ตอนที่ 706 บ้าดีเดือด

พลิกชะตาชายาสยบแค้น

ตอนที่ 706 บ้าดีเดือด

เมื่อเห็นฟางหลิงซู่เดินเข้ามาแล้วอันหลิงเกอก็รู้ว่าคงมาช่วยเพราะเขามักทำเพื่อนางอยู่เสมอ ทำให้นางอดส่งสายตาซาบซึ้งให้ฟางหลิงซู่มิได้

สายตานั้นทำให้ฟางหลิงซู่ตัดสินใจแน่วแน่ว่าต้องช่วยอันหลิงเกอให้ได้ เขามิอาจปล่อยให้มู่จวินฮานรังแกนางอีก !

ส่วนมู่จวินฮานที่เห็นฟางหลิงซู่เดินเข้ามาก็ขมวดคิ้วโดยมิรู้ตัว เขาไม่อยากเจอหน้าฟางหลิงซู่มากที่สุด มองจากการที่อีกฝ่ายรีบมาตอนนี้ก็เพื่อมาช่วยอันหลิงเกอแน่ หากเป็นเช่นนั้นฟางหลิงซู่ก็ต้องขัดขวางตนอย่างแน่นอน

“อ๋องมู่ ท่านจะหย่าจริงหรือ ? ” ฟางหลิงซู่เอ่ยขึ้นอีกครั้ง

“คุณชายฟาง เกรงว่าท่านคงมิสนใจเรื่องภายในจวนของข้าหรอก” มู่จวินฮานมองฟางหลิงซู่ด้วยสายตาที่มีประกายความโกรธลุกโชนอย่างไม่ปิดบัง แต่ฟางหลิงซู่ยังยิ้มอยู่ หาได้มีท่าทีโกรธเคืองแม้แต่น้อย

“ข้ากับพระชายามู่เป็นสหายที่ดีต่อกัน จักกล่าวว่ายุ่งเรื่องชาวบ้านได้เยี่ยงไร ? อีกอย่างมิตรภาพระหว่างข้าและอ๋องมู่ก็มิใช่เพียงผิวเผิน ข้าจะทนเห็นท่านทำเรื่องเหลวไหลเช่นการยกชายารองขึ้นเป็นชายาเอกจนถูกผู้คนหัวเราะเยาะได้อย่างไร ? ”

คำพูดของฟางหลิงซู่แสนเรียบง่าย ทว่าทุกคำล้วนทำให้มู่จวินฮานมิอาจตอบโต้ได้ ถือเป็นครั้งแรกที่อันหลิงเกอเห็นว่าเบื้องหลังความอ่อนโยนของฟางหลิงซู่ยังมีมุมเช่นนี้ซ่อนไว้ด้วย

“แล้วคุณชายฟางคิดว่าข้าควรทำเช่นไร ? ” หากใช้คำว่ามู่จวินฮานกำลังขบเขี้ยวเคี้ยวฟันก็คงได้ เวลานี้เขาต้องไหลตามคำพูดของฟางหลิงซู่ เพราะมิเช่นนั้นก็เท่ากับว่าเขาไม่รู้จักรักษาน้ำใจผู้อื่น

และแผนการของมู่จวินฮานก็ถูกฟางหลิงซู่ทำลายลงไปแล้วจึงทำให้เขาอดหงุดหงิดมิได้

“มิกล้า มิกล้า เพียงแต่ข้าอยากเตือนอ๋องมู่สักหน่อยว่าการจัดการสิ่งใดควรคำนึงถึงเหตุผลน้ำพึ่งเรือเสือพึ่งป่าบ้าง ข้าเชื่อว่าอ๋องมู่คงเข้าใจดี”

ฟางหลิงซู่ที่ก่อนหน้านี้ยังมีท่าทางยิ้มแย้มอยู่ ตอนนี้เปลี่ยนเป็นนิ่งขรึม คำพูดที่แทงใจดำนั้นทำให้มู่จวินฮานต้องนำเรื่องนี้กลับไปใคร่ครวญอีกครั้ง

พอเห็นสีหน้าของมู่จวินฮานเปลี่ยนไป ฟางหลิงซู่ก็รู้ได้ว่ามิต้องกล่าวอันใดมากอีก มู่จวินฮานย่อมรู้อยู่แก่ใจดี เพราะมิใช่คนโง่จึงรู้ข้อดีข้อเสียได้เอง

“ท่านอ๋อง ข้าน้อยขอลา ! ” ตอนนี้แววตาที่อันหลิงเกอมองมู่จวินฮานเย็นชายิ่งนัก นางเอ่ยกับเขาด้วยน้ำเสียงเรียบนิ่ง หาได้บ่งบอกอารมณ์อันใดไม่ ก่อนจะหมุนตัวเดินจากไป

