ตอนที่ 676 ฝ่ามือเดียว โดย ProjectZyphon

สำนักศึกษามฤคมรกต สาขายอดยุทธศาสตร์ ลานแสดงยุทธ์

บรรยากาศเงียบสงัด ราวกระแสน้ำขึ้นลงโอบล้อมบรรดาศิษย์และอาจารย์ที่ลานแสดงยุทธ์ทั่วจตุรทิศ แต่ละคนสีหน้าไม่น่าดู

บ้างขบเขี้ยวเคี้ยวฟันอย่างโกรธแค้น

บ้างจิตตกกลัดกลุ้ม

บ้างเม้มริมฝีปากแน่นหนา สีหน้าอึมครึมและอึดอัด

บนที่นั่งบริเวณใกล้เคียง ศิษย์เจ็ดแปดคนได้รับบาดเจ็บหายใจรวยริน บ้างจมูกเขียวหน้าบวม บ้างกล้ามเนื้อฉีกกระดูกหัก บ้างเป็นลมหมดสติไปทั้งอย่างนั้น…

และกลางลานแสดงยุทธ์อันกว้างใหญ่ กลับมีบุรุษหนุ่มยืนอยู่ผู้หนึ่ง ผมเทาทั้งศีรษะ รูปร่างองอาจ แววตาดุจอินทรีกิริยาดั่งหมาป่า มีกลิ่นอายดุดันปราดเปรียวและโหดเหี้ยม

เขาสองมือไพล่หลัง นัยน์ตาราบเรียบกวาดมองทุกผู้คน มุมปากปรากฏแววปรามาสวูบหนึ่ง ใช้สุ้มเสียงเยาะหยันกล่าว “พวกเจ้า… ใครยังไม่พอใจ?”

ทั้งลานพลันลุกฮือ เหล่าศิษย์ชายต่างโกรธจนถลึงตาถมึงทึงกัดฟันกรอด เหล่าศิษย์หญิงก็สะกดกลั้นจนใบหน้าแดงก่ำ กำหมัดทั้งสองแน่น

กระทั่งบรรดาอาจารย์เหล่านั้น แต่ละคนต่างใบหน้าอึมครึมไม่พูดสักคำ

นับแต่การประลองนี้เริ่มต้น จนถึงตอนนี้ก็ผ่านไปหนึ่งเค่อแล้ว สาขายอดยุทธศาสตร์มีศิษย์แปดคนทยอยออกไปต่อสู้

บรรดาศิษย์เหล่านี้แต่ละคนต่างเรียกได้ว่าพลังต่อสู้แข็งแกร่ง ครอบครองปราณระดับหยั่งสัจจะ ภายภาคหน้าเมื่อเรียนจบจากสำนักศึกษา หากเข้ากองทัพจะต้องถูกเลื่อนตำแหน่งเป็นบุคคลชั้นระดับหัวหน้าโดยตรงแน่ หากไม่เข้ากองทัพก็ต้องกระโดดขึ้นเป็นผู้นำฝ่ายหนึ่งฝ่ายใด ข่มขวัญมากอำนาจเช่นเดียวกัน

แต่ต่อให้เป็นศิษย์แปดคนนี้ กลับล้วนพ่ายลงตรงนั้นอย่างน่าอนาถ ตั้งแต่ต้นจนจบไม่มีคนสามารถต้านเกินร้อยกระบวนท่า!

แพ้จนพูดได้ว่ายับเยินย่อยยับ!

