บทที่ 639 ช่วยเลียรองเท้าให้สะอาดหน่อย

โปรดเรียกผมว่า วีรบุรุษรีไซเคิล

RC:บทที่ 639 ช่วยเลียรองเท้าให้สะอาดหน่อย

 

ฝุ่นฟุ้งกระจายออกมา พร้อมกับความเงียบสงัด!

 

ความตกตะลึงเพิ่มสูงขึ้นทันที ในสายตาของทุกคนพวกเขาไม่คิดเลยว่าหลินเฟิงจะกลายร่างเป็นปีศาจได้

 

ช่างเป็นฉากที่เหลือเชื่อมาก! ดูเหมือนว่าในวินาทีถัดมานั้นหัวของหยวนหูจะถูกหลินเฟิงเหยียบย่ำลงไปในดงซอสมะเขือเทศแล้ว!

 

“ฮึ หมดแล้วเรอะ?” ในความเงียบนี้ เสียงดูถูกของหลินเฟิงดังออกมา

 

หยวนหูนอนอยู่บนพื้นและไม่พูดอะไรออกมาสักคำ

 

หลินเฟิงเตะหัวของเขาเบา ๆ และกล่าวว่า: “อย่าแกล้งทำเป็นตายเลย ความสามารถระดับ SS ไม่ได้ตายง่ายแบบนี้หรอกนะ”

 

หยวนหูลืมตาขึ้นและกระอักเลือดลงไปบนพื้น หัวใจของเขาเต็มไปด้วยความสยดสยอง

 

ในช่วงเวลาที่เขาอยู่ในกำมือของหลินเฟิง เขาได้สังเกตเห็นความแข็งแกร่งของหลินเฟิงแล้ว

 

ฮึก!

 

แม่จ๋า วันนี้ผมเจอปีศาจมาด้วยหละ!

 

ระดับ SS และระดับ SSS แม้จะเป็นเพียง S ตัวเดียว แต่ก็ต่างชั้นกันจริง ๆ เช่นเดียวกับพลังของเขาที่จัดการกับระดับ S ได้ ระดับ SSS เองก็เพียงพอที่จะเล่นงานเขาให้ตายเช่นกัน!

 

ในขณะนี้เขาไม่ได้เหลือความเย่อหยิ่งก่อนหน้านี้แล้ว เขารีบร้องขอความช่วยเหลือ: “บ๋อย มานี้เร็ว บ๋อย!”

 

“ คราวหน้าจะกล้าขนาดนี้มั้ยนะ” หลินเฟิงกล่าว

 

“ไม่ ไม่แล้วครับ ไม่!”

 

หยวนหูดูเหมือนหนูที่กลัวจนตัวสั่น

 

หลินเฟิงถอนเท้าออกจากหัวของเขาและถีบเขาออกไปไกลสามหรือสี่เมตร

 

หยวนหูลุกขึ้นจากพื้นอย่างรวดเร็วใบหน้าของเขาเต็มไปด้วยบาดแผล ดวงตาที่เหมือนเสือคู่นั้นจับจ้องหลินเฟิงอย่างใกล้ชิด ดวงตาที่เต็มไปด้วยความขุ่นเคืองอย่างเห็นได้ชัด

 

วันนี้ต่อหน้าผู้คนมากมาย หลินเฟิงทำให้เขาเสียหน้าอย่างมากซึ่งทำให้เขารู้สึกอับอาย

 

แต่เขาจะไม่โง่ถึงขนาดที่จะต่อสู้เพื่อมัน ผลสุดท้ายคือเขารักตัวกลัวตายมาก จะให้งมหาแหวนเพชรในนรกก็ไม่คุ้มกันเลย

 

หลินเฟิงตอบสนองต่อสิ่งต่าง ๆ อย่างรวดเร็ว เขายังเห็นความหยิ่งเล็กน้อยในดวงตาของอีกฝ่าย: “แกมองฉันด้วยสายตาแบบไหนกัน แกคงไม่ได้คิดล้ำเส้นใช่ไหม?”

 

หยวนหูพูดอย่างขมขื่น“ อย่าภูมิใจในตัวเองนักเลย แกกล้าแตะต้องฉัน แกหนะจบแล้ว”

 

หลินเฟิงเลิกคิ้ว: “ระดับ SS แบบไหนกันกล้าพูดแบบนี้?”

 

หยวนหูกัดฟันและพูดว่า “แกก็เป็นแค่คลาส SSS ระดับต้น ๆ แล้วไงล่ะ?”

 

“ขอบอกเอาไว้เลย ศิษย์พี่ของข้ามาถึงจุดสูงสุดของระดับ SSS แล้ว! แม้แต่ดินแดนศักดิ์สิทธิ์เองก็อยู่ไม่ห่างกับเขามาก”

 

“ถ้าแกไม่เชื่อ ฉันจะไปพาเล่นงานแกเอง!”

 

หลินเฟิงหัวเราะเยาะ: “ยังปากกล้าอยู่อีกนะ ดินแดนศักดิ์สิทธิ์อย่างงั้นเรอะ!”

