บทที่ 1442 ศิษย์ของราชันมังกร

Reverend Insanity เทพปีศาจหวนคืน

หนึ่งเดือนต่อมา

 

ภาคกลาง นิกายคฤหาสน์วิญญาณ

 

วิหารลอยอยู่บนก้อนเมฆ

 

มันคือคฤหาสน์วิญญาณอมตะบนเส้นทางแห่งกาลเวลาของนิกายคฤหาสน์วิญญาณ วิหารสุริยันจันทรา

 

วิหารแห่งนี้เป็นหนึ่งในรากฐานสำคัญของนิกายคฤหาสน์วิญญาณ พลังอำนาจที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของมันคือช่วยสนับสนุนการบ่มเพาะของผู้อมตะ

 

ในช่วงเวลาปกติผู้อาวุโสสูงสุดของนิกายคฤหาสน์วิญญาณจะผลักกันใช้งานมันเพื่อช่วยในการบ่มเพาะ

 

แต่ตอนนี้วิหารสุริยันจันทราถูกนำออกมาและใช้งานอย่างเต็มที่

 

ในห้องโถงใหญ่ของวิหารแห่งนี้ กลุ่มผู้อมตะมารวมตัวกัน

 

ผู้อาวุโสสูงสุดของนิกายคฤหาสน์วิญญาณทั้งหมดอยู่ที่นี่รวมถึงฟงจิวเก้อ เทพธิดาไป่ชิง ซูเฮา หลี่จุนอิง และผู้อมตะคนใหม่จ้าวเหลียนหยุน

 

แต่ตัวละครหลักในปัจจุบันคือฟงจินฮวง

 

ฟงจินฮวงแต่งกายด้วยชุดสีขาวที่ดูเรียบร้อย

 

นางคุกเขาอยู่บนพื้นและก้มกราบราชันมังกรที่นั่งอยู่บนเก้าอี้ตัวหลัก

 

นี่คือพิธีรับศิษย์ของราชันมังกร

 

ในความเป็นจริงเมื่อฟงจินฮวงเป็นสมาชิกนิกายคฤหาสน์วิญญาณ นางก็ไม่สามารถกราบไหว้ผู้อื่นเป็นอาจารย์ได้อีก

 

แต่ราชันมังกรคือผู้ใด?

 

ทุกคนในนิกายคฤหาสน์วิญญาณรู้สึกยินดีมาก ผู้อาวุโสสูงสุดหลายคนของนิกายต้องหารือกันเพื่อจัดพิธีในครั้งนี้ให้ยิ่งใหญ่ที่สุด

 

อย่างไรก็ตามข้อเสนอเหล่านั้นถูกปฏิเสธโดยราชันมังกร

 

ราชันมังกรบอกพวกเขาว่าทุกอย่างจะเป็นไปอย่างเรียบง่าย พวกเขาไม่ควรเผยแพร่เรื่องนี้ออกไป

 

ผู้อาวุโสสูงสุดลำดับที่หนึ่งของนิกายคฤหาสน์วิญญาณจัดการเรื่องนี้ด้วยตนเอง นางทุ่มเทความพยายามทั้งหมดเพื่อพิธีในครั้งนี้

 

ราชันมังกรไม่ได้แสดงออกแต่ภายในเขาค่อนข้างพอใจกับงานนี้

 

โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อมองไปที่ฟงจินฮวง ดวงตาของเขาก็เผยให้เห็นถึงความสุข

 

หลังจากพิธีเสร็จสิ้น ฟงจินฮวงลุกขึ้นยืนและยกถ้วยชาให้ราชันมังกร

 

ในห้องโถงที่เงียบสงบ ฟงจินฮวงกล่าวด้วยเสียงที่ชัดเจน “ท่านราชันมังกร โปรดรับชาน้ำค้างหยกสีทองของข้าด้วย”

 

ราชันมังกรหยิบถ้วยชาขึ้นและเปิดฝาออก

 

ชาส่องแสงสีทองที่งดงามและอ่อนโยน

 

ราชันมังกรปิดเปลือกตาลงและยกถ้วยชาขึ้นสูดดมเบาๆ

 

มันมีกลิ่นที่ละเอียดอ่อนราวกับกลิ่นน้ำค้างบนยอดหญ้าในยามเช้าของฤดูใบไม้ผลิ มันบริสุทธิ์และไร้ตำหนิ กลิ่นหอมของมันยังทำให้ผู้คนรู้สึกมีชีวิตชีวา

 

“ชาที่ดี” ราชันมังกรยิ้ม เขาค่อยๆเปิดเปลือกตาขึ้นและจิบเบาๆ

 