ที่ทำให้อาจารย์และศิษย์ทั้งหมด ณ ที่นั้นรู้สึกอัปยศอดสูและคับแค้นอับอายที่สุดคือ คู่ต่อสู้เป็นแค่ข้ารับใช้ที่ติดตามข้างกายผู้สืบทอดสักคนของแดนศักดิ์สิทธิ์แกนสวรรค์

ขณะนี้ที่ยืนอยู่กลางลานแสดงยุทธ์คือข้ารับใช้นั่น เขานามว่ามู่ชิง พลังต่อสู้น่าอัศจรรย์ แรงกำลังมากแต่กำเนิด

ข้ารับใช้คนหนึ่งก็ประดุจไร้คู่ต่อกร แสดงแสนยานุภาพกลางลานแสดงยุทธ์ เอาชนะศิษย์ผู้ทรงอำนาจแปดคนซึ่งเป็นที่จับตามองที่สุดของสำนักศึกษา

ทุกอย่างนี้เสมือนถูกฟาดกระบองใส่ในคราเดียว ตีลงบนศีรษะเหล่าอาจารย์และศิษย์ทั้งหมดอย่างหนักหน่วง มอบการโจมตีอันรุนแรงแก่เกียรติยศของพวกเขาอย่างไม่เคยมีมาก่อน!

แทบจะไม่ต้องคิด หากเรื่องวันนี้แพร่งพรายออกไป คงก่อให้เกิดผลกระทบยากประเมินต่อชื่อเสียงทั้งสำนักศึกษามฤคมรกต ทำให้ใต้หล้าหยามเหยียด

“ทำไมไม่มีคนพูด?”

ตรงกลางลานแสดงยุทธ์ นัยปรามาสในนัยน์ตามู่ชิงเข้มข้นยิ่งกว่าเดิม

เผชิญหน้ากับการยั่วยุชัดแจ้งเช่นนี้ มีศิษย์ทนไม่ไหวหมายพุ่งออกไป แต่กลับถูกอาจารย์ข้างกายรั้งไว้ ขณะนี้หาใช่เวลาทำตามอารมณ์ไม่

ทว่ายิ่งเป็นเช่นนี้ก็ทำให้มู่ชิงนั่นสบประมาทยิ่งกว่าเดิม เขากล่าวเยาะหยัน “เหอะๆ ก่อนหน้านี้บอกว่าพวกเจ้าศิษย์สำนักศึกษามฤคมรกตไม่ได้เรื่อง พวกเจ้ายังไม่ยอมรับ คิดว่าพวกข้ากำลังเหยียดหยันและหยามหน้าพวกเจ้า ยามนี้พวกเจ้าต่างเห็นความเป็นจริงแล้ว พวกเจ้ายังมีอะไรจะพูดอีกไหม”

ที่นี่เป็นอาณาเขตของสำนักศึกษามฤคมรกต บัดนี้กลับถูกคนนอกคนหนึ่งยืนวางอำนาจบาตรใหญ่ ดูแคลนทุกสิ่งอยู่ที่นี่ นี่ทำให้บรรดาศิษย์อาจารย์เหล่านั้นต่างอัดอั้นโกรธแค้นถึงขีดสุด

ศิษย์ส่วนหนึ่งรู้สึกเศร้ารันทดอย่างอดไม่อยู่ หรือชื่อเสียงสำนักศึกษาที่สร้างมาหลายพันปีจะพินาศลงในพริบตา?

“ข้าลุยเอง!”

ทันใดนั้นน้ำเสียงเคร่งขรึมหนึ่งดังก้องขึ้น บุรุษชุดเทาคนหนึ่งก้าวออกมา

“เป็นศิษย์พี่หวังอิง!”

ศิษย์มากมายดวงตาเป็นประกาย จำได้ว่าชายชุดเทานั่นเป็นบุคคลมากสามารถคนหนึ่งแห่งสาขายอดยุทธศาสตร์ ก่อนหน้านี้กำลังปิดด่านมาตลอด ได้ยินว่าหมายบรรลุระดับหยั่งสัจจะขั้นสูง

แต่ไม่ว่าใครต่างคิดไม่ถึง ว่าแม้แต่หวังอิงยังถูกรบกวน นี่ทำให้ศิษย์เหล่านั้นต่างมีความหวังขึ้นใหม่อีกครั้ง

“ไม่ได้เด็ดขาด!”

