ตอนที่ 552 เซียงฉือเป็นทุกข์ / ตอนที่ 553 เซียงฉือป่วยอีกแล้ว

บุปผาเคียงบัลลังก์

ตอนที่ 552 เซียงฉือเป็นทุกข์

 

 

เซียงฉือไม่ปฏิเสธคำขอของซูเฟยแต่ก็ไม่ได้ทำตามคำขอนางทั้งหมด นางใช้ผ้าเช็ดหน้าตนเองเช็ดมุมปากเบาๆ แล้วนำผ้าเช็ดหน้านั้นขึ้นมาดูอย่างตั้งใจ

 

 

“พี่หญิงคิดว่างานปักนี้ดีหรือไม่เพคะ งานปักของหม่อมฉันในวังนี้นับเป็นงานพิเศษไม่เหมือนใคร ใช่ไหมเพคะ”

 

 

เซียงฉือพูดออกไป ในตอนแรกซูเฟยไม่เข้าใจแต่หลังจากนั้นเห็นเซียงฉือสอดผ้าเช็ดหน้าลงไปในอกเสี่ยวเต๋อจื่อ ตบเบาๆ สองครั้งแล้วพูดว่า

 

 

“ไปดีเถอะนะเต๋อกงกง หากเจ้าจะโทษก็โทษชะตาชีวิตที่ไม่ดีของตนเองเถอะ ข้าเคยบอกไว้แล้วว่า จะเกิดเป็นคนก็ต้องเลือกเกิดให้ดี ให้เป็นแบบใต้เท้าเหอนั่นหรือไม่ก็แบบซูเฟยแบบนี้ อย่าให้ตนเองต้องได้รับความไม่เป็นธรรม”

 

 

เซียงฉือรับเชือกมาจากมือหลี่กงกงแล้วมัดมือทั้งคู่ของเขา อุดปากเขาไว้

 

 

พูดยิ้มๆ ว่า

 

 

“เต๋อกงกง ชาติหน้าจำคำพูดของข้าให้ดีๆ ล่ะ”

 

 

เซียงฉือพูดแล้วก็ผลักเต๋อกงกงที่ยืนอยู่ข้างทะเลสาบชิงซีลงไป เห็นเต๋อกงกงกระเสือกกระสนอยู่ในน้ำแล้วรู้สึกหวาดผวาจึงก้มหน้าลง ไม่กล้ามองดูต่อไป

 

 

นิ้วมือที่ดึงซูเฟยก็สั่นระริก ปิดตาตัวสั่นอย่างไม่อาจควบคุมได้ นางไม่เคยคิดมาก่อนว่าจะมีสักวันที่นางจะลงมือฆ่าคนด้วยตนเองเช่นนี้

 

 

นางกับเสี่ยวเต๋อจื่อคิดไม่ถึงทั้งคู่ว่าซูเฟยจะตอบโต้รวดเร็วเช่นนี้ แต่ยังดีที่นางได้ถามเสี่ยวเต๋อจื่อไว้ก่อนและรู้ว่าเขาเก่งมากในทางน้ำเพราะเติบโตมาจากริมน้ำตั้งแต่เล็ก

 

 

หากไม่ใช่เพราะในปีนั้นพายุทำลายครอบครัวเขา เขาก็ไม่ต้องเข้าวังมา ดังนั้นเซียงฉือจึงคิดแผนการนี้ ให้เขาหนีรอดจากความตาย นางผูกเชือกเงื่อนเป็นไว้ให้ เสี่ยวเต๋อจื่อดิ้นรนในน้ำไม่กี่ครั้งเชือกก็จะหลุดออกได้

 

 

อาศัยความชำนาญทางน้ำของเขาเช่นนี้ คิดว่าคงจะหนีรอดได้อย่างไม่ต้องกังวลใจ

 

 

เพียงแต่ว่าเช่นนี้จะทำให้ซูเฟยเชื่อได้หรือไม่

 

 

เซียงฉือดึงซูเฟยแล้วถามว่า

 

 

“ซูเฟยเพคะ เท่านี้น่าจะทรงพอพระทัยแล้วกระมังเพคะ”

 

 

“ฝ่าบาททรงกำลังรอ หม่อมฉันจะกลับไปถวายรายงานก่อน ซูเฟยจะรออีกสักครู่ก็ได้เพคะ”

 

 

เซียงฉือพูดจบก็ถอยออกไป เหลือหลี่กงกงกับซูเฟยมองตากันอยู่ใต้ระเบียง หลี่กงกงเหลือคนไว้เฝ้าคนหนึ่งเพื่อคอยดูว่าเขาจะลอยขึ้นมาเมื่อไร แล้วทั้งคู่ก็ตามเซียงฉือเดินต่อไปยังทิศทางตำหนักเจิ้งหยาง

 

 

ในใจเซียงฉือหวาดหวั่นกังวลไม่สงบ นางเคยตกน้ำมาก่อน ความหวาดกลัวเช่นนั้นเมื่อคิดขึ้นมาในตอนนี้ทำให้ตัวสั่นเทาอย่างไม่อาจควบคุม นางกลัว แต่ตอนนี้ไม่มีใครไปพยุงนาง ขาของนางอ่อนยวบลง ต้องพยุงขอบสะพานแล้วนั่งลงบนนั้นอยู่นานไม่อาจลุกขึ้นได้