 

“งั้นก็ไปเรียกเขามาที่นี่สิ!”

 

หยวนหูโกรธมาก: “ตกลงแกไม่เชื่อเหรอ เขาอยู่แถว ๆ นี้แหละ ฉันจะโทรหาเขาที่นี่ตอนนี้เลยก็ได้”

 

“จะให้ฉันยืนรอจนเป็นตะคริวรึยังไง โทรมาสิ!”

 

ด้วยเหตุนั้นหลินเฟิงก็ปล่อยลมหายใจออกมา

 

หลินเฟิงรู้ดีว่านี่คือสัญญาณ ถ้าพี่ชายของหยวนหูอยู่ใกล้ ๆ จริง เขาจะสัมผัสสึกถึงลมหายใจของอีกฝ่ายได้

 

หยวนหูกล่าวอย่างมืดมน: “พี่ชายของฉันให้ข้อเสนอแก ตอนนี้เขากำลังมาแล้ว”

 

“ฉันแนะนำให้แกคุกเข่าลงโดยเร็วที่สุด พี่ชายของฉันจะได้เห็นโอกาสที่จะไว้ชีวิตคนอย่างแก”

 

“ไม่งั้นแกได้ตายจริง ๆ แน่!”

 

หลินเฟิงไม่ได้สนใจสิ่งที่อีกฝ่ายพูดด้วยซ้ำ เขาหันกลับมาและกินถั่วลิสงในจานของว่างช้า ๆ

 

ไม่นานชายร่างใหญ่อีกคนก็เดินเข้ามาในโรงแรมด้วยใบหน้าเคร่งขรึม

 

ชายคนนี้มีชื่อว่า เฉินตุ๋นเป่ย เขาสูงมาก เอวกลม และแผ่นหลังกว้าง เขามีเครายาวบนใบหน้าและพลังของเขาค่อนข้างดุร้าย

 

เขาเดินเข้ามาและพูดว่า “มีเรื่องอะไร”

 

ดูเหมือนว่าหยวนหูจะพบพระผู้ช่วยให้รอดของเขาแล้ว เขาและรีบคลานเข้าไปหาทันที: “พี่ชายในที่สุด พี่ก็มาถึงที่นี่แล้ว!”

 

“ถ้าช้าอีกหน่อยผมตายแน่!”

 

เมื่อมองไปที่เลือดบนใบหน้าของหยวนหู เฉินตุ๋นเป่ยกลับขมวดคิ้วแน่นแทน  “มีใครที่สามารถทำร้ายแกได้อย่างงั้นเรอะ ใครเป็นคนทำ?”

 

หยวนหูชี้ไปที่หลินเฟิงทันที: “นั่นเขา!”

 

เฉินตุ๋นเป่ยมองไปที่หลินเฟิง เขาพบว่าหลินเฟิงเองก็ไม่ได้มองมาที่เขาเลยด้วยซ้ำ ไฟลุกท่วมในใจของเขาทันที

 

เขาเดินไปแล้วพูดว่า “เฮ้มองมาที่ฉันสิ!”

 

หลินเฟิงหันกลับมาและยังคงเคี้ยวถั่วลิสงอยู่ในปากของเขา: “ใครหนะ? มาแล้วเรอะ”

 

ท่าทางที่ไร้กังวลของหลินเฟิง ทำให้เฉินตุ๋นเป่ยโกรธมาก และเปล่งเสียงของเขาออกมา: “แกพูดด้วยน้ำเสียงแบบนั้นได้ไง แกรู้จักฉันไหม?”

 

“ตอบฉันมา ทำไมแกกล้าทำร้ายไอ้น้องชายของฉัน”

 

หลินเฟิงกล่าวว่า: “ถ้านายรู้จักเขาดีนายก็น่าจะรู้เหตุผล เขาเป็นคนเริ่มก่อน ที่เหลือมันเป็นเพียงการป้องกันตัวเองเท่านั้น”

 

“ดูแลน้องของนายให้ดีด้วย บอกมันว่าอย่ายุ่งกับแฟนของคนอื่น”

 

“นายไม่คิดว่าจะแพ้ยังงั้นหรอวันนี้?”

 

เฉินตุ๋นเป่ยมองมาที่หลินเฟิงด้วยสองตา: “ระดับ SSS ขั้นต้นอย่างงั้นเรอะ คนระกับแกกล้าพูดกับฉันแบบนี้เมื่อไหร่กัน?”

 

“ฉันเตือนแกตอนนี้เลย คุกเข่าลงซะ เลียรองเท้าของฉันแบบไม่ต้องการหยุดจนกว่าฉันจะพอใจ”

 

“ไม่อย่างนั้นฉันจะตัดลิ้นของแก มาปัดรองเท้าแทน!”

