ตอนที่ 333 เมืองกู่หนาน โดย Ink Stone_Fantasy
สามเดือนต่อมา
ยามตะวันรอน
บนเกาะยักษ์ที่ตั้งค่อนไปทางใต้ของใจกลางทะเลชังไห่ ภายใต้แสงตะวันรอน เหนือเกาะถูกปกคลุมด้วยเมฆหมอกชั้นบางๆ ทำให้ดูลึกลับเป็นอย่างมาก
ท่าเรือของเมืองเล็กๆ แห่งหนึ่งที่อยู่ทางด้านตะวันตก มีเรือขนาดต่างๆ วิ่งไปมาอยู่ไม่หยุด ข้างท่าเรือมีเรือยักษ์อยู่หลายลำ
ส่วนลำอื่นๆ ที่ค่อนข้างเล็ก ก็มีนับไม่ถ้วน
เสียงคลื่นทะเลปะปนกับเสียงผู้คนที่เดินขวักไขว่บนท่าเรือ ทำให้ดูคึกคักยิ่งนัก
แต่ที่ต่างจากแผ่นดินอวิ๋นชวนก็คือ ผู้คนบนเกาะไม่ใช่มนุษย์ทั้งหมด แม้กระทั่งอาจพูดได้ว่า ต่างเผ่าครอบครองพื้นที่ส่วนมากไว้ และมนุษย์ครอบครองเพียงแค่ส่วนเล็กๆ เท่านั้น
เผ่าเจ้าสมุทรมีเกล็ดสีต่างๆ ปกคลุมบนอยู่บนตัว เผ่าปีศาจมีหัวเป็นอสูรร่างเป็นมนุษย์ มนุษย์อสูรมีผิวสีเขียว ใบหน้าอัปลักษณ์ และเผ่าไม่ทราบชื่ออื่นๆ พอมองออกไป ก็ดูเหมือนเป็นผัดโป๊ยเซียน
ดูจากกลิ่นไอที่พวกเขาปล่อยออกมา ส่วนมากเป็นมนุษย์ธรรมดาที่ไม่ได้ทำการฝึกฝน คนที่ฝึกฝนก็มีไม่มาก
และผู้ฝึกฝนต่างเผ่าที่ดูแลระเบียบของท่าเรือแห่งนี้ ต่างก็มีระดับการฝึกฝนอยู่ที่ศิษย์จิตวิญญาณขั้นต้นกับขั้นปลาย
มีผู้ฝึกฝนพุ่งผ่านเหนือน่านฟ้าเป็นครั้งคราว มนุษย์ธรรรมดาเหล่านั้นก็ไม่ได้ใส่ใจ ราวกับจะเคยชินแล้ว
มนุษย์ชายหญิงสองคน กำลังยืนเคียงบ่าเคียงไหล่อยู่บนอากาศตรงมุมหนึ่งของท่าเรือ
ผู้ชายใส่ชุดคลุมสีดำ ใบหน้าดูธรรมดา รูปร่างสูงใหญ่
ผู้หญิงสวมชุดสีขาว ใบหน้างดงาม แต่สีหน้าเยือกเย็น เผยให้เห็นว่าทั้งสองมีคุณสมบัติไม่เบา
พวกเขาคือหลิ่วหมิงและเย่เทียนเหมยที่โดยสารเรือมาถึงเกาะตะพาบน้ำนั่นเอง
ตั้งแต่เผชิญกับปีศาจวิหคดำที่เชี่ยวชาญการใช้พายุปีศาจ และหลังจากที่มันถูกกำปั้นของหลิ่วหมิงโจมตีจนได้รับบาดเจ็บสาหัส พายุประหลาดกลางอากาศก็ดูเหมือนจะหายไปด้วย
เย่เทียนเหมยเห็นเช่นนี้ ก็บังคับเรือเหาะให้เหาะสูงขึ้นอีก
การเดินทางครั้งนี้ พวกเขามาถึงเร็วกว่าที่คาดการณ์ไว้
ตามข้อมูลเกี่ยวกับเกาะที่ได้รับมาก่อนหน้านี้ เพื่อไม่ให้เป็นจุดสนใจ ภายใต้การเสนอแนะของหลิ่วหมิง ทั้งสองจึงเปลี่ยนชุดและระงับระดับการฝึกฝนครึ่งหนึ่งไว้
