บทที่ 451 รนหาที่ตาย

บัลลังก์พญาหงส์

น้ำเสียงของหลิวซื่อแฝงไว้ด้วยเสียงหัวเราะพูดว่า “เป็นเจ้า” ถาวจวินหลันจึงคิดว่าหลิวซื่อรู้อยู่แล้วว่าตนเองจะต้องมา นางจึงขมวดคิ้วมุ่น พลางถามตามสันชาตญาณ “นี่หมายความว่าอย่างไร?”

รอยยิ้มบนใบหน้าของหลิวซื่อยิ่งกว้างขึ้น ริมฝีปากแทบจะฉีกไปถึงหลังหู นาง ‘แสยะ’ ยิ้มออกมา “ถาวซื่อ เจ้าฉลาดกว่าผู้อื่นมิใช่หรืออย่างไร? แล้วยังสง่างามอยู่เสมอมิใช่หรือ? เจ้าจะไม่เข้าใจความหมายของข้าเลยอย่างนั้นหรือ?”

ด้วยตอนนี้หลิวซื่อมีร่างกายอ่อนแอ พูดมากเช่นนี้จึงหอบเป็นธรรมดา บนหน้าผากก็มีเม็ดเหงื่อผุดออกมา เหมือนว่าเพียงไม่กี่คำนี้ก็กินแรงนางไปหมดแล้ว

แต่ต่อให้จะต้องใช้แรงถึงเพียงนี้ อารมณ์ของหลิวซื่อก็ยังคงดีอยู่ มีรอยยิ้มบนใบหน้าตลอดเวลา แต่รอยยิ้มนั้นกลับดูน่าเวทนามากเป็นพิเศษ

จะไม่น่าเวทนาได้อย่างไร? หลิวซื่อในตอนนี้ใบหน้าซูบผอม ดวงตาทั้งสองข้างไร้แวว ผิวหนังก็หย่อนคล้อยเพราะซูบผอมมากเกินไป ยิ่งยิ้มกว้างแป้นแล้นขนาดนี้กลับเหมือนเนื้อหุ้มกระดูกมากกว่า

ถาวจวินหลันขมวดคิ้วเบือนหน้าหนี จ้องมองกุหลาบที่ถูกปักอยู่บนผ้าม่าน สีที่สดใสสวยงามถึงเพียงนั้น แต่ในตอนนี้กลับยิ่งส่งให้บรรยากาศในห้องนี้ดูอึดอัด ไม่มีชีวิตชีวามากขึ้น

“เมื่อพูดเช่นนี้ก็แปลว่าท่านเองรู้อาการป่วยของตัวเองอยู่แล้ว” ถาวจวินหลันพูดเนิบๆ น้ำเสียงเรียบนิ่งกว่าที่ตัวนางเองคิดเอาไว้ ท้ายสุดแล้วนางก็ยังหัวเราะออกมา “เมื่อครู่นี้ข้ายังคิดอยู่ว่าจะพูดเรื่องนี้กับท่านอย่างไรดี ตอนนี้เห็นทีคงไม่ต้องเปลืองน้ำลายแล้ว“

พอพูดจบนางก็เตรียมเดินออกไปข้างนอก ในเมื่อหลิวซื่อรู้แล้ว แล้วนางต้องอยู่ต่อทำไม? ต่อให้ไม่กลัวติดต่อเชื้อโรคระบาด แต่อยู่ไปก็เหนื่อยใจเปล่าๆ

พูดตามจริงแล้ว นางกลัวว่าถ้าตนเองอยู่ต่อไป อาจจะเผลอทำร้ายหลิวซื่อขึ้นมา อย่าเห็นว่าปกติแล้วนางเป็นคนใจเย็นสงบนิ่ง แต่ตอนนี้ภายในใจมีกองไฟสุมอยู่เช่นเดียวกัน

นางเข้าใจความหมายแฝงในคำพูดของหลิวซื่อแล้ว จึงได้โกรธแค้นมากกว่าเดิม

หลิวซื่อหัวเราะออกมา ฟังแล้วอารมณ์ดียิ่งนัก “ถาวซื่อ เคราะห์นี้เจ้ายากจะหนีพ้นแล้ว!”

