เหวินเปียวอยู่ติดประตูคุก กล่าวกับเมิ่งเชี่ยนโยวอย่างรู้สึกผิดว่า “แม่นางขอรับ พวกเราทำให้ท่านต้องเดือดร้อนแล้ว”

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวเดินมาถึงอีกด้านของคุก ตั้งเข่าชันขึ้นนั่งลงบนกองฟางอย่างสบายๆ ยิ้มอย่างไม่ยี่หระแล้วกล่าวว่า “พวกเจ้าต่างก็เคยถูกขังอยู่ในคุกแล้ว มีข้าคนเดียวที่ยังไม่เคยมา พอดีวันนี้มาหาประสบการณ์สักครั้ง ดูสิว่าจะมีรสชาติเป็นอย่างไรบ้าง”

 

 

กัวเฟยกลัวว่าทุกคนจะรู้สึกเสียใจ จึงยิ้มพร้อมกับกล่าวว่า “แม่นางพูดถูกแล้ว ข้าก็คิดเช่นเดียวกัน ดังนั้นถึงได้เดินตามพวกเขามา ไม่เช่นนั้นด้วยวิทยายุทธ์ของข้า ทหารพวกนั้นทั้งหมดก็ยั้งไว้ไม่อยู่”

 

 

เหวินเปียวและคนอื่นรู้ว่าเขากำลังทำให้ตัวเองสบายใจอยู่ จึงตบไหล่เขาเบาๆ ใบหน้าแสดงออกว่ารู้สึกผิดอยู่เต็มเปี่ยม “เพื่อนกัว ทำให้เจ้าต้องลำบากแล้ว”

 

 

กัวเฟยกล่าวอย่าเปิดเผยตรงไปตรงมาว่า “พวกเราเป็นเพื่อนรักกัน มีสุขร่วมเสพ มีทุกข์ร่วมต้าน พูดเช่นนั้นก็เห็นข้าเป็นคนนอกแล้ว”

 

 

เหวินเป้าโทษตัวเองยิ่งกว่า “พี่ใหญ่ ทั้งหมดนี้เป็นเพราะข้าที่ทำให้พวกท่านเดือดร้อน”

 

 

เหวินเปียวตบไหล่เขาไม่ได้พูดอะไร แล้วก็นั่งลงบนกองฟางที่พื้น

 

 

เหวินหู่ก็เดินมาตบบ่าเขาเช่นกัน แล้วเดินตามไปนั่งกับเหวินเปียว

 

 

เหวินจงเดินตามไปนั่งเงียบๆ โดยไม่พูดไม่จา

 

 

เหวินเป้าทุบกำแพงห้องขังอย่างรู้สึกเสียใจ แล้วก็นั่งลงโดยมีสีหน้าที่โทษตัวเอง

 

 

กัวเฟยเหลือบมองทุกคนปราดเดียว แล้วก็ไปนั่งข้างๆ อย่างเงียบเชียบ

 

 

ชายฉกรรจ์ที่เฮ่อเหลี่ยนส่งมาได้ติดตามทหารอยู่เบื้องหลัง พอเห็นพวกเขาจับเมิ่งเชี่ยนโยวและคนอื่นไปขังไว้ในคุก ก็รีบวิ่งกลับไปรายงาน

 

 

เฮ่อเหลี่ยนพักอยู่ที่จวนในเมืองตงเฉิง ซึ่งในเวลาทั่วไปจวนนี้เป็นที่พักของคนเหล่านี้ที่เลี้ยงดูไว้เอง พอได้ยินสิ่งที่ชายฉกรรจ์ที่กลับมารายงาน เฮ่อเหลี่ยนก็พลันผุดลุกขึ้นทันที แล้วส่งเสียงหัวเราะเย็นชา “ในที่สุดวันนี้ก็ถึงวันที่ข้าได้แก้แค้นแล้ว ข้าจะต้องให้พวกมันทุกคนร้องขอชีวิตก็มิได้ ร้องขอความตายก็ไม่ได้”

 

 

