ส่วนที่ 2 ภาคถนนสายนี้ไม่มีผู้มาก่อน ตอนที่ 90 เพลงกระบี่รอบรู้ (ตอนปลาย)

ท้าลิขิตพลิกโชคชะตา

เดิมทีเฉินฉางเซิงคิดพูดต่อว่า จิตวิญญาณของวิถีกระบี่อยู่ที่ไหน เกี่ยวอะไรกับวิถีดาบระดับสูงต่ำของหวังผ้อและเซวียเหอด้วย แต่พอเห็นซูหลีเริ่มมีน้ำโห เขาไหนเลยจะกล้าพูดออกมา จึงตอบอย่างเจี๋ยมเจี้ยม “อยาก”

“เช่นนั้นก็ต่อ จิตวิญญาณของวิถีกระบี่อยู่ที่คำว่า หนึ่ง”

ครั้งนี้ซูหลีเน้นหนักที่คำว่าหนึ่ง เฉินฉางเซิงจึงขอคำชี้แนะอย่างจริงจัง “หมายถึง…การบำเพ็ญเพียรตามวิถีกระบี่ต้องเป็นหนึ่งเดียวกับใจ?”

ซูหลีคิดๆ แล้วก็ว่า “ใช่ และก็ไม่ใช่”

เฉินฉางเซิงคิดๆ แล้วก็ว่า “เช่นนั้น…แท้จริงแล้วใช่หรือไม่ใช่?”

ซูหลีมองตาเขา “สรุปแล้ว คำเดียวที่ต้องจำคือ หนึ่ง”

เฉินฉางเซิงพยักหน้า “ขอรับ”

“ว่ากันว่าอาวุธร้ายแรงชนิดหนึ่งคือผู้เชี่ยวชาญด้านกระบี่ ซึ่งผู้ศักดิ์สิทธิ์เท่านั้นถึงจะใช้อาวุธชนิดนี้ได้ ดังนี้จึงอธิบายได้ว่า ผู้เชี่ยวชาญด้านกระบี่ก็คืออาวุธศักดิ์สิทธิ์ชนิดหนึ่ง”

ซูหลีมองกระบี่บังฟ้าในมือเงียบๆ ก่อนจะใช้มือขวาจับด้ามกระบี่ แล้วใช้นิ้วชี้กับนิ้วกลางของมือซ้ายสัมผัสเบาๆ ที่ตัวกระบี่จากหัวจรดปลาย แล้วว่า “กระบี่ในแนวนอนคือพื้นราบบนเทือกเขา คือตรวนเหล็กใต้ท้องน้ำ คือลูกธนูขนนกกลางอากาศ คือเม็ดฝนที่ตกจากฟากฟ้า ถ้าพุ่งลงต้องเปิดหุบเหวนรก ถ้าพุ่งขึ้น…ต้องแผดเผาสรวงสวรรค์”

“เมื่อเป็นเช่นนี้ จิตวิญญาณของวิถีกระบี่จึงอยู่ที่รูปทรงกระบี่ อยู่ที่เจตจำนงกระบี่”

“รูปทรงกระบี่เป็นหนึ่ง เจตจำนงกระบี่ก็ต้องเป็นหนึ่ง”

“รูปทรงและเจตจำนงรวมกันเป็นหนึ่ง จิตวิญญาณกระบี่ก็เป็นหนึ่ง”

“เจ้ารู้เพลงกระบี่มากมายไปก็เท่านั้น มิสู้ฝึกเพลงกระบี่ชุดเดียวให้ถึงที่สุด”

“ต่อให้เจ้ามีกระบี่หมื่นเล่ม ก็ต้องเลือกกระบี่ของตัวเองหนึ่งเล่ม”

ซูหลีมองเฉินฉางเซิงขณะพูดแฝงความหมายลึกล้ำ

เฉินฉางเซิงควรคิดได้จริงๆ…อันที่จริงความคิดเกี่ยวกับวิถีกระบี่ของซูหลีไม่ใช่เรื่องใหม่ ในคัมภีร์ลัทธิเต๋ามีคำนิยามมากมาย เพียงแต่ไม่สอดคล้องกับความคิดของเขา

ซูหลีว่า “แน่นอน ช่วงเริ่มต้น เรียนรู้มากๆ ไว้ก็ดี พอเห็นโลกกว้าง จะได้เลือกถูกว่าแบบไหนเหมาะกับตัวเอง ไม่ต้องเจอกับภาวะรักพี่เสียดายน้อง เหมือนข้าตอนอายุสิบห้า ฝึกเพลงกระบี่มากมายจนจำชื่อไม่ได้ แต่ก็ทำให้ประสบความสำเร็จในเวลาต่อมา สรุปแล้วก็คือ ต้องแยกให้ออก น้ำคือน้ำ ภูเขาคือภูเขา อาจซับซ้อนบ้าง เจ้าก็พยายามเรียนรู้ไป”