ถาวจวินหลันหยุดฝีเท้า หันหลังกลับไป พลางพูดเนิบๆ ว่า “แท้จริงแล้วหลี่เย่ติดค้างอะไรเจ้ากันแน่? ทำไมเจ้าต้องทำร้ายเขาขนาดนี้?” ตัวนางเองไม่เคยถามตัวเอง ในใจนางนั้นเข้าใจเป็นอย่างดี ตั้งแต่หลิวซื่อสูญเสียลูกชายไป หลิวซื่อจึงคิดจะชำระหนี้แค้นกับนางในครั้งนี้

หลิวซื่อหัวเราะเย็นทันที “สิ่งที่เขาติดค้างข้ามีน้อยอย่างนั้นหรือ? เขาทำลายชีวิตแต่งงานของข้าไม่พอ แล้วยังดูถูกข้าอยู่ร่ำไป ไม่มองข้าเป็นภรรยา แล้วยังทำร้ายลูกชายของข้าจนตาย! เขาสมควรตาย!”

ถาวจวินหลันได้ยินก็อดหัวเราะไม่ได้ “เขาทำลายชีวิตแต่งงานของท่านอย่างนั้นหรือ? ฮ่องเต้ตัดสินการแต่งงานระหว่างพวกท่าน เขายังมีทางเลือกอีกหรืออย่างไร? เขาไม่เห็นค่าท่าน? แล้วทำไมถึงไม่เห็นค่าท่านเล่า? คนมีเมตตาอย่างเขายังปฏิบัติต่อท่านเช่นนี้ ทำไมท่านไม่คิดเสียหน่อยว่าเป็นเพราะอะไรกันแน่? ท่านเคยเห็นเขาเป็นสามีด้วยหรืออย่างไร? ท่านดูถูกเขาเพียงเพราะเขาพูดไม่ได้ ไม่อาจนำเกียรติยศศักดิ์ศรีมาให้ท่านได้ แล้วทำไมตอนนี้กลับขุดเรื่องนี้มากล่าวโทษกัน?! อีกทั้งลูกชายของท่านไม่ใช่ลูกชายของเขาหรืออย่างไร? ถ้าไม่ใช่เพราะท่านใช้ยา เด็กคนนั้นจะต้องตายก่อนวัยอันควรหรือ?”

หลิวซื่อฉับพลันก็พูดตะคอกว่า “ไม่จริง! ถ้าหากเขาเห็นข้าเป็นภรรยา แล้วทำไมถึงไม่ยอมบอกข้าว่าเขาไม่ได้เป็นใบ้ตั้งแต่แรก? ทำไมยังต้องเสแสร้งแกล้งทำ? หากเขาเห็นข้าเป็นภรรยา แล้วจะลำเอียงโปรดปรานเจ้าเพียงคนเดียวทำไม? ทำไมเขาจะต้องพาเจ้าเข้าจวนด้วยพิธียิ่งใหญ่?! เจ้าคิดว่าข้าไม่รู้อย่างนั้นหรือ ว่าพวกเจ้าต้องตากันตั้งแต่ยังอยู่ในวังหลวงแล้ว! เจ้าคิดว่าข้าไม่รู้หรือ ว่าเขายังเก็บข้าเอาไว้ก็เพื่อให้เจ้ามีที่อยู่! ข้าใช้ยา แต่ถ้าเขาใส่ใจข้าสักเล็กน้อย ไปหาหมอมีชื่อเสียงมาบำรุงรักษา  และให้คนดูแลลูกชายให้ดี เขาจะตายก่อนวัยอันควรได้อย่างไร! เขาเพียงแค่สนใจตัวมารที่อยู่ในท้องของเจ้าเท่านั้น!”