 

 

ขณะนั้นหงซีกูกูพาจิ้งเฟยกับองค์หญิงใหญ่หรงเย่ว์ที่อยู่ไกลกว่าผ่านมาพอดี นางเดินถึงตรงนั้นและเห็นท่าทางของเซียงฉือจึงเดินเข้าไปสอบถาม

 

 

“ใต้เท้าอวิ๋นเป็นอะไรไป แล้วเสี่ยวเต๋อจื่อที่ติดตามท่านล่ะ ทำไมไม่รู้จักมารับใช้ใต้เท้า”

 

 

เซียงฉือคอยคิดอยู่เช่นนั้นจนเบื้องหน้าเลือนลางไป แต่ก็เก็บซ่อนความกังวลนั้นลงไปในใจอย่างรวดเร็ว นางผินหน้ากลับไปเช็ดน้ำตา ซูเฟยมาถึงพอดีจึงทักทายกับจิ้งเฟยอย่างสนิทสนม

 

 

เซียงฉือมองดูภาพที่คุ้นเคยนั้น พลันคิดถึงภาพในห้องของซูเฟยอดไม่ได้รู้สึกคลื่นไส้ กลิ่นของคาวเลือดคล้ายดั่งติดอยู่บนตัวนางและหยดเลือดเหนียวข้นนั้นก็เหมือนกับติดหนึบอยู่ที่ตัวนางกระนั้น

 

 

เซียงฉือปิดปากรู้สึกคลื่นไส้ขึ้นมา

 

 

นางหลบออกจากกลุ่มคน เดินออกไปยังพุ่มไม้ข้างๆ

 

 

นางไม่สามารถควบคุมอาการคลื่นไส้ได้ ราวกับได้เห็นเลือดอีกครั้ง นางไม่รู้มาก่อนว่าตนเองจะอ่อนแอถึงปานนี้

 

 

พยายามฝืนกลั้นกับกลิ่นที่คอยขึ้นมา แล้วสูดหายใจเข้าลึกๆ จึงได้เดินกลับเข้ากลุ่มมาใหม่ แต่สีหน้าของคนหลายคนไม่น่าดูเสียแล้ว

 

 

 

 

ตอนที่ 553 เซียงฉือป่วยอีกแล้ว

 

 

คนทั้งกลุ่มพากันเดินไปถึงตำหนักเจิ้งหยาง กุ้ยเฟยรออยู่ด้านในก่อนแล้ว หรงจิงช้อนตาขึ้นก็เห็นซูเฟยเดินเข้ามาพร้อมกันจิ้งเฟยพอดี เขาหรี่ตาลงอย่างไม่เป็นที่สังเกตเห็น

 

 

วันนี้เขาได้รับรายงานที่น่าเกลียดยิ่งว่า

 

 

“ซูเฟยกับวั่นกวงมีอะไรกัน”

 

 

ตอนหรงจิงจะให้เซียงฉือไปนั้นเขาก็มีความลังเลใจอยู่ ยิ่งตอนหลังกลับกลายเป็นความกังวลใหญ่หลวงเพราะเซียงฉือไม่กลับมาเสียที

 

 

เพราะหรงจิงรู้ว่าเรื่องแบบนี้ไม่ว่าส่งใครไปแล้วหากไปพบเห็นเหตุการณ์แบบนั้นเข้า เกรงว่าเป็นไปได้ยากหรืออาจจะไม่มีโอกาสได้กลับมาอีก เพราะซูเฟยหากต้องตายก็คงต้องให้ตายตกไปด้วยกัน ทำให้เขาหนาวขึ้นในอก

 

 

แต่เมื่อครู่มองเห็นเซียงฉือถึงหน้าตาจะดูแย่แต่ก็เดินเข้ามาอย่างปลอดภัยได้ ทำให้เขาสบายใจอย่างยิ่ง

 

 

เซียงฉือเดินไปที่ข้างกายหรงจิงแล้วรายงานว่า

 

 

“ซูเฟยเสด็จมาแล้วเพคะ หม่อมฉันออกไปก่อน…”

 

 

อวิ๋นเซียงฉือไม่อยากยืนอยู่ในห้องเพื่อดูซูเฟยทำทีพูดจานุ่มนวลกับผู้คนเหมือนยามปกติ เพราะที่นางเห็นมาคือคนใจดำอำมหิตที่บีบคั้นให้นางฆ่าเสี่ยวเต๋อจื่อและยังมีหรูอี้กงกงที่หลั่งเลือดสดๆ นองพื้น

 

 

“เป็นอะไรไป ไม่สบายหรือ”

 

 

หรงจิงจับมือเซียงฉืออย่างเปิดเผย ทำให้สตรีหลายคนในห้องนั้นสบตากันไปมา เมื่อครู่หงซีกูกูกับจิ้งเฟยเพิ่งเห็นเซียงฉือคลื่นไส้ ทั้งสองคนผ่านการมีบุตรมาแล้ว พอคิดถึงความสัมพันธ์ของหรงจิงกับเซียงฉือขึ้นมาจึงพากันสงสัยว่าเซียงฉือจะตั้งครรภ์