เฉินฉางเซิงยังไม่เรียนรู้จริงจัง ก็เข้าใจความหมายโดยรวม เพียงแต่การชี้แนะในลักษณะนี้สูงส่งอยู่บ้าง และยังเป็นเรื่องในอนาคต แต่ตอนนี้ควรทำอย่างไรดี ต้องรู้ว่านักฆ่าผู้นั้นกำลังซ่อนตัวอยู่ในเงามืด ระหว่างทางลงใต้ก็ไม่รู้ว่าต้องเจอกับศัตรูที่แข็งแกร่งมากน้อยเท่าไหร่ ซึ่งเป็นไปได้ว่ายังมีคนอีกมากมายที่กำลังไล่ล่าพวกเขา

ซูหลีจ้องมองเฉินฉางเซิงพลางว่า “พูดถึงรายละเอียดการต่อสู้ สภาพร่างกายเจ้าแปลกประหลาดอยู่บ้าง ทั้งๆ ที่มีพลังปราณอยู่ไม่น้อย แต่ไม่รู้ทำไมถึงปล่อยออกมาได้เพียงน้อยนิด”

พอได้ยินวาจานี้ เฉินฉางเซิงก็รู้สึกนับถือซูหลีอย่างหมอบราบคาบแก้ว ในจิงตูกับสวนโจว เขาถูกคนมากมายหัวเราะเยาะหรือแสดงความเวทนาว่า พลังปราณของเขาเบาบางมาก มีเพียงซูหลีที่มองออกว่าปัญหาแท้จริงอยู่ตรงไหน

นี่เป็นปัญหาที่แก้ยากจริงๆ เขาอิจฉาลั่วลั่วและหนานเค่อ ผู้มีสายเลือดพิเศษมาแต่กำเนิด สามารถปล่อยพลังปราณคู่บารมีที่ติดตัวมาได้อย่างเต็มกำลังระหว่างการต่อสู้ ซึ่งปัญหานี้เกี่ยวโยงกับเส้นชีพจรในร่างของเขา โดยที่เขาเองก็ไม่สามารถอธิบายได้ จึงได้แต่ฟังซูหลีพูดต่ออย่างเงียบๆ

“จุดเด่นของขั้นรวบรวมดวงดาวก็คือ การดำรงอยู่ของอาณาเขตดวงดาว ถ้าคิดทำลาย ก็ทำได้ เพียงใช้การฝึกฝนในขั้นกว่ากดทับไว้ ใช้พลังกระบี่บดขยี้ ใช้พลังปราณที่มากเพียงพอจู่โจมใส่ แต่เจ้าขั้นบำเพ็ญเพียรไม่ถึง พลังปราณที่ปล่อยออกขณะใช้เพลงกระบี่ก็มีไม่มากพอ เช่นนี้ต่อให้กระบี่เจ้าคมแค่ไหน ก็ไม่สามารถเข้าถึงอาณาเขตของคู่ต่อสู้ได้”

ซูหลีเหลือบมองกระบี่สั้นของเฉินฉางเซิง “ดีที่ผู้บำเพ็ญเพียรขั้นรวบรวมดวงดาวในต้าลู่ตอนนี้ดีแต่ชื่อ ยังห่างไกลกับการสร้างอาณาเขตดวงดาวที่สมบูรณ์แบบอยู่มาก พวกเขาล้วนมีจุดอ่อน มีช่องโหว่ ถ้าไม่ขยับ ก็สามารถอาศัยขั้นบำเพ็ญเพียรกับพละกำลังอุดช่องโหว่หรือจุดอ่อนเอาไว้ได้ แต่ขอเพียงพวกเขาขยับ คู่ต่อสู้ย่อมมองออกแน่ ดังนั้นสิ่งที่เจ้าต้องเรียนรู้มากที่สุดในตอนนี้ก็คือ ทำอย่างไรจึงจะเห็นจุดอ่อนของคู่ต่อสู้ที่อยู่ในขั้นรวบรวมดวงดาว”

เฉินฉางเซิงนึกถึงการต่อสู้ในช่วงเช้า “เหมือนที่ท่านเห็นช่องโหว่ของเซวียเหออย่างไรอย่างนั้นหรือ?”

“ถูกต้อง แต่ถ้าต้องรอให้คู่ต่อสู้ขยับจริงๆ ถึงเจ้าเห็น บางครั้งก็ไม่ทันการณ์ ดังนั้นอาศัยขั้นบำเพ็ญเพียรของเจ้าในตอนนี้ ทางที่ดีต้องคิดคำนวณไว้ก่อน แม้ต้องเดาก็ควรเดาตำแหน่งที่ใกล้เคียงสุด”

“คำนวณอย่างไร?”

“อายุ ขั้นบำเพ็ญเพียร พละกำลัง สภาพร่างกาย กระบวนท่าที่เป็นไปได้ จุดเด่นของอาณาเขตดวงดาว ปริมาณพลังปราณ ความเป็นมาของต้นสังกัด พฤติกรรมตามวัฒนธรรม จุดเด่นของถิ่นที่อยู่ อาหารที่คุ้นชิน แต่งงานหรือยัง มีลูกกี่คน…”

“ผู้อาวุโส…แต่งงานหรือยัง มีลูกกี่คนเกี่ยวอะไรด้วย?”