หลิวซื่อพูดออกมาโดยไม่คิด

ถาวจวินหลันก็เริ่มโมโหเช่นกัน จึงพูดไปตรงๆ “ท่านคิดว่าตัวเองเป็นนางพญาหรืออย่างไร ถ้าหากเขาสามารถพูดได้ จากฐานะของท่านแล้ว จะเป็นชายาเอกได้อย่างไร! อีกทั้งสองปีนั้นที่พวกท่านแต่งงานกัน ข้ายังไม่เคยแม้แต่พบหน้าเขา! เป็นท่านที่ผลักเขาออกมาเอง! แต่ถึงอย่างนั้นเขาก็ไม่ได้ละเลยท่าน เขายังคงให้ท่านเป็นชายาเอกตวนอ๋อง ยังคงให้ท่านได้เสพสุขในสิ่งที่ท่านควรได้รับ! เคยทำให้ท่านขาดทุนแม้แต่น้อยหรืออย่างไร! ต่อให้มีหมอชื่อดังมารักษาเด็กคนนั้น แต่ตอนที่ออกมาจากครรภ์ก็ยังไม่พร้อม หรือว่าอาการจะดีขึ้นได้หรืออย่างไร? ท่านอย่าหลอกตัวเองอีกเลย! หลิวซื่อ ถ้าพูดไม่น่าฟัง ในฐานะที่ท่านมากจากตระกูลล่มสลาย ท่านยังคิดว่าจะได้แต่งงานดีอีกหรือออย่างไร?”

อะไรเรียกว่าใจคนไม่รู้จักพอไม่รู้จักเจียมตัว เมามั่วดั่งงูร้ายหมายกลืนช้าง ก็คือสิ่งที่เป็นอยู่ตอนนี้ หากหลิวซื่อรู้จักพอเสียงหน่อย ฉลาดเฉลียวอีกสักเล็กน้อย แล้วจะมีจุดจบอย่างวันนี้ได้อย่างไร!

“ต่อให้เขาลำเอียงโปรดปรานข้าไปสักหน่อย แต่ลองถามใจตัวท่านเองเถิด เขาไม่เคยละเลยท่าน และไม่เคยทำเรื่องไม่ดีต่อท่าน หรือแม้แต่โปรดอนุฆ่าเอก!” ถาวจวินหลันแทบจะตะโกนคำรามประโยคนี้ออกมา พูดจริงๆ แล้ว นางรู้สึกไม่ยุติธรรมแทนหลี่เย่จากใจจริง นางไม่เข้าใจว่าทำไมหลิวซื่อถึงพูดสิ่งเหล่านี้ได้อย่างหน้าชื่นตาบาน

หลิวซื่อหัวเราะเย็น “เจ้าคิดว่าทุกคนจะแต่งงานออกเรือนไม่ได้เหมือนเจ้า จนต้องยอมมาเป็นนุภรรยาอย่างนั้นหรือ? หากไม่ใช่เพราะเขาเข้ามาขัด ตอนนี้ข้าก็คงเป็นพระชายารัชทายาทไปแล้ว! อีกอย่าง เกรงว่าใต้หล้านี้คงมีเพียงเจ้าที่คิดว่าเขาเป็นคนดี! คนเย็นชาไร้หัวใจอย่างเขา คนที่แม้แต่ลูกชายของตัวเองก็ยังไม่สนใจ สมควรต้องลงนรก! ซ้ำยังคิดจะแก่งแย่งกับองค์รัชทายาท! ไม่มีทาง!”

ฉับพลันนั้นหลิวซื่อก็ไอรุนแรงรุนแรง จนถึงขั้นทำให้คนสงสัยว่าจะหายใจทันหรือไม่

ถาวจวินหลันตะลึงไป นางไม่คิดว่าหลิวซื่อจะพูดคำนั้นออกมา ที่ว่าเกือบจะได้เป็นพระชายาองค์รัชทายาท

“ไม่มีทางเป็นไปได้” ถาวจวินหลันเอ่ยปฏิเสธทันที “ดูจากนิสัยของฮองเฮาแล้ว จะหาพระชายาองค์รัชทายาทจากตระกูลตกอับให้องค์รัชทายาทได้อย่างไร? อีกทั้งจวนเหิงกั๋วกงเป็นครอบครัวของนาง ต่อให้เพื่อยกระดับครอบครัวของตัวเอง พระชายาองค์รัชทายาทก็ต้องมาจากครอบครัวของนาง มาจากจวนเหิงกั๋วกง”