เหล่าอาจารย์ตรงนั้นกลับมีปฏิกิริยาต่างจากบรรดาศิษย์ แต่ละคนหน้าเปลี่ยนสี ทยอยส่งเสียงขัดขวางเซ็งแซ่

ช่วงก่อนหน้านี้ หลังกู้อวิ๋นถิงและบุคคลแห่งยุคกลุ่มหนึ่งจากไปแล้ว ปัจจุบันในสาขายอดยุทธศาสตร์หวังอิงนับเป็นยอดฝีมือผู้ยอดเยี่ยมที่สุด

หากเขาพ่ายแพ้ขึ้นมา เช่นนั้นการต่อสู้ครั้งนี้ พวกเขาสำนักศึกษามฤคมรกตเท่ากับว่าปราชัยอย่างสิ้นเชิง โงหัวไม่ขึ้นอีก จะต้องเสื่อมเสียชื่อเสียงเป็นแน่

ผลที่ตามมานี้ร้ายแรงเกินไปแล้ว ดังนั้นยอมไม่สู้ดีกว่าปล่อยให้พ่ายแพ้

ถ้าเป็นเช่นนี้อย่างน้อยที่สุดยังพอรักษาหนทางเสี้ยวหนึ่งไว้ได้

“การต่อสู้ไม่เคยมีคำว่าประนีประนอม วันนี้ข้าหวังอิงยอมพ่าย แต่จะไม่ยอมถอยร่นแม้เพียงก้าวเด็ดขาด!”

กลับเห็นหวังอิงวาจาเฉียบขาด ท่าทางมุ่งมั่น ขณะพูดก็สาวเท้ามาถึงกลางลานแสดงยุทธ์แล้ว

นี่ทำให้ศิษย์ทั้งหมด ณ ที่นั้นต่างฮึกเหิมขึ้นมา กู่ร้องให้กับความอาจหาญในการก้าวออกมาของหวังอิง บรรยากาศซึ่งเดิมทีเงียบสงัดเปลี่ยนเป็นครึกครื้น

ทว่าเหล่าอาจารย์ตรงนั้นแต่ละคนกลับลอบถอนใจ พวกเขารู้ศักยภาพแท้จริงของหวังอิง คิดอยากเอาชนะมู่ชิงนั่น ความหวัง… ไม่มากเลย…

“เหอะๆ ดูไปแล้วเจ้าเป็นที่นิยมอย่างมาก แต่จากที่ข้าเห็น อย่างมากก็แค่รนหาที่ตายเพิ่มอีกคน”

มู่ชิงสีหน้าหยอกล้อ ยังคงสบประมาท

“อย่าพูดมาก ลงมือเดี๋ยวก็รู้!”

เห็นชัดว่าหวังอิงเก็บกลั้นความโกรธไว้เต็มท้อง เงาร่างวูบหาย พุ่งทะยานออกไปดุจมังกรพิโรธตัวหนึ่ง พลานุภาพน่าอัศจรรย์

ไม่อาจไม่กล่าวถึง พลังต่อสู้ของหวังอิงเก่งกาจจริงดังว่า อย่างน้อยที่สุดในระดับหยั่งสัจจะก็เพียงพอเรียกได้ว่าเป็นบุคคลชั้นยอด

แต่ที่ทำให้ศิษย์อาจารย์ทั้งมวลตรงนั้นหนาวเยือกในใจก็คือ หลังผ่านไปแค่ร้อยกว่ากระบวนท่า หวังอิงก็พ่ายแพ้!