“คนที่แต่งงานแล้ว ความกล้าและพละกำลังย่อมลดน้อยถอยลง”

“แล้วมีลูกกี่คนล่ะ?”

“ถ้าเพิ่งมีลูก คนผู้นี้ย่อมกล้าแกร่งยากต่อกร เพราะเขามีความรักความผูกพันมากเหลือเกินต่อโลกใบนี้”

“แล้วถ้ามีลูกเจ็ดคนล่ะ?”

“คนผู้นี้ก็น่ากลัวมากเช่นกัน เพราะเป็นไปได้มากว่า เขาไม่กลัวตาย”

“…เช่นนี้จะว่าไป ชีวิตแต่งงานที่นานเกิน ก็น่ากลัวสุดๆ”

“เจ้านี่ความรู้เท่าหางอึ่ง คู่ต่อสู้เช่นนี้น่ากลัวตรงไหน? เกรงว่าวันๆ เอาแต่คิดฆ่าตัวตายสิไม่ว่า”

“…ผู้อาวุโส เราพูดจาจริงจังกันหน่อยได้ไหม อย่ากวนกันไปกวนกันมาอีกเลย”

“ใครกวนใคร?”

“…”

……

……

ซูหลีย่อมมิได้กำลังก่อกวน รายละเอียดหกสิบเจ็ดหัวข้อที่เขาแจกแจงให้เฉินฉางเซิงฟังนั้น ไม่ว่าจะเป็นอายุ ขั้นบำเพ็ญเพียร พละกำลัง สภาพร่างกาย ความเป็นมาของต้นสังกัด สีผิว เป็นต้น ล้วนมีความหมายในการต่อสู้ทั้งสิ้น ตามคำพูดของเขา ถ้าเฉินฉางเซิงสามารถฝึกฝนเพลงกระบี่ชนิดนี้จนเชี่ยวชาญ ย่อมสามารถเห็นช่องโหว่ของคู่ต่อสู้ที่อยู่ในขั้นรวบรวมดวงดาวได้อย่างง่ายดาย

เพลงกระบี่นี้ไม่มีกระบวนท่า ไม่จำเป็นต้องบำเพ็ญเพียรในขั้นสูงและมีพลังปราณที่แข็งแกร่ง ขอเพียงมีความรอบรู้กับความสามารถในการคำนวณที่แม่นยำ ก็เพียงพอที่จะมอบดวงตารอบรู้แก่ผู้ถือกระบี่ในการอ่านโลกใบนี้ขาด จึงเรียก ‘เพลงกระบี่รอบรู้’

ดึกดื่นค่ำคืน ดวงดาวเต็มท้องฟ้า ซูหลีใช้กระบี่แทนพู่กัน ขีดๆ เขียนๆ อยู่บนพื้นข้างทะเลสาบ อธิบายถึงความเกี่ยวข้องและการเปลี่ยนแปลงของเรื่องที่ดูเหมือนไม่เกี่ยวข้องกันให้เฉินฉางเซิงฟัง ซึ่งเฉินฉางเซิงก็ค่อยๆ ยอมรับหลักการเกี่ยวกับเพลงกระบี่รอบรู้ เขาตั้งใจฟังอย่างยิ่ง หัวสมองทำงานไม่หยุด ไม่ยอมพลาดแม้คำเดียวหรือตัวอักษรเดียว

เมื่ออธิบายเกี่ยวกับเพลงกระบี่รอบรู้เสร็จสิ้น ซูหลีก็เอนหลังลงระหว่างกวางพื้นเมืองสองตัว ก่อนผล็อยหลับไป

เฉินฉางเซิงนั่งอยู่ริมทะเลสาบ ยังไม่หลับ เพราะหลับไม่ลง

ตรงหน้าเขามีแต่ตัวอักษรถี่ยิบ กับขั้นตอนการตั้งข้อสันนิษฐานที่สลับซับซ้อนสุดๆ

เขาชำนาญการท่องหนังสือ ซึ่งความสามารถด้านนี้ธรรมดามากจริงๆ

เมื่อไม่มีความรู้มากพอ จะเรียนรู้เพลงกระบี่รอบรู้ได้อย่างไร?

เพลงกระบี่ที่แลดูไม่ยาก แต่จริงๆ แล้วซับซ้อนยิ่ง เขาไม่สามารถควบคุมได้จริงๆ

ทว่าตอนนี้ เขาพลันคิดถึงแม่นางชูเจี้ยนขึ้นมา ผิวน้ำของทะเลสาบที่อยู่ตรงหน้าคล้ายมีผ้าสีขาวลอยละล่องอยู่ หากให้ผู้มีพรสวรรค์ด้านการคิดคำนวณและการตั้งข้อสันนิษฐานเช่นนางมาฝึกฝนเพลงกระบี่ชุดนี้แล้วล่ะก็ น่าจะฝึกสำเร็จได้อย่างรวดเร็ว