ตอนที่ 570: โง่เง่า
“น้องอี้!?”
“พี่อี้”
เมื่อเริ่นหลงกับพวกเห็นเทียนหยุนก็ได้พากันแสดงความตกใจออกมาพวกเขาคิดว่าอี้ เทียนหยุนยังไม่กลับมา ก่อนหน้านี้พวกเขาได้รู้มาว่าอี้เทียนหยุนได้เดินทางไปยังโลกวิญญาณ ทําให้พวกเขาไม่สามารถจ้างข่าวไปยังอี้เทียนหยุนได้
แต่ใครจะรู้ว่าในช่วงเวลาที่อันตรายอย่างนี้ อี้เทียนหยุนจะปรากฏตัวอย่างไม่คาดคิด! แม้ว่าในใจจะรู้สึกยินดีทั้งประหลาดใจ แต่ไม่นานก็หดหูลง ต่อให้อี้เทียนหยุนจะกลับมาแล้วมันจะไม่ อันตรายอย่างงั้นเหรอ? แม้เขาจะสามารถควบคุมสมบัติลับเทียนหลงได้แต่เมื่อต้องเผชิญหน้ากับ มหาอาณาจักรทั้งสี่ ก็เป็นไปได้ว่าเขาจะไม่สามารถต้านทานได้
“องค์ชาย!?”
ในตอนนี้เอง เมื่อเหล่าขุนนางทั้งหลายเห็นอี้เทียนหยุน ก็ได้พากันตกใจเช่นกัน ไม่คิดว่าองค์ชายจะกลับมาในช่วงอันตรายอย่างนี้ ทั้งยังมาคนเดียวโดดๆ หรือว่าจะมาช่วยงั้นเหรอ?
มหาจักรพรรดิทั้งสองก็ตกใจนิดหน่อย พวกเขาได้ยินมาว่ามีองค์ชายคนหนึ่งซึ่งสามารถควบคุมสมบัติลับเทียนหลงได้ ซึ่งไม่รู้ว่าโผล่มาจากไหน สมบัติลับเทียนหลงนั้นควบคุมยากมากทั้งจําเป็นต้องมีสายเลือดมังกรสวรรค์ที่แข็งแกร่ง นี่หมายความว่าองค์ชายที่ปรากฏตรงหน้านี้มีสายเลือดของมังกรสวรรค์น่ะสิ ฉันก็เหมือนกับว่าเขาเป็นสมาชิกของอาณาจักรเทียนหลง!
แน่นอนว่าทั้งหมดนี้เป็นแค่การคาดเดา พวกเขาไม่รู้ว่าสถานการณ์จริงๆ นั้นเป็นยังไง
ตอนนี้เด็กหนุ่มคนหนึ่งได้มาปรากฏขึ้นตรงหน้าพวกเขา ทําให้พวกเขาตกใจ นี่คือองค์ชายในตํานานนั้นคาดไม่ถึงเลยว่าจะเป็นเด็กหนุ่มที่ปรากฏอยู่ตรงหน้านี้? เรื่องนี้บอกไปก็คงไม่มีใครเชื่อ
ยังไงก็ตาม การที่เขาสามารถบินได้ ก็หมายความว่าระดับของอีกฝ่ายย่อมไม่อ่อนแอ มหาจักรพรรดิเซียวกับพวกพากันจับจ้องมาที่อี้เทียนหยุน คิดว่าช่างเป็นเรื่องที่น่าหัวเราะอย่างมากต่อให้จะเก่งแล้วทําไม ยังไงก็แค่คนๆ เดียว
“เจ้าคือองค์ชายในตํานานนั่นอย่างงั้นเหรอ ดูแล้วยังเด็กอยู่เลยหนิ” หลังจากที่มหาจักรพรรดิเซียวเห็น ก็อดไม่ได้ต้องหัวเราะออกมา “แต่ก็แค่นั้นล่ะ ต่อให้จะมีองค์ชายคนหนึ่งปรากฏตัวขึ้นแต่จะสามารถพลิกสถานการณ์กลับมาได้อย่างงั้นเหรอ?”
“มหาจักรพรรดิเซียวรอสักครู่ เมื่อกี้นี้เหมือนว่าอีกฝ่ายจะพูดอะไรออกมาด้วย?” ในตอนนี้เองมหาจักรพรรดิจูเก๋อที่อยู่ใกล้ๆ ก็ได้หรี่ตา เทียบกับเด็กหนุ่มคนนี้ เขาสนใจกับคําพูดที่พูดออกมาเมื่อก่อนหน้านี้มากกว่า
“อะไร ก่อนหน้านี้เขาได้พูดอะไรด้วยอย่างงั้นเหรอ?” มหาจักรพรรดิเซียวไม่ได้ให้ความสนใจสําหรับเขาแล้วเห็นเพียงแค่ฝั่งตรงข้ามมาคนเดียวเท่านั้น แล้วยังจะมีความหมายอะไรอีก?
