถ้าเป็นเช่นนี้ก็พอจะมีโอกาสชนะ ปัญหาก็คือนางกับลูซิโอจะทนไปได้ถึงเมื่อไร…

แพทริเซียมองลูซิโอ โชคดีที่เขาดูไม่ได้เหนื่อยขนาดนั้น แต่จะให้เขาต่อกรกับมือสังหารห้าคนก็คงจะเกินกำลัง นางจึงฮึดสู้มากขึ้น ตอนนี้เหลืออีกไม่กี่คนแล้ว

“อัก!”

ขณะที่คนทั้งคู่กำจัดนักฆ่าคนสุดท้ายได้ แพทริเซียรู้สึกได้ว่าขาของตนกำลังสั่น เมื่อเห็นดังนั้นลูซิโอก็รีบเข้ามาประคอง แล้วถามด้วยน้ำเสียงห่วงใย

“เจ้าเป็นอะไรไหม บาดเจ็บตรงไหนหรือไม่”

“เฮ้อ…ไม่เป็นไรเพคะ ฝ่าบาท พระองค์ปลอดภัยดีใช่ไหมเพคะ”

“เราไม่เป็นไร ว่าแต่ใครกันที่ทำเรื่องเช่นนี้…”

ก่อนจะพูดจบ เขาก็ผลักแพทริเซียลงไปกองกับพื้นอย่างกะทันหันโดยที่นางไม่ทันได้ป้องกันตัว ร่างบางลุกขึ้นและคิดจะต่อว่าอีกฝ่าย แต่นางกลับต้องยืนแข็งทื่อพูดอะไรไม่ออก

“ฝ่า…บาท”

“อึก…”

ลูซิโอทรุดลงไปนั่งทั้งที่ธนูยังปักคาอยู่ แพทริเซียตกใจถลาเข้าไปหาและกอดประคองอีกฝ่ายไว้ ปากก็ถามอย่างร้อนรน

“ฝ่าบาท ฝ่าบาท! เป็นอะไรไหมเพคะ”

“แฮ่ก…ไม่เป็นไร”

“ทำไม…ทำไมถึง…”

ท่านรับลูกธนูแทนข้ากระนั้นหรือ ทำไม? ทำไม?? ทำไมกัน!? แพทริเซียมองลูซิโอด้วยสีหน้าคล้ายจะร่ำไห้ขอคำอธิบาย ลูซิโอพึมพำออกมาอีกสองสามคำอย่างยากเย็น ดูเหมือนว่าเขาไม่มีกระทั่งแรงที่จะตอบคำถามแล้ว

“อึก…ก่อนอื่น…รีบ…หนีก่อนดีกว่า”

สิ้นเสียงลูซิโอ แพทริเซียก็มองไปรอบๆ บ้าจริง มีนักฆ่าปรากฏตัวออกมาอีกหลายคน

ไหนๆ จะออกมาแล้วก็ออกมาให้หมดในคราวเดียวสิ แพทริเซียมองนักฆ่าที่กำลังเดินมาทางพวกนางสลับกับลูซิโอที่อยู่ในอ้อมแขนด้วยสีหน้าเจ็บแค้น

แพทริเซียเอื้อมมือไปที่กระบอกธนูตามความเคยชินแต่ก็ต้องพบกับความสิ้นหวัง นางใช้ลูกธนูจนหมดไปแล้วในการต่อสู้เมื่อครู่นี้ เคราะห์ซ้ำกรรมซัดที่ลูซิโอมารับลูกธนูแทน และเป็นไปไม่ได้ที่นางจะต่อกรกับคนพวกนั้นโดยปราศจากอาวุธ

แพทริเซียปรับสีหน้าให้เป็นปกติก่อนจะถามลูซิโอ

“ฝ่าบาท ทรงวิ่งไหวหรือไม่เพคะ”

ได้ยินดังนั้น ลูซิโอก็ผละออกจากอ้อมแขนของร่างบาง และค่อยๆ ยืนขึ้น แต่ในสายตาของแพทริเซียที่ยังไม่รู้จักอีกฝ่ายดีนั้นเห็นได้ชัดว่าเขากำลังกัดฟันสู้ การต่อสู้ซึ่งๆ หน้าในสถานการณ์เช่นนี้เป็นอะไรที่โง่เขลา ทางออกที่ดีที่สุดคือต้องหนี

แพทริเซียฉุดลูซิโอขึ้นม้าและออกวิ่งไปด้วยกัน พวกนางต้องรีบออกจากตรงนี้ให้เร็วที่สุด นางเห็นนักฆ่าไล่ตามมาด้านหลัง จึงคว้าดาบของลูซิโอมาปัดป้องลูกธนูที่พุ่งมา ในระหว่างที่นางกำลังยุ่งอยู่นั้น ม้าก็วิ่งไปตามใจของมันจนในที่สุดทั้งคู่ก็มาถึงทางตัน ไม่สิ นี่มันหน้าผา

“บ้าเอ๊ย!”

นางสบถออกมาเสียงดัง