ดังนั้นไม่ว่าคิดมากเพียงใดก็ไม่มีทางมาถึงหลิวซื่อ ไม่มีทางเป็นไปได้

ที่สำคัญที่สุดก็คือ ตอนนั้นไทเฮาต่อต้านหลิวซื่อเป็นชายาเอกด้วยซ้ำไป เป็นฮ่องเต้ที่จัดการเรื่องนี้ ที่สำคัญคือฮองเฮาไม่ได้ขัดขวางเลยแม้แต่น้อย หากฮองเฮาถูกใจหลิวซื่อจริง แล้วฮองเฮาจะยอมปล่อยไปอย่างนั้นหรือ? ต่อให้ไม่ได้ให้องค์รัชทายาทแล้ว ก็ไม่มีทางให้หลี่เย่ได้เป็นอันขาด

เรื่องนี้ถาวจวินหลันมั่นใจมาก ดังนั้นนางจึงคิดว่าหลิวซื่อคงต้องเข้าใจผิดแน่นอน นางคิดไม่ถึงว่าภาพลักษณ์ของหลี่เย่ในใจของหลิวซื่อนั้นจะเป็นเช่นนี้ เย็นชาไร้หัวใจ? หึ หากหลี่เย่เป็นเช่นนั้น หรือว่าเป็นนางเองที่มองผิดไป? แม้นบอกว่าภาพลักษณ์อบอุ่นเงียบสงบจะถือว่าหลอกหลวง แต่เขาก็ไม่ใช่คนเย็นชาไร้หัวใจแน่นอน

เพียงแค่คิดถึงเรื่องที่หลี่เย่ทำแทนนาง นางเองก็ไม่มีทางคิดว่าหลี่เย่เย็นชาไร้หัวใจเป็นแน่

“ใครบอกท่านว่าจะได้เป็นพระชายาองค์รัชทายาท?” ถาวจวินหลันใจเย็นลง เลิกคิ้วถาม “อีกอย่าง หรือว่าท่านชอบองค์รัชทายาท? แล้วเจ้าติดเชื้อโรคระบาดมาได้อย่างไร? เพราะว่าฉ่ายยวนอย่างนั้นหรือ? เป็นความคิดของฮองเฮาหรือความคิดของเจ้าเอง?”

หลิวซื่อควบคุมลมหายใจได้ เพียงแต่ยังมีอาการหอบอยู่เท่านั้น แต่เมื่อมองท่าทีของนางก็สัมผัสได้ถึงความตื่นเต้นและความร้อนรน

แต่หลิวซื่อเพียงแค่จ้องถาวจวินหลันพลางหัวเราะเยาะ แต่ไม่ยอมพูดอะไรอีกแล้ว ถาวจวินหลันรู้อยู่แก่ใจว่าหลิวซื่อตั้งใจจะบิดพลิ้วหลอกล่อ จึงไม่เก็บมาใส่ใจ เพียงแค่พูดพึมพำกับตัวเอง “ใช่แล้ว ท่านเป็นพระชายาองค์รัชทายาทได้ ก็คงเป็นความคิดที่ฮองเฮาบอก ถ้าไม่อย่างนั้นแล้วท่านจะแค้นหลี่เย่ได้อย่างไร? มิเช่นนั้น หากอาศัยแค่เพียงฝีมือและความสามารถของท่าน และยังสนิทชิดเชื้อกับหลี่เย่จริง นั่นก็คงไม่ดีต่อองค์รัชทายาทแล้ว นั่นเป็นเพียงการข่มขู่ นางจะยินยอมให้จวนตวนอ๋องเจริญรุ่งเรืองได้อย่างไร?”

เมื่อพูดถึงตรงนี้ ถาวจวินหลันก็มองหลิวซื่อทีหนึ่ง เห็นหลิวซื่อมีท่าทีเปลี่ยนไปเล็กน้อย และยิ่งมีท่าทีคล้ายกำลังคิดบางอย่าง ก็รู้ว่าตนเองควรพูดต่อไป “ถ้าไม่ใช่ฉ่ายยวนนำโรคระบาดมาก็ไม่มีทางอื่นแล้ว ท่านอยู่ที่นี่มานาน แม้แต่เงาคนแปลกหน้าก็ยังไม่เคยเห็น คนตระกูลหลิวเองก็ยังไม่มา แล้วท่านจะติดเชื้อโรคระบาดได้อย่างไร? คนวางแฝนคงไม่ใช่ท่านเป็นแน่ ฮองเฮาไม่มีทางเสียดายหมากที่ถูกทอดทิ้งไปแล้ว นางส่งคนมาถ่ายทอดคำพูดให้ท่านฟังใช่หรือไม่ ถึงอย่างไรท่านก็มีชีวิตอยู่ต่ออย่างทรมาน ไม่สู้ลากข้าลงไปเป็นเบาะรองด้วย? เมื่อเป็นเช่นนี้ ท่านก็ถือว่าได้ล้างแค้นแล้วใช่หรือไม่? ท่านเกลียดข้า และก็เกลียดหลี่เย่ หากข้าตาย หลี่เย่ก็จะต้องเสียใจเป็นแน่ แม้จะบอกว่าวิธีนี้อ้อมค้อมไปหน่อย แต่ท่านก็รู้สึกพอใจ ใช่หรือไม่เล่า?”