 

หลินเฟิงยักไหล่:“ พวกแกมีพลังเพียงเล็กน้อย แต่กล้าหาเรื่องคนอื่นเขาไปทั่ว วันนี้พวกแกจะสัมผัส ว่าคนธรรมดารู้สึกยังไงกับพวกแกบ้าง”

 

อีกฝ่ายเงยหน้าขึ้นเล็กน้อย ดวงตาของเขากระพริบแสงจาง ๆ: “เปิดหูเปิดตา ของแกซะดูให้ชัดเจน นี่คือสิ่งที่ SSS ระยะแรกทำไม่ได้?”

 

หลินเฟิงปล่อยลมหายใจออกมา ทันใดนั้นเฉินตุ๋นเป่ยก็เริ่มรุกเข้ามาทันที

 

แผ่นหลังของเฉินสั่น ใบหน้าของเขาเต็มไปด้วยความตกใจทันที

 

ข้างหลังของเขาหยวนหูซึ่งถูกเล่นงานมาก่อน ก็หน้าแข็งถื่อเช่นกัน

 

“กะ…แก บรรลุผ่านดินแดนศักดิ์สิทธิ์ไปแล้ว?” เฉินตุ๋นเป่ยรู้สึกว่าลำคอของเขาถูกปิดกั้นด้วยเสมหะในคอของเขาเอง

 

หลินเฟิงมองกลับมา และถามอย่างแผ่วเบา: “เป็นอะไรรึ? พวกแกมีปัญหาอะไรหรือเปล่า?”

 

ทันใดนั้นเฉินตุ๋นเป่ยไม่สามารถพูดอะไรได้สักคำ

 

มีช่องว่างตามธรรมชาติระหว่างดินแดนศักดิ์สิทธิ์และระดับ SSS อยู่แล้ว สำหรับพวกเขาแล้ว ผู้บรรลุดินแดนศักดิ์สิทธิ์เป็นถึงพระเจ้า พวกเขาไม่กล้าละลานอย่างแน่นอน

 

ทุกอย่างนิ่งไปชั่วขณะหนึ่ง เขาและหยวนหูกลายเป็นลูกแกะที่กำลังจะถูกเชือดอย่างเห็นได้ชัด พวกเขาไม่กล้าแม้แต่ขยับ

 

“คุกเข่าลง!” ทันใดนั้นหลินเฟิงก็ส่งเสียงที่ดุดันออกมา เสียงของเขาดังเหมือนฟ้าร้อง

 

พวกเขาทั้งหมดตกตะลึง แต่เฉินตุ๋นเป่ยและหยวนหูไม่มีอะไรเหลืออยู่ในใจแล้ว

 

“ พูดไม่ฟังอย่างงั้นเรอะ?” หลินเฟิงมีสีหน้าสงบนิ่ง แต่แรงกดดันนั้นมากขึ้นเกิดกว่าที่จะปกปิดเอาไว้ได้ “ฉันพูดว่า คุกเข่าลง!”

 

แนวป้องกันด้านจิตใจและร่างกายของ ทั้งสองถูกทำลายลงในพริบตา พวกเขาคุกเข่าด้วยท่าทางป๋อมแป๋มและไม่กล้าเงยหัวขึ้นมาแม้แต่น้อย

 

น้องเล็กคนอื่น ๆ เห็นสิ่งนี้เข้า พวกเขาก็คุกเข่าลงอย่างรวดเร็ว

 

คนรอบข้างต่างก็ภูกหลอกกันหมด เรื่องราวมันเป็นอย่างไรกันแน่ เรื่องราวทั้งหดเจะนำไปสู่การพลิกผันได้อย่างไร?

 

หลินเฟิงเดินไปและพูดด้วยน้ำเสียงเย็นชา“ พวกแกกล้ามากหรือ?”

 

“เมื่อกี้พวกนาย ไม่ถือเกียตรแล้วเหรอ ลุกขึ้นมาสู้กับฉันสิ!”

 

เฉินคุกเข่าลงและตัวสั่น: “ผมไม่กล้าทำแบบนั้นกับท่านผู้ใหญ่หรอกครับ ผมผิดเองที่ไม่รู้จักที่ต่ำที่สูงปล่อยพวกผมไปเถอะ!”

 

คนอื่น ๆ ที่ตามพวกเขามาต่างก็ร้องฟูมฟาย

 

หลินเฟิงกล่าวกลับไปว่า “นายไม่ต้องการให้ฉันเลียรองเท้าแล้วอย่างงั้นหรือ ทำไมนายถึงเปลี่ยนใจเร็วขนาดนี้หละ”

 

เฉินตุ๋นเป่ยรู้สึกว่าทุกนาทีและทุกวินาทีที่กำลังผ่านไปนั้นช่างทรมานเหลือเกินเขากลัวที่จะพูดว่า “ผมแค่พูดเล่น อย่าจริงจังกับมันเลย!”

 

“พูดเล่น?” หลินเฟิงพยักหน้า “ตกลงแล้ว ฉันจะแสดงให้นายเห็นว่ามันเป็นอย่างไรถ้านายพูดไม่ระวังปากแบบนี้”

 

เขาวางปลายรองเท้าของเขาให้เฉิและพูดเบา ๆ ว่า “มาช่วยเลียมันให้สะอาดหน่อยสิ”