“เขาบอกว่าอีกสองอาณาจักรจะไม่มาแล้ว?” มหาจักรพรรดิจเกือที่เอนหลังอยู่ได้ลุกขึ้นพร้อมกับผลักสองสาวงามข้างกายออก แล้วมองไปยังอี้เทียนหยุนอย่างเย็นชา พร้อมกับพูดขึ้นว่า“เมื่อกี้นี้ที่เจ้าพูดคืออย่างนี้ใช่ไหม?”
“ใช่ มหาอาณาจักรอีกสองจะไม่มาแล้ว ข้าบังเอิญเจอพวกมันระหว่างทาง จึงได้ทํา การกําจัดพวกมันทิ้งทั้งหมด”เทียนหยุนพูดอย่างไม่ใส่ใจ
กับคําพูดนี้ ทําให้ทุกคนต่างก็พากันตกใจ จากนั้นทางฝั่งของมหาอาณาจักรทั้งสองต่างก็พากันระเบิดเสียงหัวเราะออกมา คิดว่านี่เป็นแค่เรื่องตลก! แค่เขาคนเดียว แต่กลับขัดขวางสองอาณาจักรได้ จะโม้ก็ให้ดูสถานการณ์ด้วยสิ?
อย่าว่าแต่สองมหาอาณาจักรที่หัวเราะเลย กระทั่งเหล่าขุนนางที่อยู่ในเมืองเทียนหลงก็พากันมีสีหน้าดําคล้ํา พร้อมกับพากันคิดว่า ต่อให้อยากจะสร้างความหวาดกลัวให้กับสองมหาอาณาจักรก็ไม่ควรพูดคําที่ไร้สมองอย่างนี้ออกมา เพราะว่าพูดออกมาอย่างนี้ใครมันจะไปเชื่อกัน?
พวกเขาไม่เชื่อ แต่ก็มีบางคนที่เชื่ออยู่!
“พี่อี้ ท่านจัดการพวกมันไปแล้วจริงๆ เหรอ?” เริ่นจือโหรวรู้ถึงพลังของอี้เทียนหยุน ดังนั้นจึงมีความเป็นไปได้ที่อี้เทียนหยุนจะทําได้อย่างที่พูดจริงๆ
เริ่นหลงมีสีหน้าสงสัย กับคําพูดนี้ ในใจเขาเชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่ง เขาไม่รู้ถึงความสําเร็จของเทียนหยุน ดังนั้นจึงคิดเหมือนกันกับเหล่าขุนนางของตน ต่อให้อยากจะขู่พวกเขาก็ไม่ควรที่จะ โกหกด้วยคําพูดนี้
บางคนเชื่อ บางคนไม่เชื่อ แต่ทางฝั่งมหาอาณาจักรทั้งสองนั้น แน่นอนว่าย่อมไม่เชื่ออยู่แล้ว
“มหาจักรพรรดิเริ่น องค์ชายคนนี้ของเจ้า ไม่คิดว่าจะไม่เกินไปหน่อยเหรอ? กําจัดมหาอาณาจักรทั้งสอง นอกจากผู้เชี่ยวชาญระดับราชาวิญญาณแล้ว ยังมีผู้เชี่ยวชาญระดับวิญญาณเที่ยงแท้อีกมาก น้ําหน้าอย่างเจ้าก็ขัดขวางได้ด้วย? หากคิดจะขู่เรา ก็อย่าได้พูดคําพูดโง่ๆนั้นออก มา? อย่างน้อยก็ให้มันมีความจริงบ้าง ตัวอย่างเช่น ได้ไปหาอาณาจักรชื่อหลงเพื่อสนับสนุนแบบ นี้ยังจะน่าเชื่อกว่า”
มหาจักรพรรดิเชียวหัวเราะ คิดว่าอี้เทียนหยุนมีปัญหาทางสมอง ไม่อย่างนั้นคงไม่พูดคํา นี้ออกมานี่มันไม่น่าเชื่อเกินไปแล้ว
ผู้คนกลุ่มหนึ่งพากันมองมาที่เขาราวกับคนโง่ บอกว่าระหว่างทางได้สังหารผู้เชี่ยวชาญจากอีกสองอาณาจักร ใครจะรู้ว่าอาจจะสังหารแค่คนบ้าคนหนึ่งเท่านั้น ต่อให้อยากจะขู่คนอย่างน้อยก็น่าจะพูดเรื่องที่น่าเชื่อกว่านี้หน่อย
นี่ก็เหมือนกับขอทานคนหนึ่ง อยู่ๆ ก็บอกว่าตนมีเงินหมื่นล้าน เป็นเจ้า เจ้าจะเชื่อไหม? แต่หากบอกว่าตนเองเป็นปรมาจารย์ของพรรคยาจก แบบนี้ก็ต่างกันแล้ว ต่อให้เรื่องปรมาจารย์จะเป็นเรื่องโกหกแต่อย่างน้อยก็ยังพอน่าเชื่อถืออยู่บ้าง
แต่นี่กลับบอกว่าตนคนเดียวจัดการกับมหาอาณาจักรทั้งสอง แล้วแบบนี้ใครจะไปเชื่อ?
