บทที่ 30 ข้าไม่ยอมให้ท่านตาย Ink Stone_Romance
ทำไมผู้ชายคนนี้ถึงรับธนูแทนข้ากันนะ
เมื่อผ่านพ้นช่วงวิกฤตมาได้ สิ่งที่พวยพุ่งออกมาก็มีแต่คำถาม ที่เขาว่ากันว่าคนเราเมื่อเอนหลังยามท้องอิ่มก็จะคิดอะไรไร้สาระนั้นเห็นทีจะเป็นเรื่องจริง เพราะเมื่อสถานการณ์ดีขึ้นแม้เพียงน้อยนิด แพทริเซียก็เผลอคิดอะไรแบบนี้เสียแล้ว นางทั้งเบื่อตัวเองทั้งสงสัยเรื่องนั้นอย่างจริงจัง เหตุใดเขาถึงรับลูกธนูแทนนางเล่า?
เขาไม่ได้รักนาง และนางก็ไม่ได้รักเขา นี่คือความจริงที่ทั้งลูซิโอและแพทริเซียรู้และไม่สามารถปฏิเสธได้ เช่นนั้น…ทำไมกัน? หากไม่ใช่เพราะความรัก การเสียสละตัวเองเช่นนี้จะเกิดจากเหตุผลใด?
หรือเขาจะรู้สึกผิดต่อข้า? รู้สึกผิดที่เขาให้ความรักกับข้าไม่ได้? หากไม่ใช่เรื่องนั้น หรือเขาจะรู้สึกผิดกับเรื่องที่โรสมอนด์ทำกับข้าไว้ในงานเลี้ยงรับรองภริยาคณะทูต? ในหัวของแพทริเซียมีข้อสันนิษฐานมากมายแต่นางก็ไม่สามารถมั่นใจกับเรื่องใดได้เลย
ไม่นานแพทริเซียก็เลิกคิด
ไม่ว่าจะขบคิดเท่าไร ตราบใดที่นางกลายเป็นเขาไม่ได้นางก็ไม่มีทางไม่รู้คำตอบ พูดง่ายๆ คือมันเป็นการกระทำที่ไร้ประโยชน์ หากที่นี่เป็นพระราชวังที่ปลอดภัยไร้กังวลก็ว่าไปอย่าง แต่การทำสิ่งที่ไร้ความหมายในสถานการณ์เช่นนี้รังแต่จะเป็นการบั่นทอนพลังชีวิตตัวเองเท่านั้น
แพทริเซียลุกขึ้นยืนเพื่อหาอะไรที่มีคุณค่าทำ ตอนนี้อาการของนางดีขึ้นแล้ว อาจเป็นเพราะได้ดื่มน้ำดอกสกัลเลอร์เมื่อครู่ ร่างบางไม่ค่อยวิงเวียนศีรษะและไม่รู้สึกพะอืดพะอมแล้ว นางเดินออกไปนอกถ้ำเพื่อหาอะไรมาใส่ท้อง
หากจะพาเขากลับวัง นางต้องเพิ่มพลังให้ตัวเองซึ่งตอนนี้อยู่ในฐานะผู้บริบาลเสียก่อน แพทริเซียหยิบกระบอกธนูที่ว่างเปล่าขึ้นมาสะพายพลางคิดว่าถ้าข้างนอกนั่นมีอะไรที่พอกินได้ก็คงจะดี
***
ในขณะเดียวกัน โรสมอนด์กำลังนั่งจิบชาโรสแมรีที่นางโปรดปรานอยู่ในตำหนักเวน นางหยุดจิบชาและเงยหน้ามองออกไปนอกหน้าต่าง ท้องฟ้ามืดครึ้ม ดูเหมือนว่าฝนจะตกในอีกไม่ช้า
หากฝนตก ร่องรอยต่างๆ ก็จะหายไปได้โดยง่าย นางมีสีหน้าพึงพอใจพลางขอชาจากคลาราอีกถ้วย คลารายกกาน้ำชามาตามคำสั่ง
“เลดี้ดูอารมณ์ดีนะคะ” นางถามโรสมอนด์ด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม
“จะไม่ดีได้อย่างไรเล่า คลารา แต่เจ้าดูอารมณ์ไม่ค่อยดีเลยนะ”
“จะเป็นเช่นนั้นได้อย่างไรคะ เลดี้ หากท่านสุขใจข้าย่อมสุขใจไปด้วย”