พูดจบก็ไม่สนใจชายฉกรรจ์ที่อยู่ภายในเรือน แล้วเดินก้าวอาดๆ ออกจากเรือนไป ขี่ม้ารีบไปยังคุกขังเมิ่งเชี่ยนโยวและคนอื่นๆ อย่างรวดเร็ว แล้วก็พลิกกายลงจากหลังมา สั่งทหารที่เฝ้าคุกว่า “ไปเรียกผู้ดูแลที่คุมขังของพวกเจ้ามาพบข้า”

 

 

พัศดีจำเขาได้ จึงรีบไปตามผู้ดูแลที่คุมขังทันที

 

 

พอผู้ดูแลที่คุมขังได้ยินทหารรายงานก็รีบเดินออกมารับที่หน้าประตูอย่างร้อนรน แล้วโน้มตัวลงประสานมือคารวะเฮ่อเหลี่ยนอย่างเต็มที่ จากนั้นก็กล่าวถามอย่างประจบสอพลอว่า “คุณชายใหญ่หาข้าน้อยมีเรื่องสำคัญอันใดหรือขอรับ”

 

 

เฮ่อเหลี่ยนวางท่าแล้วเอ่ยถามเสียงดังว่า “เมื่อครู่นี้ผู้บัญชาการโต้วส่งคนมาขังไว้ที่แห่งนี้ใช่หรือไม่”

 

 

ผู้ดูแลที่คุมขังพยักหน้าอย่างนอบน้อม แล้วกล่าวอย่างประจบประแจงว่า “เรียนคุณชายใหญ่ขอรับ คุมขังอยู่ที่แห่งนี้จริงขอรับ มิทราบว่าท่านต้องการให้ทำสิ่งใดหรือ”

 

 

“ยื่นหูเข้ามาใกล้ๆ ข้าจะบอกเจ้าเอง”

 

 

ผู้ดูแลที่คุมขังเดินก้าวเข้ามาหยุดที่ข้างหน้าของเขา

 

 

เฮ่อเหลี่ยนกระซิบกระซาบอยู่ที่ข้างหูของเขา

 

 

ผู้ดูแลที่คุมขังทำตาโต นานหลายอึดใจถึงกล่าวด้วยความรู้สึกลำบากใจว่า “คุณชายใหญ่ พวกเขาเพิ่งจะเข้ามาในคุกเองขอรับ ยังมิได้ตรวจสอบความผิด หากตอนนี้ลงโทษพวกเขา ข้าเกรงว่าจะอธิบายต่อเบื้องบนได้ยาก”

 

 

“กลัวอะไรกัน” เฮ่อเหลี่ยนตำหนิเขา “หากเกิดเรื่องขึ้นข้าจะรับผิดชอบเอง”

 

 

คนที่เป็นขุนนางเหล่านี้ตอนพูดก็พูดน่าฟังอยู่หรอก หากเกิดเรื่องขึ้นจริง แล้วเบื้องบนมีโทษลงมา พวกเขาก็จะลอยตัวอยู่เหนือปัญหาทันที ผู้ดูแลที่คุมขังรู้ถึงเบื้องหน้าเบื้องหลังของพวกเขา จึงค่อนข้างลังเลตัดสินใจไม่ได้

 

 

เฮ่อเหลี่ยนคาดเดาสิ่งที่อยู่ในใจของเขาได้ จึงกล่าวล่อใจเขาว่า “เดิมทีคนเหล่านี้ถูกตัดสินให้เป็นทาสหลวงอยู่แล้ว โชคดีที่หลายปีก่อนพวกเขาสามารถหลุดพ้นออกมาได้ บัดนี้ถูกจับเข้าคุกอีกครั้ง ถึงเจ้าจะไม่ทำเช่นนี้พวกเขาก็ได้รับโทษอยู่ดี อีกอย่างถ้าเจ้าทำเรื่องนี้ได้ดี ข้าจะมีรางวัลให้เจ้าอย่างงาม”

 

 

พูดจบแล้วก็ล้วงตั๋วเงินใบหนึ่งที่อยู่ในอกออกมาวางลงบนมือของผู้ดูแลที่คุมขัง

 

 