เขาถูกฝ่ามือเดียวของมู่ชิงผ่าลงบนร่าง หากไม่ใช่ว่าแขนทั้งสองของเขาขวางกั้นการจู่โจม เพียงฝ่ามือเดียวนี้ล้วนพอให้เขาท้องเหวอะอกเปิด สิ้นลมเฉียบพลัน ณ ตรงนั้น

แต่แม้ว่าเป็นเช่นนั้น แขนทั้งสองเขาก็ถูกทำลาย กระดูกระเบิดแตกละเอียด ทั้งตัวถูกซัดโจมตีลอยออกไปอย่างหนักหน่วง ร่วงลงบนพื้นนอกระยะหลายสิบจั้ง โลหิตหยาดย้อมศิลาคราม

ทั่วลานเงียบกริบทันใด เงียบสงัดจนน่ากลัว

ศิษย์ทั้งหมดล้วนเบิกตาโพลง ไม่กล้าเชื่อสิ่งที่เห็นทุกอย่างนี้ สีหน้าเต็มไปด้วยความสิ้นหวังและเจ็บปวด

แม้แต่หวังอิงยังแพ้พ่าย สำนักศึกษามฤคมรกตยังมีใครสามารถประลองกับมู่ชิงนั่นอีก?

แต่เหล่าอาจารย์กลับล้วนสีหน้าอึมครึม พวกเขาไม่ปรารถนาเห็นฉากนี้มากที่สุด แต่สุดท้ายก็ยังคงเกิดขึ้น เรื่องในวันนี้จะต้องปิดบังไว้ไม่อยู่ ต้องแพร่กระจายออกไปอย่างรวดเร็วแน่ ถึงตอนนั้น… ชื่อเสียงของสำนักศึกษามฤคมรกตคงจบสิ้นแล้ว!

“สามารถทนต้านเงื้อมมือข้าได้ร้อยกว่ากระบวนท่านับว่าพองั้นๆ น่าเสียดาย คนอย่างเจ้ามีมากมายเกินไปในดินแดนรกร้างโบราณ แม้แต่คุณสมบัติไปเยือนแดนศักดิ์สิทธิ์แกนสวรรค์ยังไม่มี”

มู่ชิงเหยียดหยันทุกคน รูปร่างเขาเด่นตระหง่าน แม้เป็นข้ารับใช้คนหนึ่ง แต่กลับมีพละกำลังห้าวหาญโหดเหี้ยมยิ่งยวด

นี่ทำให้ผู้คนอดไม่ได้ที่จะแคลงใจ มู่ชิงแข็งแกร่งถึงเพียงนี้ เช่นนั้นเจ้านายเขาจะทรงพลังระดับใด

อาจารย์ทั้งหมดต่างจิตใจหนักหน่วง สีหน้าหม่นหมอง อึดอัดคับแค้นจนเจียนจะถึงขั้นสิ้นหวังหมดหนทาง

เวลานี้ที่ส่วนลึกสุดของลานแสดงยุทธ์ มีหอสูงแห่งหนึ่ง บนหอสูงนั่นจู่ๆ กลับมีเสียงฮึหนึ่งดังขึ้นเล็กน้อย

เสียงฮึนี้มาจากชายหนุ่มที่นั่งหันหลังให้กับทุกคน

เขาสวมชุดคลุมทอง ผมทองทั้งศีรษะ ต่อให้นั่งอยู่แผ่นหลังก็ตรงดิ่งตระหง่าน บุคลิกดุดันเจิดจรัสจ้าตา

ทุกคนต่างรู้ว่าเขามีนามว่าหนานกงหั่ว เป็น ‘คุณชาย’ ที่มู่ชิงเรียก และเป็นศิษย์สืบทอดซึ่งมาจากแดนศักดิ์สิทธิ์แกนสวรรค์ผู้หนึ่ง!