สีหน้านายหญิงของตนดูดีในรอบหลายวัน คงจะเป็นอย่างที่โรสมอนด์ว่า ตอนนี้ไม่มีทางที่เจ้าตัวจะอารมณ์ไม่ดี เมื่อหลายวันก่อนนายหญิงของตนลอบออกจากวังเพื่อไปจ้างวานกลุ่มนักฆ่าฝีมือดี นางบอกว่าหากสังหารจักรพรรดินีในงานเทศกาลล่าสัตว์ได้ จะเรียกเงินเท่าไรนางก็จะให้ พวกนั้นเป็นกลุ่มนักฆ่าที่มีฝีมือ เพราะฉะนั้นแผนการของบารอเนสน่าจะประสบความสำเร็จได้ไม่ยาก หากเงินถึงผลงานย่อมต้องออกมาดี และนายหญิงก็มีเงินมากมาย
ต่อให้มีอัศวินราชองครักษ์อย่างราฟาเอลาอยู่ด้วย ตราบใดที่ฝ่ายนั้นมิใช่ยมทูต นางก็คงไม่สามารถต่อกรกับกลุ่มนักฆ่ากว่าสามสิบคนด้วยตัวคนเดียวได้ ตอนนี้อีกฝ่ายยังไม่มีความสามารถขนาดนั้น
คลารากล่าวกับโรสมอนด์ด้วยน้ำเสียงชื่นบาน “คราวนี้พระราชวังก็จะตกอยู่ในความวุ่นวาย และฝ่าบาทจะต้องแต่งตั้งท่านขึ้นเป็นจักรพรรดินีแน่ค่ะ”
“พระองค์ต้องทำเช่นนั้นแน่ คลารา หากข้าได้เป็นจักรพรรดินี เจ้าก็จะได้เป็นหัวหน้านางกำนัลของตำหนักจักรพรรดินี เจ้าไม่ดีใจหรือ?”
“ดีใจมากๆ ค่ะ บารอเนส ข้าได้เรียนท่านไปแล้วว่าความสุขของข้าก็คือความสุขของท่าน และความสุขของท่านก็คือความสุขของข้าเช่นกัน”
“แหม เจ้านี่พูดจาหวานหูทีเดียว”
คำพูดคำจาของโรสมอนด์นุ่มนวลกว่าปกติ อาจเป็นเพราะนางไม่ได้อารมณ์ดีเช่นนี้มานานแล้ว คลาราคิดว่าหากอีกฝ่ายเป็นเช่นนี้ทุกวันคงจะดีไม่น้อย
“หากไม่มีอะไรผิดพลาด จักรพรรดินีต้องถูกสังหารเป็นแน่ อีกทั้งดูจากสภาพอากาศแล้ว ไม่นานฝนน่าจะตก การกลบเกลื่อนร่องรอยก็น่าจะง่ายขึ้นด้วย” คลารากล่าวด้วยน้ำเสียงที่จริงจังมากกว่าเดิม
“ข้าเองก็คิดเช่นนั้น แต่ต่อให้ฝนไม่ตก การจับเจ้าพวกนั้นก็คงไม่ง่ายนักหรอก ข้าบอกอยู่เสมอมิใช่หรือว่าเงินจะทำหน้าที่ของมัน”
โรสมอนด์หัวเราะร่าแล้วจิบชาอย่างเพลิดเพลิน หากรู้ว่าเรื่องจะจบง่ายๆ เช่นนี้ ตนคงจ้างนักฆ่าไปนานแล้ว โรสมอนด์อารมณ์ดีเป็นที่สุดเพราะรู้สึกว่าทุกอย่างจะเป็นไปด้วยดี
อนาคตของตนต่อแต่นี้ไปก็เช่นกัน มันจะเป็นเส้นทางที่โรยด้วยกลีบกุหลาบหาใช่ขวากหนาม ไม่ว่ากลีบกุหลาบนั้นจะชุ่มโชกไปด้วยเลือดจนสีสันเปลี่ยนไปจนน่าขนลุกเพียงใด ต่อให้กลิ่นที่โชยมาตามลมหาใช่กลิ่นดอกไม้หอมหวนแต่เป็นกลิ่นคาวเลือดก็ตามที
***
อาการของลูซิโอไม่ได้ดีขึ้นอย่างรวดเร็วตามที่แพทริเซียคาดไว้ นางกินผลไม้ป่าที่ออกไปเก็บมาก่อนจะมานั่งสังเกตอาการของชายหนุ่มที่ป่านนี้แล้วก็ยังไม่ขยับตัวแม้แต่น้อย ตอนแรกเขาดูเหมือนจะดีขึ้นแต่แล้วเขาก็มีไข้ และไข้นั้นก็สูงเกินกว่าจะคิดได้ว่าหลังไข้ลดเขาจะดีขึ้น