มิเช่นนั้น ด้วยการฝึกฝนระดับผลึกของเย่เทียนเหมย และชื่อเสียงการฝึกกระบี่ของนาง พอนางขึ้นเกาะย่อมก่อให้เกิดความฮือฮาอย่างแน่นอน แม้กระทั่งอาจจะดึงความสนใจจากกลุ่มอิทธิพลใหญ่ก็เป็นได้
ด้วยเหตุนี้ ในสายตาของผู้ฝึกฝนระดับต่ำ เย่เทียนเหมยกับหลิ่วหมิงก็เหมือนกับศิษย์จิตวิญญาณทั่วไป ไม่มีอะไรแตกต่างเลย
แม้เย่เทียนเหมยจะมีท่าทีไม่เห็นด้วย แต่ก็ไม่พูดอะไรมาก แต่พอเปลี่ยนชุดแล้ว เย่เทียนเหมยกลับยังคงดูเตะตาเช่นเดิม
แน่นอนว่านางไม่ยอมเปลี่ยนใบหน้า แค่ยอมเปลี่ยนชุดก็ถือว่าลดเกียรติมากแล้ว
เป็นครั้งแรกที่หลิ่วหมิงเหยียบเท้าลงบนแผ่นดินที่ไม่รู้จัก เขาจ้องมนุษย์ต่างเผ่าเหล่านี้ด้วยความสนใจ
เย่เทียนเหมยกับมีสีหน้าสงบต่อฉากที่ปรากฏตรงหน้า ประจักษ์ชัดว่าเห็นภาพเหล่านี้จนเคยชินแล้ว
อาจเป็นเพราะเหตุที่ว่า สถานที่แห่งนี้มีคนต่างเผ่าครอบครองอยู่เป็นจำนวนมาก พอทั้งสองมาปรากฏตัวบนท่าเรือ ยิ่งทำให้คนต่างเผ่ารู้สึกประหลาดใจ และพยายามเข้ามาดูใกล้ๆ
แต่พอหลิ่วหมิงปล่อยพลังจิตอันแข็งแกร่งออกไปกดดันเพียงเล็กน้อย คนต่างเผ่าเหล่านั้นก็รู้สึกเย็นสะท้าน และรีบถอยห่างทั้งสองด้วยความแค้นใจ
คนอื่นๆ เห็นเช่นนี้ ก็รู้สึกประหลาดใจมาก แต่ก็ให้เกียรติทั้งสอง และรีบถอยห่างออกมา
หลิ่วหมิงซื้อแผ่นหยกสีฟ้าที่เป็นแผนที่ของเกาะตะพาบน้ำจากร้านในเมืองที่มนุษย์ผู้หนึ่งขาย จากนั้นเขากับเย่เทียนเหมยก็เดินไปบนชั้นสองของโรงเตี๊ยมเล็กๆ แห่งหนึ่ง ที่อยู่ไม่ไกลจากท่าเรือ
เขาคิดจะทำความเข้าใจกับสภาพของเกาะก่อน แล้วค่อยตัดสินใจวางแผนขั้นต่อไป
ชั้นหนึ่งของโรงเตี๊ยมตกแต่งอย่างง่ายๆ ผู้คนที่อยู่ชั้นนี้ ล้วนเป็นมนุษย์ทั่วไปที่ทานอาหารธรรมดาเท่านั้น ชั้นสองถึงเป็นที่พักผ่อนและทานอาหารของผู้ที่ค่อนข้างมีตำแหน่ง และผู้ฝึกฝน
เย่เทียนเหมยกับหลิ่วหมิงย่อมไม่พักค้างชั้นหนึ่งอย่างแน่นอน ดังนั้นจึงมุ่งตรงขึ้นไปชั้นสอง
ชั้นสองมีแขกไม่ค่อยมาก มีคนนั่งโต๊ะแค่สามสี่โต๊ะ
ดูเหมือนว่าโต๊ะตัวหนึ่ง จะมีชายเผ่าเจ้าสมุทรนั่งรับประทานอาหารด้วยกันสามคน
ตอนที่หลิ่วหมิงเหยียบเข้ามาในชั้นนี้ ก็มองโต๊ะนั้นสองสามที จากนั้นก็รู้สึกอึ้งเล็กน้อย