ได้ยินเสียงฮึนี้ มู่ชิงซึ่งเดิมอวดดีและหยิ่งทะนงสีหน้าพลันเปลี่ยนไปทันที เคารพนบนอบไปเบื้องหน้าพลางกล่าว “คุณชาย การกระทำของข้าเมื่อครู่มีบางอย่างไม่เหมาะสมหรือไม่”

“พวกเรามาเป็นแขก ทำพื้นสกปรกมันไม่งาม” หนานกงหั่วแม้แต่ศีรษะยังไม่หันกลับ น้ำเสียงทุ้มต่ำเจือความดึงดูดเฉพาะตัวเสี้ยวหนึ่ง

มู่ชิงคล้ายแอบเป่าปากโล่งอก ก่อนมุ่งไปเบื้องหน้าทันที หิ้วหวังอิงซึ่งนอนครวญครางอย่างเจ็บปวดอยู่ในแอ่งโลหิตขึ้นมา แล้วโยนไปยังบรรดาศิษย์เหล่านั้นที่อยู่ห่างออกไป จากนั้นจึงกล่าวเย็นชา “ดูเขาให้ดี! ข้าน่ะไม่อยากทำพื้นที่ของพวกเจ้าสกปรกอีกแล้ว!”

เขาสะบัดชายเสื้อทีหนึ่ง จัดการทำความสะอาดคราบเลือดบนพื้นจนหมด ค่อยโค้งตัวไปทางเงาด้านหลังของหนานกงหั่ว ก่อนหวนกลับคืนกลางลานแสดงยุทธ์

ศิษย์อาจารย์ทั้งหมดตรงนั้นเห็นภาพเหตุการณ์นี้ในสายตาก็โกรธจนตาแดงไปหมด พวกเขาถึงกับกล้าพูดว่าเลือดของหวังอิง… ทำพื้นสกปรก!

นี่กำลังหยามหน้าพวกเขาทุกคนโดยตรงใช่ไหม

บนหอสูง หนานกงหั่วราวไม่รับรู้ถึงทุกอย่างนี้ หรือพูดได้ว่าต่อให้เขาสังเกตเห็นก็ไม่คิดจะใส่ใจสักนิด

เขายังคงหันหลังให้กับผู้คน ร่ำสุรากับหนุ่มสาวรุ่นเยาว์สี่ห้าคนข้างกายพลางสนทนาพาที มองข้ามทุกคนที่อยู่ตรงนั้น

หนุ่มสาวสี่ห้าคนนั้นเป็นผู้สืบทอดจากแดนศักดิ์สิทธิ์แกนสวรรค์เช่นเดียวกัน เมื่อมองเห็นภาพนี้ พวกเขาก็แค่ยิ้มน้อยๆ แล้วถอนสายตากลับ ไม่ใส่ใจอะไรเช่นกัน

จะพูดคุยสัพเพเหระก็พูดคุยสัพเพเหระ จะร่ำสุราก็ร่ำสุรา ท่าทางสบายอารมณ์เช่นนั้น มีหรือจะไม่ใช่การแสดงออกถึงความเย่อหยิ่งและอวดดี

บรรยากาศเงียบสงัดยิ่ง เดียวดายอุดอู้จนชวนให้หายใจไม่ออก

“จริงสิ เจ้าหลินสวินนั่นมาหรือยัง”

มู่ชิงซึ่งอยู่กลางลานแสดงยุทธ์กลับสู่ท่าทีเกียจคร้านดูแคลนอีกครั้ง น้ำเสียงแฝงความไม่พอใจเสี้ยวหนึ่ง

“ไม่ใช่ว่าเขาตัวคนเดียวจู่โจมสังหารมหายุทธ์ระดับกระบวนแปรจุติหกคนหรอกรึ ทำไมจนป่านนี้กลับกลายเป็นเต่าหดหัว แม้แต่ความกล้ามารับคำท้าล้วนไม่มีหรือ”

ทันทีที่ประโยคนี้ของมู่ชิงหลุดออกมา ก็เหมือนดั่งจุดชนวนในถังดินปืน ทำให้ศิษย์ทุกคนตรงนั้นซึ่งอึดอัดคับแค้นและอดกลั้นถึงขีดสุดอยู่ก่อนแล้วต่างควบคุมอารมณไว้ไม่อยู่

“เจ้านับเป็นตัวอะไร ถึงได้มาสบประมาทอาจารย์เสี่ยวหลิน?”