ยิ่งถาวจวินหลันพูดมาเท่าไร รอยยิ้มบนใบหน้าของหลิวซื่อก็ลดหายไปเท่านั้น

สิ่งมาแทนรอยยิ้มก็คือท่าที่ครุ่นคิดบางอย่าง

ริมฝีปากของหลิวซื่อเม้มหากันแน่น นิ้วมือก็กำผ้าห่มปักลายดอกไม้แน่น ข้อนิ้วนั้นซีดขาวอย่างผิดปกติ

ถาวจวินหลันยิ้มเล็กน้อย แทงดาบเล่มสุดท้ายเข้าไป “ตอนนั่นใครที่ยุยงให้ท่านใช้ยานั่น? เป็นฮองเฮาใช่หรือไม่? ฮองเฮาเตือนท่าน บอกว่าให้ท่านตั้งครรภ์ก่อนข้า ถึงจะรักษาตำแหน่งต่อไปได้ และเป็นฮองเฮาที่ช่วยท่านหาหมอหลวงมาบำรุงรักษาครรภ์ไม่ใช่หรือ? แต่หลังจากนั้นมาหมอหลวงคนนั้นก็ไม่ได้บอกท่านว่า ลูกของท่านไม่มีทางอยู่รอดได้ไม่ใช่อย่างนั้นหรือ? ในทางกลับกัน เป็นใครกันที่เตือนท่าน ถ้าไม่ใช่เพราะว่าหลี่เย่ไม่ใส่ใจท่าน และลูกของท่านไม่ตายเล่า? ท่านคิดให้ดี เรื่องทั้งหมดนี้ล้วนมีเงาของฮองเฮาแฝงอยู่ทั้งนั้น?”

หยุดไปครู่หนึ่ง นางก็หัวเราะเยาะตัวเองอีก “ใช่แล้ว ข้าตายไปแล้วหลี่เย่จะเสียใจก็ไม่ใช่เรื่องโกหก น่าเสียดาย ตอนท่านตายไป คงไม่มีแม้เพียงสักคนที่เสียใจ องค์รัชทายาทยิ่งไม่มีทางเสียใจเป็นแน่ แม้แต่พ่อแม่ของท่าน เกรงว่าคงลืมลูกสาวคนนี้ไปนานแล้ว พวกเขายิ่งรู้สึกกล่าวโทษเจ้า เป็นชายาเอกดีๆ ไม่ชอบ ชอบรนหาที่ตาย!”

ในความเป็นจริงแล้ว ตั้งแต่คนตระกูลหลิวไม่ได้เงินจากหลิวซื่อ ก็ไม่ชอบใจมาตั้งแต่ตอนนั้น จนถึงหลังจากหลิวซื่อโดนกักบริเวณแล้ว คนในตระกูลหลิวก็เหมือนหลิวซื่อไม่มีตัวตน บางทีเป็นเพราะตัวเองยังเอาตัวไม่รอด หรืออาจเป็นเพราะว่าไม่ใส่ใจแม้แต่น้อย อย่างไรคนในตระกูลหลิวก็ไม่เคยมาหาหลิวซื่ออีกเลย แต่ทุกครั้งที่ถึงหน้าเทศกาลก็ต้องรีบส่งคนมาส่งของขวัญ เพื่อฉวยโอกาสเตือนจวนตวนชินอ๋องว่าควรส่งของให้พวกเขาได้แล้ว