นี่เป็นชาชั้นยอดที่กระทั่งราชันมังกรก็ยากที่จะได้ดื่ม

 

“ฟงจินฮวง เจ้าเป็นปรมาจารย์เอกบนเส้นทางแห่งการหลอมรวม ชาของเจ้าไม่ธรรมดา ดี ตั้งแต่นี้เป็นต้นไป เจ้าจะเป็นศิษย์คนที่สองของข้า”

 

เกิดเสียงพึมพำขึ้นในห้องโถงทันที

 

ทุกคนเผยรอยยิ้มอย่างมีความสุข กระทั่งซูเฮาและหลี่จุนอิงก็ไม่ใช่ข้อยกเว้น

 

“บรรเลงบทเพลงอมตะ” ผู้อาวุโสสูงสุดลำดับที่หนึ่งของนิกายคฤหาสน์วิญญาณกล่าวเบาๆ ต่อมาเสียงดนตรีก็ดังขึ้น

 

“ศิษย์กราบคารวะท่านอาจารย์!” ฟงจินฮวงเรียกราชันมังกรว่าอาจารย์ขณะที่เรียกตัวนางเองว่าศิษย์เป็นครั้งแรก

 

พิธีรับศิษย์สิ้นสุดลงในที่สุดหลังจากสองชั่วโมง

 

นี่เป็นพิธีที่สำคัญมาก

 

ผู้อาวุโสสูงสุดของนิกายคฤหาสน์วิญญาณเต็มไปด้วยความตื่นเต้น

 

ราชันมังกรคือผู้นำวังสวรรค์ แต่เขายินดีรับฟงจินฮวงเป็นศิษย์

 

นี่ถือเป็นเกียรติของนิกายคฤหาสน์วิญญาณ

 

ในฐานะมารดาของฟงจินฮวง น้ำตาของเทพธิดาไป่ชิงไหลออกมาด้วยความตื่นเต้น

 

ฟงจิวเก้อยืนอยู่ข้างกายนางและจับมือนางเบาด้วยความพึงพอใจเช่นกัน

 

“พรุ่งนี้ฟงจินฮวงจะเดินทางไปยังวังสวรรค์พร้อมกับข้าและฝึกฝนอยู่ที่นั่น”

 

“ฟงจิวเก้อและไป่ชิงอยู่ก่อน คนอื่นๆออกไปได้”

 

ราชันมังกรโบกมือให้คนอื่นๆออกไป เหลือเพียงฟงจินฮวงและบิดามารดาของนางเท่านั้นที่ยังอยู่

 

“ฟงจิวเก้อ/ไป่ชิง คาวระท่านราชันมังกร” ทั้งสองโค้งคำนับอย่างสุภาพ

 

ราชันมังกรพยักหน้าเล็กน้อย เขาชำเลืองมองเทพธิดาไป่ชิงก่อนจะมองไปที่ฟงจิวเก้อ

 

“ภารกิจกำจัดฟางหยวนล้มเหลวงั้นหรือ?” ราชันมังกรกล่าวด้วยน้ำเสียงไม่แยแส

 

ฟงจิวเก้อตอบ “ข้ารู้สึกละอายใจนัก”

 

ฟงจิวเก้อรอคอยฟางหยวนอยู่ที่สาขาของสายธารแห่งกาลเวลาในทะเลทรายตะวันตกเป็นเวลาหลายเดือน แต่พวกเขากลับไม่พบฟางหยวน

 

เมื่อเวลาผ่านไปเทพธิดาจื่อเว่ยรู้สึกผิดปกติและเนื่องจากพิธีรับศิษย์ของราชันมังกร ฟงจิวเก้อจึงถูกเรียกตัวกลับมา แต่สองผู้อมตะระดับแปดของวังสวรรค์ยังรั้งรออยู่

 

ราชันมังกรกล่าวต่อ “ฟางหยวนเป็นปีศาจต่างโลกที่สมบูรณ์ เขาเป็นศัตรูที่เลวร้ายที่สุดของวังสวรรค์และเป็นเป้าหมายที่เจ้าฟงจิวเก้อต้องกำจัด”

 

“ข้ารับศิษย์เพียงสองคนตลอดชีวิต เจ้าคงเข้าใจถึงความสำคัญของเรื่องนี้ ฟงจินฮวงจะเป็นเทพอมตะแห่งความฝันในอนาคตและฟงจิวเก้อเจ้าต้องเป็นผู้พิทักษ์เต๋าของนาง”

 

“อันใด? ข้าคือผู้พิทักษ์เต๋าของฮวงเอ๋องั้นหรือ?” ฟงจิวเก้อรู้สึกประหลาดใจ

 