“หากอาจารย์เสี่ยวหลินมาแล้ว เจ้าไหนเลยจะมีสิทธิ์ยืนพูดปาวๆ”

“เจ้าถึงกับกล้าด่าอาจารย์เสี่ยวหลินเป็นเต่าหดหัวรึ!”

ไม่ว่าชายหรือหญิงต่างโมโหโทโส หลินสวินในตอนนี้กลายเป็นบุคคลในตำนานที่พวกเขายกย่องสรรเสริญคนหนึ่งนานแล้ว ถูกผู้คนในใต้หล้ากล่าวถึงอย่างเพลิดเพลิน ถูกผู้ฝึกปราณนับไม่ถ้วนเลื่อมใสศรัทธา มีหรือจะถูกคนสบประมาทได้!?

แม้แต่อาจารย์ส่วนหนึ่งยังอดรนทนไม่ไหว ทยอยส่งเสียงตำหนิมู่ชิงว่าวาจานี้จาบจ้วงเกินไปแล้ว!

เหตุการณ์มีสัญญาณว่าจะเสียการควบคุมอยู่บ้าง

นี่ทำให้มู่ชิงคิ้วขมวด พลันเปล่งเสียงตวาดทันที “น่าขัน หากเขามีความกล้า เหตุใดจนป่านนี้ยังไม่ปรากฏตัวอีก พวกเจ้าคิดว่าข้ามีให้มาเสียไปเปล่าๆ กับพวกเจ้าหรือ หรือจะบอกว่าพวกเจ้าสำนักศึกษามฤคมรกตทำได้แค่ตะโกนโหวกเหวก ข้าบอกแล้ว หากใครไม่พอใจก็ก้าวออกมา!”

น้ำเสียงนี้ราวเสียงฟ้าร้องดังสนั่นแผ่กว้างทั่วบริเวณ ถึงกับสะกดข่มเสียงตำหนิอึกทึกพวกนั้น ทำให้ศิษย์อาจารย์ทั้งมวลต่างหน้าเปลี่ยนสี

“แน่นอน พวกเจ้าเหล่าอาจารย์หากดูแล้วไม่เจริญตาก็สามารถออกมาเช่นเดียวกัน ข้าไม่ถือสาที่จะเล่นกับพวกเจ้า”

มู่ชิงแววตาเย็นเยียบ เผยความปรามาส

ประโยคนี้เห็นชัดว่าบ้าไปแล้ว เดิมเขาก็เป็นแค่ข้ารับใช้เท่านั้น กล้าลบหลู่และหยามหน้าพวกเขาอย่างกำเริบเสิบสานเช่นนี้ก็เพียงพอให้คนบันดาลโทสะแล้ว

แต่ตอนนี้เขาถึงกับยังท้าทายหมายต่อกรกับอาจารย์แห่งสำนักศึกษามฤคมรกตโดยตรง ท่าทางหยิ่งผยองเยี่ยงนี้ ทำให้เหล่าศิษย์ที่อยู่ตรงนั้นโกรธจนอกจะแตกตาย

บรรดาอาจารย์สำนักศึกษามฤคมรกตมิขาดแคลนการผู้อยู่ในระดับกระบวนแปรจุติ พวกเขาไม่มีทางทำเรื่องลดเกียรติฐานะตนเองเช่นนี้แน่

แต่ถูกมู่ชิงข้ารับใช้คนหนึ่งชี้จมูกยั่วยุเยี่ยงนี้ ทำให้สีหน้าพวกเขาไม่น่าดูถึงขีดสุดเช่นกัน

“เหอะๆ”

มู่ชิงหัวเราะออกมา “ดูท่า สำนักศึกษามฤคมรกตนี่ทำให้คนผิดหวังจริงดังว่า ล้วนไม่มีพวกที่พอจะเข้าตาสักคน ตอนนี้ข้าอดคลางแคลงไม่ได้ หลินสวินซึ่งถูกเรียกว่า ‘อำนาจทั่วนครหลวง’ นั่น เกรงแต่จะเป็นพวกลวงโลกปั้นชื่อเสียงคนหนึ่ง ไม่มีค่าคู่ควรใด”

“ไม่อนุญาตให้เจ้าพูดกับอาจารย์เสี่ยวหลินของเราเช่นนี้!!”