“ขอบพระคุณคุณชายใหญ่ ขอบคุณคุณชายใหญ่มากขอรับ” ผู้ดูแลที่คุมขังก้มหน้ากล่าวขอบคุณอย่างนอบน้อม แล้วก็ถือโอกาสก้มลงมองตั๋วเงินที่อยู่ในมือ พอเห็นว่าเป็นเงินห้าสิบตำลึงก็ตกใจจนแทบจะเป็นลม แล้วตกปากรับคำว่า “คุณชายใหญ่โปรดวางใจขอรับ เรื่องนี้ข้าจะทำตามที่ท่านต้องการอย่างดีที่สุดขอรับ”

 

 

เฮ่อเหลี่ยนพยักหน้า “ได้อย่างนั้นก็ดีที่สุดแล้ว ประเดี๋ยวข้าจะมาใหม่อีกครั้ง”

 

 

ผู้ดูแลที่คุมขังรู้ว่าเขาจะต้องมาตรวจสอบว่าตัวเองได้ลงมือจริงหรือไม่ จึงกล่าวรับประกันว่า “คุณชายใหญ่วางใจได้ขอรับ ข้าน้อยจะไม่ยั้งมือต่อคนพวกนั้นเด็ดขาด เพียงแต่แม่นางผู้นั้น หากโดนทำลายไปด้วยก็ช่างน่าเสียดาย”

 

 

เฮ่อเหลี่ยนกล่าวอย่างไม่พอใจว่า “เจ้าอยู่กับนักโทษพวกนั้นทั้งวัน มีการใส่ร้ายสิ่งใดบ้างที่เจ้าไม่เคยเจอ เหตุใดจู่ๆ ถึงได้เห็นใจหญิงชั้นต่ำบ้านป่าเอาได้”

 

 

พอผู้ดูแลที่คุมขังได้ยินก็ถามอีกครั้งให้แน่ใจว่า “คุณชายใหญ่หมายความว่าแม่นางคนนั้นมาจากชนบทหรือขอรับ”

 

 

“ก็เป็นเช่นนั้นอยู่แล้ว ส่วนฐานะของคนอื่นๆ ข้าก็ทราบดีทีเดียว เจ้าไม่ต้องกังวล ลงมือทำได้เลย จะไม่มีสิ่งใดผิดพลาดเป็นอันขาด”

 

 

ผู้ดูแลที่คุมขังพอได้ยินดังนั้นก็สบายใจขึ้น กล่าวรับประกันอย่างประจบสอพลอว่า “ถ้าเช่นนี้ข้าก็วางใจได้แล้ว ข้าจะสั่งให้คนลงมือเดี๋ยวนี้ คุณชายใหญ่รอฟังข่าวได้เลยขอรับ”

 

 

เฮ่อเหลี่ยนพยักหน้า มองผู้ดูแลที่คุมขังอย่างวางท่าแล้วหลังจากนั้นก็ขี่ม้าควบออกไป

 

 

ผู้ดูแลที่คุมขังก้มศีรษะโค้งคำนับลาอย่างนอบน้อม จนกระทั่งเฮ่อเหลี่ยนจากไปไกลแล้วถึงยืดกายตั้งตรง แล้วเดินไปหยุดอยู่ตรงหน้าของทหารที่เฝ้าคุกทั้งสองนาย โบกตั๋วเงินในมือไปมาแล้วกล่าวว่า “เรื่องที่คุณชายใหญ่มอบหมายให้ทำห้ามปล่อยให้รั่วไหลเด็ดขาด ไว้ข้าไปแลกเป็นตำลึงมาจะแบ่งให้พวกเจ้าด้วย”

 

 

การเฝ้าคุกเป็นงานหนัก พอพัศดีทั้งสองนายเห็นก็ดีใจยิ่งนัก กล่าวรับรองไม่ขาดปากว่า “ใต้เท้าโปรดวางใจเถิดขอรับ พวกข้าจะไม่ทำให้รั่วไหลออกไปเด็ดขาด”

 

 

ผู้ดูแลที่คุมขังพยักหน้าอย่างพึงพอใจ สองมือไพล่หลัง ผิวปากเป็นเพลงอย่างอารมณ์ดี แล้วเดินกลับไปในเรือนจำเพื่อวางแผนว่าต่อไปจะทำอย่างไรดี