 

 

ซูเฟยในตอนนี้ก็สงสัยแบบเดียวกัน หากนางตั้งท้องขึ้นมาจริงๆ  เช่นนั้นแล้วสัญญาที่ว่าระหว่างนางทั้งสองก็จะไร้ผลควบคุม ฝ่าบาทมีทายาทน้อยอยู่แล้วหากเซียงฉือให้กำเนิดพระโอรสจริงๆ ถึงตอนนั้นนางก็จะได้อาศัยวาสนาลูก ก้าวกระโดดขึ้นเป็นประมุขฝ่ายใน

 

 

อีกทั้งปัญญาปฏิภาณของเซียงฉือก็ทำให้ซูเฟยถึงกับหนาวสั่น

 

 

หงซีกูกูเป็นคนของฮ่องเต้เสมอมาจึงอดไม่ได้ต้องเข้าไปกระซิบคำพูดที่ข้างหูหรงจิง หรงจิงพอได้ฟังแล้วสีหน้าก็แปรเปลี่ยนดูแปลกประหลาดไป

 

 

พอมองไปยังคนทั้งหลายเบื้องหน้า ก็คาดเดาอะไรได้อย่างหนึ่ง จึงพูดต่อ

 

 

“จิ้งเฟยออกมาหน่อย”

 

 

ความจริงสตรีทั้งสามต่างก็มีหูตาของตนอยู่ในวังอยู่แล้ว ขณะที่หงซีกูกูกระซิบพูดอยู่ที่ข้างหูหรงจิงอยู่นั้น ต่างก็ได้พากันส่งสัญญาณไปถึงเจ้านายของตน ขณะที่ต่างมองกันอยู่ เห็นจินกุ้ยเฟยขบเขี้ยวเคี้ยวฟัน แต่พยายามอดกั้นไม่แสดงโทสะออกมาต่อหน้าหรงจิง

 

 

หลังจากหงซีพูดอะไรกับจิ้งเฟยแล้ว

 

 

จิ้งเฟยก็มองเซียงฉือแล้วพยักหน้าพูดว่า

 

 

“ที่หงซีกูกูกราบทูลเป็นความจริงหม่อมฉันเป็นพยานได้เพคะ ควรจะเชิญหมอหลวงกับข้าราชสำนักสตรีมาดูอาการน้องเซียงฉือนะเพคะ”

 

 

“ถ้าหากเป็นจริง…”

 

 

จิ้งเฟยคิดจะพูดอะไรต่อ แต่พอเห็นซูเฟยกับจินกุ้ยเฟยที่ด้านหลังแล้วก็ชะงักแล้วเปลี่ยนคำพูดออกมาว่า

 

 

“ถ้าหากฝ่าบาททรงเมตตาน้องหญิงจริง ก็ควรให้ข้าราชสำนักสตรีดูแลสุขภาพของใต้เท้าอวิ๋นให้ดีนะเพคะ หนิงอวี้เก๋อถึงจะดีแต่สตรีอยู่แล้วจะเจ็บป่วยง่าย ฝ่าบาทควรมีพระบัญชาให้น้องหญิงเลือกตำหนักไว้สำหรับพักฟื้นเถิดเพคะ”

 

 

จิ้งเฟยไม่ต้องการพูดเรื่องอะไรพวกนั้นออกมาก็เพื่อเซียงฉือ ส่วนเซียงฉือไม่เข้าใจเจตนาที่พวกนางพูดเช่นนั้นจึงรออยู่อย่างกระวนกระวาย และเพราะตอนนี้เสี่ยวเต๋อจื่อก็ยังไม่ปรากฏตัวขึ้นในตำหนักเจิ้งหยาง ทำให้นางเป็นห่วงว่าอาจจะเกิดเรื่องขึ้นกับเสี่ยวเต๋อจื่อจริงๆ

 

 

จึงอดไม่ได้ที่จะไม่สบายใจขึ้นมา

 

 

หรงจิงฟังแล้วก็พูดยิ้มๆ

 

 

“สมควรเป็นเช่นนั้น ยังคงเป็นจิ้งเฟยที่คิดอ่านรอบคอบ”

 

 

“ซูเฟย เจ้าช่วยส่งคนไปเชิญหมอหลวงให้เข้าวังที ช่วงนี้ซู่เวิ่นไม่อยู่ในวังแล้วก็ไม่มีหมอหญิงคนไหนที่เชื่อถือได้ ช่วยเรียกคนที่ไว้ใจได้มาตรวจชีพจรให้เซียงฉือสักคนก็แล้วกัน”

 

 

พอหรงจิงพูดขึ้นมาเซียงฉือก็รู้สึกแปลกใจ นางคิดจะสอบถาม แต่นิ้วของหรงจิงสะกิดเบาๆ ที่ฝ่ามือนาง

 

 

เซียงฉือรับรู้ถึงการเตือนของหรงจิง จึงชะงักปากทันทีมีอาการขวยเขินขึ้นมา