แพทริเซียซึ่งไม่ใช่ผู้เชี่ยวชาญด้านสมุนไพรได้แต่ตกใจเพราะเรื่องนี้ไม่มีเขียนไว้ในตำรา ตนเอาดอกสกัลเลอร์ให้อีกฝ่ายกินตามที่รู้มา และตัวนางเองที่ได้กินเข้าไปเช่นกันก็รู้สึกว่ามันได้ผล
แต่การที่เขายังไม่ได้สติเช่นนี้…คงมิใช่ว่าเขาได้รับยาเมื่อสายไปหรอกนะ
แพทริเซียส่ายหน้าเมื่อรู้สึกตัวว่าเริ่มคิดในแง่ร้าย
ยังเร็วเกินไปที่จะคิดในแง่ร้ายเช่นนั้น ลูซิโอยังไม่ตาย และในเมื่อนางยังมีชีวิตอยู่ก็อาจจะยังมีวิธีอื่นอีกก็เป็นได้ แพทริเซียครุ่นคิดหาวิธีลดไข้ให้ลูซิโอ นางคิดว่าหากไข้ยังสูงเช่นนี้ การกักเก็บความร้อนไว้ย่อมมิใช่ทางเลือกที่ดี นางจึงตัดสินใจนำกองฟางที่คลุมตัวเขาออก
-ครืน…เปรี้ยง!
ในตอนนั้นเอง เสียงฟ้าร้องก็ดังสนั่นมาจากด้านหลัง จากนั้นก็ตามมาด้วยเสียงฝนตกราวกับฟ้ารั่ว แพทริเซียดีดตัวลุกขึ้นด้วยความตกใจก่อนจะรีบออกไปนอกถ้ำทั้งที่ฝนตก นางแก้เชือกที่ผูกแซลลี่ไว้และเดินจูงมันเข้ามาในถ้ำ แซลลี่สลัดขนที่เปียกน้ำทำให้หยดน้ำจำนวนมากกระเซ็นใส่แพทริเซีย
หญิงสาวใช้มือปาดหยดน้ำออกลวกๆ ก่อนจะผูกแซลลี่ไว้อีกครั้ง ระหว่างนั้นฝนยังคงตกลงมาไม่หยุด นางเงยหน้ามองหยาดฝนจำนวนมากที่โปรยปรายลงมาจากท้องฟ้า การที่ฝนตกเช่นนี้อาจเป็นทั้งเรื่องดีและไม่ดีสำหรับนาง ประการแรกจะไม่มีใครตามหาพวกนางพบเพราะติดฝน
หากผู้ที่ตามหาเป็นพวกนักฆ่าก็นับว่าเป็นเรื่องที่ต้องชูสองมือร้องเฮด้วยความยินดี แต่หากเป็นคนของราชสำนัก นี่คงเป็นเรื่องที่ผิดพลาดอย่างมาก อีกทั้งเมื่อฝนตกน้ำก็จะขึ้นสูงและหากนางต้องข้ามแม่น้ำก็จะยิ่งลำบาก
แพทริเซียยื่นมือออกไปนอกถ้ำเพื่อรองน้ำฝนที่ตกลงมา น้ำนั้นเย็นเฉียบ ทันใดนั้นนางก็เกิดความคิดที่ว่าการใช้น้ำฝนลดไข้น่าจะเป็นวิธีที่ไม่เลวนัก
แต่แล้วนางก็ต้องกลับมาคิดใหม่ การจะพาเขาไปอาบน้ำฝนนอกถ้ำในสภาพอากาศเช่นนี้รังแต่จะเกิดผลเสียตามมา คล้ายว่าตำราเล่มใดเล่มหนึ่งเคยกล่าวไว้ การลดอุณหภูมิร่างกายอย่างรวดเร็วจะทำให้ร่างกายทำงานหนักและก่อให้เกิดผลที่ไม่ดีนัก
อีกทั้งเนื้อความในตอนท้ายของตำราเล่มนั้นยังกล่าวอีกว่า หากต้องลดไข้ในสถานการณ์ที่ไม่มียา จำเป็นต้องให้ผู้อื่นที่สุขภาพแข็งแรงลดอุณหภูมิของตัวเองแล้วกอดผู้ที่ต้องการลดไข้ไว้