เพราะคนเผ่าเจ้าสมุทรทั้งสาม ล้วนเป็นผู้ฝึกฝนระดับของเหลว ผู้ที่นั่งตรงกลาง มีกลิ่นไอของผู้ฝึกฝนระดับของเหลวขั้นกลางแผ่ออกมาจางๆ
พวกเขาเหล่านี้ ต่างก็สวมชุดคลุมสีฟ้า หน้าอกด้านซ้ายมีสัญลักษณ์ที่เป็นรูประลอกน้ำติดอยู่ ดูเหมือนจะเป็นสัญลักษณ์ของสถานะอะไรบางอย่าง
ระดับการฝึกฝนของหลิ่วหมิงห่างจากทั้งสองมาก ย่อมไม่สร้างความสนใจให้กับพวกเขา
แม้เย่เทียนเหมยจะไม่มีกลิ่นไอแผ่ออกมา แต่ด้วยคุณสมบัติประจำตัวที่ไม่ธรรมดา ทั้งยังมีใบหน้างดงาม ทำให้คนโต๊ะนั้นเริ่มกระซิบกระซาบขึ้นมา และส่งสายตาที่ส่อเจตนาไม่ดีมาอยู่ตลอด
หลังจากที่หลิ่วหมิงใช้พลังจิตตรวจสอบดูแผ่นหยกแผ่นนั้นแล้ว ก็พบว่ามันเป็นแค่แผนที่หยาบๆ ของเกาะตะพาบน้ำ บนแผนที่มีเครื่องหมายบอกตำแหน่งของเมืองขนาดใหญ่ไม่กี่แห่ง กับเขตพื้นที่สำคัญบางแห่งคร่าวๆ เท่านั้น
สำหรับคนที่ไม่คุ้นที่อย่างหลิ่วหมิง และเย่เทียนเหมยแล้ว การมีแผนที่อยู่ในมือย่อมดีกว่าไม่มี
โชคดีที่หลิ่วหมิงหาตำแหน่งของเหยียนเจวี๋ย ผู้เชี่ยวชาญการหลอมอาวุธของมนุษย์เผ่าอัคคีบริสุทธิ์ จากข่าวที่ได้รับในก่อนหน้านั้นได้
แต่ดูเหมือนว่าถ้าจะไปที่นั่น ต้องผ่านหุบเขาผลึกด้วย
นับเวลาดูแล้ว ยังห่างจากงานประมูลของเหยียนเจวี๋ยค่อนข้างนาน
ด้วยเหตุนี้ หลิ่วหมิงจึงตัดสินออกเดินทางพร้อมกับเย่เทียนเหมย
สำหรับเขาแล้ว หากยังไม่เข้าใจสถานการณ์บนเกาะอย่างชัดเจน การเดินทางพร้อมกับเย่เทียนเหมยก็ไม่ใช่เรื่องเลวร้ายอะไร
“ท่านเซียนผู้งดงามท่านนี้ ดูเหมือนจะไม่ใช่คนในแผ่นดินนี้!” หนึ่งในผู้ฝึกฝนเผ่าเจ้าสมุทรพูดกระซิบกระซาบกับเย่เทียนเหมย
เย่เทียนเหมยได้ยินก็ค่อยๆ ขมวดคิ้วขึ้นมา ประกายเยือกเย็นเปล่งออกจากดวงตาทั้งสอง
“จุ๊ๆ! ช่างน่าเสียดายจริงๆ ถ้ารู้แต่แรกว่ามีท่านเซียนที่งดงามเช่นนี้ ข้าคงไม่ต้องลำบากฝึกฝนมาจนถึงวันนี้ และคงยังไม่แต่งงานอย่างแน่นอน” น้ำเสียงหยาบคายออกมาจากปากผู้ฝึกฝนชุดคลุมสีฟ้าที่นั่งอยู่ตรงกลาง คำพูดของเขามีความหมายในเชิงหยอกล้อ ทำให้ผู้ฝึกฝนเผ่าเจ้าสมุทรเหล่านั้นหัวเราะออกมา
พอผู้ฝึกฝนเผ่าเจ้าสมุทรเหล่านี้ เห็นความงามของเย่เทียนเหมย ทั้งยังดูเหมือนนางจะมีระดับการฝึกฝนไม่สูง ก็คิดอยากจะพูดจาแทะโลมนาง