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวและคนอื่นไม่รู้ว่าข้างนอกเกิดอะไรขึ้น นั่งในคุกรอให้หวงฝู่อี้เซวียนมาช่วยเหลืออย่างสงบ

 

 

เมื่อถึงเวลาพลบค่ำ ภายในเรือนจำจุดตะเกียงน้ำมันที่มีแสงริบหรี่เพียงสองตะเกียงเท่านั้น พัศดีสองนายที่มาส่งอาหารถือถังใบหนึ่งกับตะกร้าใบหนึ่งเดินเข้ามา ถือกระบวยไว้ในมือพร้อมกับตะโกนเสียงดังว่า “ได้เวลากินข้าวแล้ว!”

 

 

ทุกคนที่อยู่ในห้องขังต่างก็ลุกขึ้นมา เบียดเสียดแย่งกันมาอยู่ที่หน้าประตู รอให้พัศดีส่งข้าวให้

 

 

ดูเหมือนว่าพัศดีจะทำงานนี้มานานมากแล้ว ใช้กระบวยทั้งเคาะทั้งกระแทกที่ผนังคุกแล้วดุด่าเอ็ดตะโรเสียงดังว่า “บัดซบ จะเบียดอะไรกันนัก ประเดี๋ยวข้าโมโหจะเอาข้าวนี้ไปให้สุนัขกินให้หมด”

 

 

ดูเหมือนว่าคนที่อยู่ในคุกจะได้ยินเขาพูดเช่นนี้จนชินชาแล้ว จึงเบียดเสียดกันอยู่เช่นเดิม

 

 

ถึงแม้พัศดีจะเอ็ดตะโรเช่นเดิม แต่ก็ยังเอาข้าวให้ทุกคนอยู่ดี

 

 

จนกระทั่งมาถึงห้องที่ขังพวกกัวเฟยไว้ กวาดสายตามองหน้าของทุกคนแวบหนึ่ง จากนั้นหยิบชามออกมาจากตะกร้า แล้วตักข้าวต้มวางไว้ที่หน้าประตูห้องขัง กล่าวว่า “ถูกตัดสินให้เป็นทาสหลวงยังไม่รู้จักเจียมตัวอีก ยังกล้าลอบเข้าไปในจวนที่ถูกอายัดอีก ข้าว่าพวกเจ้าคงไม่อยากมีชีวิตแล้ว”

 

 

เหวินเปียวและคนอื่นต่างก็ไม่ได้พูดอะไร

 

 

พัศดีก็ไม่ได้สนใจพวกเขาอีก แล้วถือถังกับตะกร้าเดินไปที่หน้าประตูห้องขังที่ขังเมิ่งเชี่ยนโยวเอาไว้ แล้วก็เอาชามออกมาจากตะกร้าเช่นเดียวกัน ตักข้าวต้มวางไว้ที่หน้าห้องขัง “กินสิ กินคำหนึ่งจะได้มีแรงขึ้น ไม่รู้ว่าวันพรุ่งนี้ยังต้องเจอสิ่งใดอีก”

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวขมวดคิ้วมุ่น

 

 

พัศดีไม่ได้พูดอะไรอีก ถือถังกับตะกร้าไปส่งข้าวที่ห้องขังห้องอื่นต่อ

 

 

มองดูชามข้าวต้มที่สะท้อนภาพตนออกมาได้ เมิ่งเชี่ยนโยวลุกขึ้น เดินไปหยิบชามข้าวต้มมาจากหน้าห้องขัง ส่งสัญญาณบอกให้กัวเฟยและคนอื่นๆ ก็กินไปด้วย

 

 

ไม่รู้ว่าต้องถูกขังนานเท่าไหร่หวงฝู่อี้เซวียนถึงจะตามหาพวกเขาเจอ หากไม่กินอะไร ไม่เก็บแรงเอาไว้บ้าง ถ้าหากมีคนลงมือทำเรื่องเลวร้ายขึ้นมาเกรงว่าพวกเขาทุกคนคงช่วยเหลือตัวเองไม่ได้ พอนึกได้เช่นนี้กัวเฟยก็ลุกขึ้นมาหยิบชามข้าวต้มไป