“นี่เป็นความลับสวรรค์ที่ไม่ควรเปิดเผย แต่นิกายเงารู้เรื่องนี้แล้ว ดังนั้นมันจึงไม่สำคัญ ยุคที่ยิ่งใหญ่กำลังจะมาถึง เทพอมตะแห่งความฝันจะถือกำเนิดขึ้น จะเกิดการเปลี่ยนแปลงที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน ฟางหยวนเป็นอุปสรรคของวังสวรรค์และยังเป็นศัตรูที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ของพวกเจ้าพ่อลูก เจ้าต้องแบกรับภารกิจที่ยิ่งใหญ่และนำสิ่งมีชีวิตทั้งหมดเข้าสู่ยุคสมัยใหม่ นี่คือโชคชะตาของพวกเจ้า”

 

ราชันมังกรหยุดชั่วคราวเพื่อให้ทุกคนมีเวลาคิดทบทวน

 

ครอบครัวของฟงจินฮวงสงบลงหลังจากไม่นาน

 

ราชันมังกรกล่าวต่อกับฟงจินฮวง “ฮวงเอ๋อ ศิษย์ของข้า เจ้าจะติดตามข้าและรับการสั่งสอนจากข้า เจ้าต้องแยกจากพ่อแม่ของเจ้า ตอนนี้พวกเจ้าสามารถใช้เวลาร่วมกัน พรุ่งนี้เช้าข้าจะพาเจ้าไปวังสวรรค์”

 

หลังจากนั้นร่างของราชันมังกรก็อันตรธานหายไปอย่างเงียบๆ

 

“ฮวงเอ๋อ เจ้าคือผู้ถูกเลือก เจ้าต้องฝึกฝนอย่างหนัก เจ้าแบกรับอนาคตของสิ่งมีชิวิตทั้งหมดเอาไว้ หลังจากนี้ทุกอย่างจะขึ้นอยู่กับการตัดสินใจของเจ้า” ดวงตาของเทพธิดาไป่ชิงแดงขึ้นเล็กน้อย นางไม่เต็มใจที่จะแยกจาก

 

“ท่านแม่ ข้ายังไม่อยากจะเชื่อ นี่มันเหมือนความฝันเกินไป” ฟงจินฮวงโยนตัวเองเข้าสู่อ้อมแขนของมารดา

 

“ตั้งแต่ข้าได้ยินว่าท่านราชันมังกรต้องการรับเจ้าเป็นศิษย์  ข้าก็ได้ทำนายบางเรื่องเกี่ยวกับเจ้าเอาไว้แล้ว มันเป็นเพียงว่าแม่ไม่ได้คาดหวังว่าพ่อของเจ้าจะเป็นผู้พิทักษ์เต๋าของเจ้า” เทพธิดาไป่ชิงกล่าวด้วยอารมณ์ความรู้สึก

 

“ท่านพ่อ ท่านแม่ ผู้พิทักษ์เต๋าคือสิ่งใด?” ฟงจินฮวงถามด้วยความสงสัย

 

ฟงจิวเก้ออธิบาย “ระหว่างการบ่มเพาะของเทพอมตะหรือเทพปีศาจ พวกเขาจะมีผู้พิทักษ์เต๋าเสมอ ผู้พิทักษ์เต๋าทุกคนมีบทบาทสำคัญในการพัฒนาของผู้อมตะระดับเก้า”

 

“โอ้” ฟงจินฮวงถามอีกครั้ง “ท่านอาจารย์บอกว่าเขามีศิษย์สองคน ข้าเป็นคนที่สอง แล้วศิษย์คนแรกของท่านคือผู้ใด?”

 

การแสดงออกของฟงจิวเก้อและเทพธิดาไป่ชิงเปลี่ยนไปเล็กน้อย

 

ทั้งสองมองหน้ากับ

 

เทพธิดาไป่ชิงสั่งฟงจินฮวงด้วยน้ำเสียงหนักแน่น “ฮวงเอ๋อ นี่เป็นข้อห้ามที่ไม่สามารถกล่าวถึงเมื่อเจ้าไปยังวังสวรรค์โดยเฉพาะต่อหน้าอาจารย์ของเจ้า”

 

“เพราะเหตุใด?” ฟงจินฮวงอยากรู้อยากเห็นมากขึ้น

 

ในเวลานี้ฟงจิวเก้อเป็นผู้ให้คำตอบแก่นาง “เพราะศิษย์พี่ของเจ้าหรือศิษย์คนแรกของราชันมังกรก็คือเทพปีศาจบัวแดงในตำนาน ตัวตนที่ลึกลับที่สุดในประวัติศาสตร์!”