ในเวลานี้พลันมีเสียงคำรามอย่างโกรธแค้นหนึ่งดังขึ้น ก็เห็นเด็กหนุ่มตัวอ้วนคนหนึ่งพุ่งตัวออกมาราวจะสู้สุดชีวิต พุ่งอย่างบ้าคลั่งไปทางมู่ชิง

เป็นเจ้าอ้วนน้อยหลิวฮุยนั่นเอง เขาเป็นศิษย์ของชั้นเรียนระดับ ค. ห้องเก้าคนหนึ่ง ตัวเขาเป็นแค่นักสลักวิญญาณเท่านั้น พลังเทียบกับมู่ชิงแล้วไม่ใช่ระดับเดียวกันแต่แรก

แต่บัดนี้เมื่อได้ยินมู่ชิงหยามหน้า ‘อาจารย์เสี่ยวหลิน’ ของพวกเขาอย่างต่อเนื่อง เขาจึงสูญเสียการควบคุมแล้ว โกรธแค้นจนแทบบ้า หมายสู้ตายกับมู่ชิง!

พวกอาจารย์ตระหนกจนหน้าถอดสี แม้แต่บรรดาศิษย์อื่นๆ ยังรับมือไม่ทัน แม้อยากขัดขวางก็ไม่ทันการแล้ว

มู่ชิงนัยน์ตาฉายแววเย็นเยียบวูบหนึ่ง นี่มันอะไร เจ้าคนที่ราวมดปลวกตัวหนึ่งก็กล้าออกมาสู้ตายกับตนหรือ

เบื่อชีวิตแล้วสินะ!

เขาตัดสินใจอย่างเหี้ยมโหด จะมอบ ‘บทเรียน’ ยากลืมเลือนชั่วชีวิตแก่เจ้าเด็กนี่

วู้ม!

แสงสีดำขลับกลุ่มหนึ่งโอบล้อมปลายนิ้วทั้งห้า มู่ชิงยืนนิ่งไม่ขยับ รอเจ้าอ้วนน้อยหลิวฮุยเข้ามา ‘หาที่ตาย’

แต่ที่ทำให้เขาเกินคาดหมายคือ พลันมีเงาร่างหนึ่งปรากฏตัวกลางลาน ขวางหน้าเจ้าอ้วนน้อยหลิวฮุยไว้

“หืม?”

มู่ชิงขมวดคิ้วมุ่น เงยหน้ามองออกไป ก็เห็นว่านั่นคือเด็กหนุ่มในชุดขาวพระจันทร์คนหนึ่ง รูปร่างสูงสง่า นัยน์ตาดำใสสงบ บุคลิกไม่ธรรมดา

เพียงแต่ไม่ช้ามู่ชิงก็ไม่ใส่ใจ ด้วยบนตัวเด็กหนุ่มคนนี้เขามองไม่เห็นความพิเศษอันใด

“ใครที่ไหนมันมาขวางข้า หลีกไป! ข้าจะลุยกับมัน! อาจารย์เสี่ยวหลินเป็นคนที่ไอ้สุนัขอย่างมันสามารถหยามได้หรือ”

เจ้าอ้วนน้อยหลิวฮุยคำราม ตาทั้งสองดุจเปลวเพลิงร้อนระอุ เขากำลังเดือดดาล จึงไม่ได้สังเกตสักนิดว่าคนที่อยู่เบื้องหน้าเป็นใคร

“เจ้าเด็กเวรนี่ แม้แต่ข้าก็ไม่รู้จักแล้วรึ”