 

 

เหวินเปียวเองก็เข้าใจหลักการข้อนี้ดี จึงลุกขึ้นมาเช่นกัน

 

 

เหวินหู่กับเหวินเป้ารวมถึงเหวินจงพอเห็นเหวินเปียวแล้วก็ทำตามทันที เดินไปเอาชามข้าวต้มมา

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวยกชามข้าวต้มจรดริมฝีปาก ยังไม่ได้กลืนลงไป นางคุ้นเคยกับการที่ต้องใช้ลิ้นแตะทดสอบเสียก่อน ทันใดนั้นก็ตะโกนบอกทุกคนทันทีว่า “อย่ากิน ในข้าวต้มมียาพิษ”

 

 

แต่ทว่าช้าเกินไปแล้ว ทุกคนกินข้าวต้มจนเกือบจะเกลี้ยงชามแล้ว

 

 

กัวเฟยและคนอื่นต่างก็รู้สึกสงสัย

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวนึกอะไรขึ้นได้ จึงเม้มริมฝีปากแน่น

 

 

ไม่นานกัวเฟยและคนอื่นก็ฝืนทนไม่ไหว ต่างก็ล้มลงไปตามๆ กัน

 

 

พัศดีที่ส่งอาหารเดินกลับมา เมิ่งเชี่ยนโยวรีบเทข้าวต้มที่อยู่ในชามออกไปบ้าง แล้วก็เลียนแบบท่าทางของกัวเฟยและคนอื่น นอนราบไปกับพื้นอ่อนด้วยท่าทางปวกเปียก

 

 

พัศดีเดินมาหยุดที่หน้าประตูห้องขังของนาง มองนางที่นอนอย่างอ่อนปวกเปียกแวบหนึ่งแล้วก็ส่ายหน้า กล่าวอย่างนึกเสียดายว่า “ช่างน่าเสียดาย”

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวใช้ความคิด

 

 

พัศดีเดินออกไปจากห้องขัง

 

 

กลางดึกคนที่อยู่ในคุกต่างก็นอนหลับกันหมดแล้ว จู่ๆ ก็มีแสงตะเกียงสว่างขึ้นในคุก ผู้ดูแลที่คุมขังพาคนเดินเข้ามา แล้วกล่าวเสียงดังวางอำนาจว่า “เอาคนใจกล้าบ้าบิ่นทั้งหมดที่มาในวันนี้ออกไปขึ้นศาล”

 

 

พัศดีขานรับคำสั่ง เดินมาถึงห้องขังที่คุมขังพวกกัวเฟยไว้ เปิดประตูออกแล้วลากคนที่นอนตัวอ่อนปวกเปียกในนั้นออกมา

 

 

คนที่อยู่ในห้องขังต่างก็เห็นจนชินชาแล้ว จึงไม่มีใครสนใจ แล้วก็นอนหลับในที่ของตัวเองเช่นเดิม

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวเกร็งประสาททุกส่วนไว้

 

 

ทว่าผู้ดูแลที่คุมขังมิได้สนใจนาง ตะโกนบอกให้คนลากกัวเฟยกับคนอื่นเสร็จแล้วจึงเดินออกไป

 

 

ภายในห้องจึงตกอยู่ในความมืดอีกครั้ง

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวลืมตาขึ้น ในตอนนั้นเองรู้สึกได้ว่ามีความเคลื่อนไหวบางอย่างขยับอยู่รอบตัว

 

 

ผ่านไปประมาณสิบห้านาที ประตูใหญ่ของเรือนจำก็เปิดออกอย่างเงียบเชียบ มีเสียงฝีเท้าดังขึ้นมา

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวนอนอยู่บนพื้น ไม่ขยับเขยื้อน

 

 

เสียงฝีเท้าหยุดอยู่ที่หน้าประตูห้องขังที่ขังนางไว้ เสียงปลดกุญแจดังขึ้น จากนั้นมีเงาของคนสามคนเดินแสยะยิ้มตรงเข้ามาหานางอย่างหื่นกระหาย

 

 

—————————-