เมื่อคิดได้ดังนั้น ใบหน้าของแพทริเซียก็แดงเรื่อ แต่ก็เหมือนกับก่อนหน้านี้ ตอนนี้ไม่ใช่เวลาที่จะมาพะวงกับเรื่องพรรค์นั้น และคงไม่มีคนบ้าที่ไหนจะมาคิดจุกจิกในสถานการณ์ที่คาบเกี่ยวระหว่างความเป็นกับความตายเช่นนี้
เมื่อตัดสินใจได้แล้ว แพทริเซียก็เดินออกไปยืนอยู่ท่ามกลางสายฝน แซลลี่ที่อยู่ด้านหลังร้องฟึดฟัดดีดดิ้นคล้ายจะถามว่านางกำลังทำอะไร แต่แพทริเซียไม่สนใจ
เพราะหากนางไม่ตัดสินใจทำเช่นนี้ ทั้งนาง ทั้งผู้ชายคนนั้น และเจ้าม้าตัวนั้นก็จะต้องตายทั้งหมด
แพทริเซียยืนตากสายฝนอันหนาวเหน็บ ปล่อยให้น้ำฝนเย็นฉ่ำไหลลงมาตามใบหน้า หน้าอก และหน้าท้องของนาง
นางคร่ำครวญในลำคอด้วยความทรมานเพราะความหนาวและอุณหภูมิของร่างกายที่ลดลง แต่นางก็อดทนและอดทนด้วยสติที่ตั้งมั่น
นางเพิ่งจะกินดอกสกัลเลอร์ไปเมื่อครู่ อย่างไรก็คงไม่ตายง่ายๆ ด้วยอะไรเช่นนี้ แพทริเซียกัดฟันกรอดและพึมพำอย่างแน่วแน่
ข้าไม่ยอมให้ท่านตายหรอก บ้าเอ๊ย
ใครจะยอมตาย พวกเราต้องกลับพระราชวังพร้อมกัน ทั้งเขา นาง และเจ้าม้า ทั้งหมดต้องกลับไปได้อย่างปลอดภัย แพทริเซียพยายามกัดฟันที่สั่นกึกพลางตากน้ำฝนจนเปียกปอนไปทั้งตัว
แพทริเซียยืนอยู่เช่นนั้นราวยี่สิบนาทีก่อนจะเริ่มรู้สึกว่าสติกำลังพร่าเลือน นางเดินโซเซกลับเข้ามาในถ้ำด้วยคิดว่าขืนฝืนยืนอยู่ตรงนั้นต่อไปต้องแย่แน่
แซลลี่ร้องฟึดฟัดคล้ายเป็นห่วง แพทริเซียยิ้มให้มันเพื่อบอกว่าตนไม่เป็นไรแล้วค่อยๆ ปีนขึ้นไปบนหินที่ลูซิโอนอนอยู่ ด้วยสติที่เลือนลางเช่นนี้นางรู้สึกคล้ายกับว่าจะสลบไปได้ทุกเมื่อ
“เฮ้อ…”
หญิงสาวเปล่งเสียงที่อ่อนล้าออกมาก่อนจะดึงอีกฝ่ายมากอดไว้ให้แน่นที่สุด ทันทีที่นางกอดเขา นางก็สัมผัสได้ถึงความร้อนอันมหาศาล ตอนนี้ร่างกายของลูซิโอร้อนเป็นไฟ
แพทริเซียหลับตาลงด้วยความเหนื่อยล้า นางส่งแรงไปที่แขนและกระชับอ้อมกอดให้แน่นขึ้น ในขณะที่นางกอดร่างที่ร้อนดั่งไฟนั้นไว้ นางก็พึมพำไม่หยุด
“ข้าจะไม่ยอมให้ท่านตายเด็ดขาด”
อย่างน้อยในตอนนี้ ในวินาทีนี้ ชีวิตของเขาก็เหมือนชีวิตของนาง เขาเป็นคนเดียวที่จะช่วยให้นางกลับพระราชวังได้โดยไร้มลทิน แพทริเซียออกไปตากฝนและกลับมากอดลูซิโออยู่อย่างนั้นสามสี่ครั้งก่อนจะผล็อยหลับไปด้วยความเหนื่อยล้า
รสชาติแสนขมที่ชีวิตนี้ไม่เคยได้ลิ้มลอง ความรู้สึกเย็นวาบที่แผ่ซ่านไปทั่วร่างกาย และความรู้สึกร้อนๆ หนาวๆ อย่างประหลาดทำให้ลูซิโอเริ่มรู้สึกตัว ในกรณีของคนที่พิษแพร่กระจายไปมากอย่างลูซิโอ กว่าดอกสกัลเลอร์จะออกฤทธิ์ก็กินเวลาไปกว่าสองถึงสามชั่วโมง