เมื่อเห็นแผ่นหลังที่ดูเด็ดเดี่ยวของนางแล้ว มู่จวินฮานก็รู้สึกเจ็บปวดใจขึ้นมา

แม้บุรุษทั้งสองมิได้ตามนางไปแต่ภายในใจต่างก็สั่นไหวมิน้อย

ฟางหลิงซู่รู้ว่าครั้งนี้ช่วยอันหลิงเกอเอาไว้ นางจะต้องเชื่อใจเขาอย่างแน่นอนและไม่สงสัยเกี่ยวกับเขาอีกจึงรู้สึกโล่งใจขึ้นมาเล็กน้อย

เมื่อครู่ได้เห็นท่าทางไร้เยื่อใยของอันหลิงเกอและมู่จวินฮานแล้วก็ทำให้รู้ว่านี่คงถึงเวลาของตนจึงเตรียมก้าวเดินออกไป

“ช้าก่อนคุณชายฟาง” น้ำเสียงที่เย็นชาของมู่จวินฮานดังขึ้นด้านหลังของฟางหลิงซู่ เขาจึงหันกลับมามองและรอให้มู่จวินฮานเอ่ยต่อ

“คุณชายฟางจงถือว่าข้าไร้ปัญญา ในเมื่อท่านรักเกอเอ๋อมากเพียงนี้ เหตุใดจึงอยากให้นางกลับมาอยู่ข้างกายข้า ? มิใช่ว่าคุณชายฟางยังมีแผนอันใดอีกกระมัง”

ในสายตาของมู่จวินฮานแล้ว ความรู้สึกที่ฟางหลิงซู่มีต่ออันหลิงเกอหาใช่รักแท้ คงแค่ต้องการใช้ประโยชน์จากนางเท่านั้น สิ่งที่มู่จวินฮานพอคาดเดาได้คือฟางหลิงซู่ต้องการใช้อันหลิงเกอเพื่อบรรลุเป้าหมายบางอย่าง

“อ๋องมู่ทราบหรือไม่ว่าบนโลกนี้มีคุณธรรมอย่างหนึ่งที่เรียกว่า ‘ช่วยเหลือผู้อื่นให้สมความปรารถนา’ ” เมื่อเอ่ยจบฟางหลิงซู่ก็เดินจากไปโดยมิหันมาอีก ทิ้งมู่จวินฮานให้ยืนตกตะลึงอยู่ตรงนั้น

พลันมุมปากของมู่จวินฮานก็กระตุกขึ้นแล้วพระชายาของข้าจักเติมเต็มความปรารถนาของเจ้าได้เยี่ยงไร !

แต่ตอนนี้เขาเองก็จำใจต้องทำเช่นนี้…

เมื่อฟางหลิงซู่จากไปได้มินาน มู่จวินฮานก็กลับเข้ามาในงานเลี้ยง เวลานี้ทัวป๋าหลิวลี่นั่งอยู่ในกลุ่มแขกฝั่งสตรี ส่วนอันหลิงเกอก็ยังนั่งอยู่ข้างกายของมู่จวินฮานดังเดิม

วันนี้ดูเหมือนว่าฮ่องเต้ทรงพระเกษมสำราญเป็นพิเศษ อันหลิงเกอมิรู้ว่าถ้าอีกสักครู่มู่จวินฮานประกาศเรื่องของนางขึ้นมา สีพระพักตร์จะเปลี่ยนไปมากเพียงใด

ทัวป๋าหลิวลี่มองอันหลิงเกอที่นั่งอยู่ฝั่งตรงข้ามด้วยความสะใจคล้ายกำลังเอ่ยว่าเวลานี้เจ้าได้นั่งอยู่ข้างกายมู่จวินฮาน แต่อีกมินานเจ้าก็จะไร้ตัวตน !

จากนั้นนางก็ได้สติขึ้นมาแล้วใช้สายตาที่แสนยั่วยวนและอ่อนโยนมองไปทางมู่จวินฮานซึ่งแตกต่างจากตอนมองอันหลิงเกอเมื่อครู่มาก แต่มู่จวินฮานราวกับมองมิเห็นและก้มหน้าดื่มสุราในจอกเท่านั้น

ทว่าจนถึงเวลาที่งานเลี้ยงใกล้สิ้นสุดแล้ว มู่จวินฮานก็หาได้เอ่ยปากไม่

ทำให้ทัวป๋าหลิวลี่ที่อยู่ฝั่งตรงข้ามรู้สึกรอมิไหว สายตาของนางมองไปทางทั้งสองคนคล้ายต้องการเฉือนเนื้อออกเป็นชิ้น ไม่ได้มีความอ่อนโยนอย่างที่ผ่านมาแม้แต่น้อย

มู่จวินฮานในตอนนี้มิได้สนใจนางและเขาก็เพิ่งตระหนักได้ว่าควรทำสิ่งใดจึงมิอาจใจอ่อนต่อทัวป๋าหลิวลี่ได้