ทันใดนั้น กลิ่นไออันน่าตกใจก็ระเบิดออกจากร่างเย่เทียนเหมย หลิ่วหมิงเห็นเช่นนี้ ก็หดรูม่านตาลง
แสงเย็นสะท้านหมุนวนอยู่ในดวงตาของนาง จากนั้นกลิ่นไอบนตัวก็แผ่ออกมามากขึ้น ทันทีที่นางยกมือข้างหนึ่งขึ้นมา สายรุ้งสีเงินก็ม้วนตัวออกไป มันเปล่งประกายกลางอากาศ และพุ่งยิงไปยังชายเผ่าเจ้าสมุทรผู้นั้นทันที
ชายเผ่าเจ้าสมุทรผู้นั้นเห็นเช่นนี้ ตอนแรกก็รู้สึกโมโหเป็นอย่างมาก แต่ก็ต้องเผยสีหน้าหวาดผวาออกมา ยังไม่ทันได้ทำท่ามือแสดงวิชาใดๆ ก็ถูกลำแสงสีเงินม้วนตัวเขาเข้าไปในนั้นอย่างรวดเร็ว
หลังจากมีเสียงร้องอย่างเวทนาดังออกมา ร่างของชายผู้นั้นก็ถูกปั่นจนกลายเป็นฝนโลหิต ทำให้หลิ่วหมิงรู้สึกอกสั่นขวัญแขวนขึ้นมา
“ท่านเซียนไว้ชีวิตด้วย!”
ร่างของผู้ฝึกฝนเผ่าเจ้าสมุทรทั้งสอง เต็มไปด้วยคราบโลหิตของชายเผ่าเจ้าสมุทรผู้นั้น พอพวกเขาเห็นฉากเช่นนี้ ต่างก็ตกใจจนขวัญหนีดีฝ่อ ผู้ฝึกฝนเผ่าเจ้าสมุทรที่เอ่ยปากในตอนแรก ก็ยิ่งไม่กล้าพูดอะไรออกมาอีก
เย่เทียนเหมยทำราวกับไม่ได้ยิน ใบหน้าของนางเยือกเย็นกว่าเดิม และทำท่ามือด้วยมือเดียวอีกครั้ง
พอทั้งสองเห็นท่าไม่ดี ก็ขยี้ยันต์ที่ถือไว้แต่แรกอย่างไม่ลังเล แสงสีฟ้าเปล่งประกายขึ้นบนตัว พริบตาเดียวก็กลายเป็นลำแสงสองลำ และคิดจะหลบหนีออกไปนอกหน้าต่าง
แต่พอแสงสีเงินเปล่งประกายตรงหน้า ลำแสงสีเงินก็กระพริบผ่านร่างของทั้งสองไป พริบตาเดียวทั้งสองก็ถูกฟันเป็นสองส่วน
พอเย่เทียนเหมยทำท่ามืออีกครั้ง ลำแสงสีเงินก็พุ่งยิงกลับมา และพร่ามัวกลายเป็นกระบี่ยาวสีเงินที่ยาวฉื่อกว่าๆ จากนั้นก็กระพริบหายไปในแขนเสื้อของนาง
คนอื่นๆ ในโรงเตี๊ยมชั้นสองเห็นเช่นนี้ ต่างก็รู้สึกตกใจเป็นอย่างมาก และไม่กล้าใช้สายตาอันหวาดกลัวมองมาทางเย่เทียนเหมยเลย
หลิ่วหมิงเห็นอาจารย์อาเย่ผู้นี้ สังหารผู้ฝึกฝนระดับของเหลวของเผ่าเจ้าสมุทรทั้งสามคนอย่างง่ายดาย โดยที่ฝ่ายตรงข้ามไม่มีโอกาสลงมือเลย และสาเหตุก็เพียงแค่คำพูดไม่กี่ประโยคเท่านั้น ด้วยเหตุนี้ เขาจึงรู้สึกตะลึงพรึงเพริดเป็นอย่างมาก
ช่างสมกับเป็นผู้แข็งแกร่งระดับผลึก เพียงแค่โจมตีอย่างไม่ใส่ใจ ก็มีอานุภาพน่าหวาดกลัวเช่นนี้
ตอนนี้ เขาได้ทำความรู้จักผู้ฝึกกระบี่หญิงระดับผลึกของนิกายจันทราสวรรค์ใหม่อีกครั้ง
“ไปกันเถอะ!”