น้ำเสียงคุ้นเคยที่ไม่รู้จะหัวเราะหรือร้องไห้ดีดังขึ้นข้างหู ทำให้เจ้าอ้วนน้อยหลิวฮุยชะงักงัน ประหนึ่งสติหวนคืน พลันเงยหน้าขึ้นทันที ก็เห็นใบหน้าสุภาพหล่อเหลาที่คุ้นเคย

นี่ทำให้เขาแทบไม่กล้าเชื่อสายตาตนเอง ก่อนกล่าวพึมพำ “ฉิบหาย ข้าโกรธจนตาลายแล้วใช่ไหมเนี่ย ทำไมเหมือนจะเห็นผีเลย…”

เพี๊ยะ!

ท้ายทอยเขาถูกตบทีหนึ่ง “วันนี้การแสดงออกของเจ้าไม่เลว ครั้งหน้าหากกล้าพูดคำหยาบต่อหน้าข้าอีก ไม่เอาเจ้าไว้แน่!”

และเวลานี้อาจารย์และศิษย์ทั้งหมด ณ ที่นั้นต่างนิ่งอึ้งตะลึงงัน

พวกเขากำลังโกรธแค้น สิ้นหวัง หมดหนทาง อารมณ์ล้วนอยู่ในสภาพที่ควบคุมไม่อยู่ ด้วยเหตุนี้เมื่อเห็นเงาร่างที่คุ้นเคยนั่นขวางหน้าเจ้าอ้วนน้อยหลิวฮุยไว้ จึงล้วนไม่กล้าเชื่อ ต่างเหม่อลอยไปบ้างชั่วขณะ

มู่ชิงหาไม่ได้สังเกตเห็นสิ่งเหล่านี้ เขาได้ยินแค่ว่าเจ้าเด็กอ้วนที่เหมือนมดปลวกนั่น เมื่อครู่ถึงกับด่าเขาว่า ‘ไอ้สุนัข’!

“ไอ้เด็กเวร รีบไสหัวมานี่ วันนี้ใครก็มาช่วยไอ้เด็กสวะนี่ไม่ได้!”

ขณะตวาดเงาร่างของมู่ชิงก็ไหววูบ ฝ่ามือหนึ่งพุ่งผ่าไปยังเหนือศีรษะหลิวฮุย ไอสังหารห้อมล้อม ลงมืออย่างโหดเหี้ยมแล้ว

ก่อนหน้านี้เขาโจมตีศิษย์ในสำนักศึกษามฤคมรกตจนไร้คู่ต่อกร ทำตัวโอหังหยิ่งผยองถึงเพียงนั้น ทำให้อาจารย์เหล่านั้นต่างมีโทสะ

แต่บัดนี้กลับถูกเจ้าเด็กอ้วนที่ไม่ใช่แม้แต่ระดับหยั่งสัจจะด่าประจานต่อหน้าต่อตา หากไม่ฆ่า เขามู่ชิงจะยังเหลือความน่าเกรงขามอันใดอีก

ตูม!

เสียงระเบิดแหวกอากาศ ลมฝ่ามือน่าหวาดหวั่นโอบล้อมด้วยแสงทมิฬปกคลุมฟ้าดิน ชวนประหวั่นถึงขีดสุด ทำให้ศิษย์อาจารย์ตรงนั้นต่างตกใจตื่นจากสภาพตะลึงงัน

จากนั้นพวกเขาก็เห็นภาพที่ยากจะลืมเลือนชั่วชีวิต…

ช่วงเวลาคับขันนี้ หลินสวินซึ่งขวางหน้าเจ้าอ้วนน้อยหลิวฮุยเพียงแค่ตบฝ่ามือออกไปง่ายๆ คราเดียวดังพรึบ มู่ชิงก็ประหนึ่งแมลงวันตัวหนึ่งก็มิปาน ถูกฟาดลอยกระเด็นอย่างหนักหน่วง…

………………