อีกทั้งเขาไม่ได้มีความรู้สึกอันใดต่อทัวป๋าหลิวลี่และบุตรในครรภ์ของนางแท้ที่จริงก็มิใช่บุตรของเขาด้วย

ทัวป๋าหลิวลี่เห็นท่าทีปรองดองระหว่างอันหลิงเกอและมู่จวินฮานที่อยู่ฝั่งตรงข้าม แต่ตนทำได้เพียงซ่อนตัวอยู่ในกลุ่มแขกสตรีที่มิรู้จัก ถึงขั้นมิอาจเอ่ยปากสนทนากับผู้ใดได้เลย

มองท่าทีสนิทสนมของทั้งสองคน อีกทั้งมู่จวินฮานยังอ่อนโยนต่ออันหลิงเกอถึงเพียงนี้ คอยคีบอาหารให้มิหยุด ไม่ว่าจะมองเช่นไรก็รู้สึกว่าเป็นคู่ที่รักใคร่กลมเกลียวและเหมาะสมกันที่สุด

ทำให้เวลานี้ใจของทัวป๋าหลิวลี่หนาวเหน็บยิ่งนัก นางรู้ว่ามู่จวินฮานไม่มีทางทำอันใดเพื่อตนอีกแน่จึงขบกรามแน่นก่อนจะยกกระโปรงขึ้นเล็กน้อยแล้วยืนขึ้นท่ามกลางกลุ่มคนที่นั่งอยู่

“ทูลฝ่าบาท หม่อมฉันขอถวายพระพรฝ่าบาทเพคะ” ทัวป๋าหลิวลี่เชื่อว่าฮ่องเต้ต้องจดจำนางได้แน่นอนเพราะพระองค์ส่งนางไปอยู่ข้างกายมู่จวินฮานเอง เวลานี้ไม่มีทางลืมนางเด็ดขาด

“เจ้าคือผู้ใด ? ” แต่ฮ่องเต้คล้ายจำนางมิได้ ถึงขั้นหันไปมองขันทีที่อยู่ข้างพระวรกายเพื่อรอการทูลรายงาน ทำให้ทัวป๋าหลิวลี่ตกตะลึงในชั่วพริบตา

“ทูลฝ่าบาท นี่คือพระชายารองแห่งจวนอ๋องมู่ทั้งยังเป็นองค์หญิงแคว้นชิงเยว่พ่ะย่ะค่ะ” ขันทีที่ยืนอยู่ด้านข้างกระซิบทูลให้ทรงทราบ ใครต่างก็รู้ดีว่างานเลี้ยงเช่นนี้มีเพียงชายาเอกเท่านั้นมาร่วมงานได้ ดังนั้นการที่ทัวป๋าหลิวลี่ปรากฏตัวมิเท่ากับเป็นการหยามเกียรติอันหลิงเกอหรอกหรือ

แต่พอมองไปทางอันหลิงเกอก็ไม่มีทีท่าโมโหแต่อย่างใด นางเพียงนั่งจิบชาเงียบ ๆ และทานอาหารที่มู่จวินฮานคีบให้เท่านั้น ราวกับมองมิเห็นสิ่งที่ทัวป๋าหลิวลี่ทำก็มิปาน

ส่วนปฏิกิริยาของมู่จวินฮานแม้ยังคีบอาหารให้อันหลิงเกอด้วยท่าทียิ้มแย้มอ่อนโยน ทว่านิ้วมือของเขาก็บีบตะเกียบแน่นจนซีดขาวทำให้รับรู้ถึงโทสะได้เป็นอย่างดี

แต่ทัวป๋าหลิวลี่เหมือนมองมิเห็น นางยังคุกเข่าอยู่ตรงนั้นทั้งที่ตั้งครรภ์พลางขยับปากอ้าและหุบราวกับคิดจะกล่าวอันใดบางอย่างพร้อมเหลือบมองอันหลิงเกอครู่หนึ่งคล้ายหวาดกลัวเป็นอย่างมาก

ผู้มีปัญญาย่อมมองออกว่าสิ่งที่ทัวป๋าหลิวลี่ต้องการจะกล่าวในเวลานี้ต้องเกี่ยวข้องกับอันหลิงเกออย่างแน่นอน

เหล่าขุนนางที่พอคาดเดาได้ก็ทยอยกันออกไปอย่างรวดเร็ว ส่วนคนที่ยังมิรู้ความเพียงไม่กี่คนก็ได้ถอยออกไปด้วยเช่นกัน

เป็นเหตุให้ทัวป๋าหลิวลี่ขบกรามแน่น เดิมทีนางต้องการทำให้อันหลิงเกออับอายต่อหน้าคนจำนวนมาก นึกมิถึงว่าคนเหล่านี้ไม่กล้าอยู่ดูเรื่องสนุกที่กำลังจะเกิดขึ้นจนพากันถอยออกไปหมด !