สีหน้าของลูซิโอไม่สู้ดีนักไม่รู้เพราะเขาฝันร้ายหรือแค่ทรมานกับความเจ็บปวด บนหน้าผากของเขาเต็มไปด้วยเหงื่อกาฬที่ผุดขึ้นมา แต่ดูจากอุณหภูมิของร่างกายที่ลดลงเป็นปกติแล้วจึงน่าจะให้น้ำหนักกับอย่างแรกมากกว่า
ฝันร้ายของลูซิโอเป็นเรื่องเดียวกันเสมอ แม้ว่าเขาจะมีเรื่องชวนให้เก็บไปฝันร้ายมากมาย แต่เรื่องไหนๆ ก็มิอาจเทียบกับเรื่องที่เกิดขึ้นใน ‘วันนั้น’ ได้
เรื่องอื่นเขาสามารถตั้งสติและทนรับมันได้ แต่เรื่องในวันนั้นกลับไม่ใช่ หากยังเป็นมนุษย์ ต่อให้มีสติมั่นคงเพียงใดก็มิอาจแบกรับเรื่องในวันนั้นได้
ดังนั้น เรื่องราวในฝันร้ายของเขาจึงมีเพียงเรื่องเดียว ลูซิโอไม่สามารถเป็นอิสระจากความทรมานที่เกิดขึ้นซ้ำแล้วซ้ำเล่านี้ได้ และมันคงจะเป็นเช่นนั้นตลอดไป เป็นโทษทัณฑ์ที่จะติดตัวเขาไปชั่วชีวิตดั่งอาญานิรันดร์ของโพรมีธีอุส[1] ลูซิโอปรารถนาเรื่อยมาที่จะได้หลุดพ้นจากการลงทัณฑ์ที่ตนได้รับ แต่ใจหนึ่งเขากลับคิดว่าสมควรแล้ว เขาต้องแบกรับมันไว้เพื่อไถ่บาป
ทว่า วิจารณญาณกับความรู้สึกไม่เคยเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันฉันใด อุดมคติกับความเป็นจริงย่อมขัดแย้งกันฉันนั้น วิจารณญาณของเขาคอยแต่ย้ำเตือนว่าที่เขาต้องฝันร้ายนั้นถูกต้องแล้ว แต่ในความรู้สึกของเขากลับโอดครวญให้กับความทุกข์ทรมานที่ได้รับ ในแง่ของอุดมคติ เขาคิดจะจดจำเรื่องราวในวันนั้นไปจนวันตาย แต่ในความเป็นจริง เขาเป็นเพียงเด็กขี้กลัวที่ตัวสั่นระริกเพราะฝันร้ายและคอยเสาะหาความสบายใจอยู่เสมอ
ฝันร้ายของเขาไม่มีกฎเกณฑ์ มันจะมาหาเขาทั้งตอนที่สุขและทุกข์ หรือต่อให้เขาไม่ทุกข์ไม่สุข ฝันร้ายนั้นก็ยังคงมาเยี่ยมเยือน การฝันร้ายกลายเป็นกิจวัตรประจำวันของเขาไปเสียแล้ว เขามิอาจหลีกหนีและหนีไม่พ้น
[1] โพรมีธีอุส (Prometheus) คือเทพองค์หนึ่งที่ลุกขึ้นมาต่อต้านอำนาจของเทพซุส ด้วยการขโมย “ไฟ” (=แสงสว่าง) และนำไปแจกจ่ายให้มวลมนุษย์ ในแง่หนึ่งนี่ถือเป็นการลดทอนอำนาจของเทพซุสผู้ยิ่งใหญ่แห่งเขาโอลิมปัส ทำให้ซุสโกรธและตัดสินใจจับโพรมีธีอุสมาลงโทษด้วยการเนรเทศเขาไปยังเทือกเขาห่างไกล กักขังไว้ด้วยก้อนหินขนาดมหึมา ทุกวันซุสจะส่งอีกามาเจาะกินตับของโพรมีธีอุสจนกว่าเขาจะขาดใจตาย ครั้นหมดวัน ซุสจะคืนชีวิตให้ใหม่พร้อมกับตับใหม่เพื่อให้โพรมีธีอุสตื่นมาพบกับความทรมานรูปแบบเดิมซ้ำแล้วซ้ำเล่า