ตั้งแต่ต้นจนจบ เย่เทียนเหมยไม่ได้มองผู้ฝึกฝนเผ่าเจ้าสมุทรทั้งสามเลย พอนางลุกขึ้นยืนด้วยใบหน้าไร้ความรู้สึก แสงสีเงินก็เปล่งประกายขึ้นบนตัว และกลายเป็นลำแสงสีเงินพุ่งออกนอกหน้าต่างไป
หลิ่วหมิงเห็นเช่นนี้ ก็ไม่ชักช้าอีกต่อไป พอทำท่ามือด้วยมือเดียว ก็กลายเป็นแสงสีดำพุ่งตามเย่เทียนเหมยไป
พอคนอื่นๆ ดึงสติกลับมาได้ ก็ไม่เห็นเงาร่างของทั้งสองแล้ว
ห่างจากท่าเรือของเมืองเล็กๆ มาหลายสิบลี้ เรือเหาะรูปกระสวยกำลังเหาะอยู่เหนือป่าดงดิบสีเขียวที่มีต้นไม้โบราณสูงเทียมฟ้า
คนที่อยู่บนเรือคือเย่เทียนเหมยกับหลิ่วหมิงที่เพิ่งออกมาจากท่าเรือของเมืองเล็กๆ นั่นเอง
“ตามข่าวล่าสุดที่ผู้ดำเนินการของพันธมิตรทั้งสองส่งกลับมา และดูจากแผนที่ของเกาะฉบับนี้แล้ว ตอนนั้นพวกเขาอยู่ในเขตของกลุ่มอิทธิพลหุบเขาผลึก ซึ่งห่างจากทางใต้ของหุบเขาผลึกไม่ไกล” เย่เทียนเหมยหยิบแผ่นหยกสีฟ้าออกจากหน้าผาก และกล่าวอย่างราบเรียบ
“ในเมื่อพวกเขาไปทำการค้ากับหุบเขาผลึก และยังเข้าไปในเขตของหุบเขาผลึกด้วย คิดว่าคงหาที่พักในเมืองบางแห่งที่อยู่บริเวณนี้ ดูจากสภาพการณ์แล้ว อาจจะติดต่อกับหุบเขาผลึกแล้วก็เป็นได้” หลิ่วหมิงลังเลเล็กน้อยก่อนกล่าวออกมา
“ศิษย์หลานหลิ่วกล่าวได้ไม่มีผิด เมืองทางใต้ของหุบเขาผลึกที่สอดคล้องกับสถานการณ์นี้ มีเพียงแค่เมืองเดียวที่ชื่อว่า ‘เมืองกู่หนาน’ เท่านั้น ดูจากตำแหน่งทางภูมิศาสตร์แล้ว คงเป็นเมืองที่หุบเขาผลึกก่อตั้งขึ้น ตอนนี้เพียงแค่รีบไปให้ถึงในเมือง และหาสถานที่ที่ผู้ดำเนินการของพันธมิตรทั้งสองทิ้งสัญลักษณ์ไว้ เรื่องนี้คงจะกระจ่างขึ้นเล็กน้อย” พอเย่เทียนเหมยกล่าวจบ ดวงตาทั้งคู่ก็เปล่งประกายอยู่ไม่หยุด
……………………………………