“อืม งั้นตอนนี้ก็เริ่มจากเจ้าแล้วกัน ต่อให้จะขอความเมตตา ข้าก็ไม่มีทางปล่อยเจ้าไป” อี้เทียนหยุนพูดอย่างไม่แยแส “ทุกเรื่องที่ตนกระทํา จําเป็นต้องรับผลที่ตามมาด้วย!”
“ฮ่าๆๆ… คําพูดว่าดูโง่แล้ว แต่ไม่คิดว่าจะเป็นคนโง่จริงๆ มหาจักรพรรดิเริ่น องค์ชายคนนี้ของเจ้าดูเหมือนว่าจะเล่นจนติดเป็นนิสัยแล้ว ยังคิดว่าพวกเราจะร้องขอความเมตตาอย่างงั้นเหรอ? พูดเป็นเรื่องตลกไปได้!” มหาจักรพรรดิเซียวบินออกมาจากเกวียนมังกรพร้อมกับมองมา ยังอี้เทียนหยุนราวกับคนโง่ “เป็นที่น่าเศร้าใจจริงๆ ที่อาณาจักรเทียนหลงมีองค์ชายอย่างนี้ แล้วอย่างนี้จะไปอยู่รอดได้ยังไง?”
“เห็นนี่หรือยัง เจ้ายังจะคิดว่าการหักหลังของเจ้าเป็นเรื่องผิดอยู่ไหม? นี่เป็นวีรบุรุษรู้สถานการณ์ต่างหาก!”
เหล่าขุนนางที่เลือกจะหักหลังเมื่อเห็นการกระทําของอี้เทียนหยุนก็อดไม่ได้ต้องพากันส่ายหัวการเลือกที่จะหักหลังเป็นตัวเลือกที่ถูกต้องจริงๆ ไม่อย่างนั้นคงไม่รู้ว่าจะตายกันตอนไหน
แม้ว่าจะมีคนพูดเอาไว้ว่าองค์ชายที่เพิ่งมาถึงนี้แข็งแกร่งมาก แต่ใครจะเชื่อว่าเขาเพียงคนเดียวจะสามารถจัดการกับมหาอาณาจักรทั้งสองได้?
เหล่าขุนนางในเมืองเทียนหลงก็ไม่รู้ว่าจะพูดยังไงดีได้ยินว่าองค์ชายเป็นพี่น้องร่วมสา บานของมหาจักรพรรดิเริ่นงั้นเริ่นหลงก็ควรมีส่วนรับผิดชอบด้วยใช่ไหม?
ในตอนนี้ มหาจักรพรรดิจูเกือก็ได้บินออกมาเช่นกัน พร้อมกับส่ายหัวแล้วพูดว่า “ผู้อื่นก็แค่เย้าเราให้เราได้มีความสุข หลังจากอีกสองมหาอาณาจักรมาถึง ข้าก็อยากจะเห็นเหมือนกันว่าเจ้าเด็กนี่จะยังเล่นอะไรได้อีก”
พวกเขาพากันหัวเราะ ทั้งยังไม่รีบร้อนที่จะเข้าไปยึดเมือง แต่รออีกสองมหาอาณาจักรที่เหลือมาถึงก่อน จากนั้นค่อยลงมือทีเดียว อย่างนั้นจะสามารถจัดการกับขุมอํานาจนี้ได้อย่างเด็ดขาดต่อให้จะมีสมบัติลับเทียนหลง ก็ไม่สามารถต้านทานการโจมตีจากผู้เชี่ยวชาญจํานวนมากได้หรอกจริงไหม?
ก่อนหน้านี้พวกเขาได้ตกลงกันไว้ก่อนแล้ว หากว่าอาณาจักรเทียนหลงเลือกที่จะยอมแพ้แบบนั้นจึงจะเป็นเรื่องที่ดีที่สุด
ผู้คนพากันพยักหน้า พร้อมกับมองไปที่อี้เทียนหยุนด้วยแววตาท้าทาย
“ข้าบอกไปแล้วว่าพวกมันจะไม่มาแล้ว” อี้เทียนหยุนพูดออกมาอีกครั้ง จากนั้นก็มองพวกเขาอย่างเย็นชาพร้อมกับพูดว่า “มหาจักรพรรดิที่โง่เง่าทั้งสอง จงดูซะ!”
“เจ้าหนู เจ้าพูดว่าอะไร?” มหาจักรพรรดิเซียวกับพวกพากันมองมาที่เขาอย่างเดือดดาล ความตายกลายมาถึงศีรษะแล้วยังมากล้าด่าพวกตนว่าโง่อีก
แต่เมื่อพวกเขาทั้งสองสบเข้ากับนัยน์ตาของอี้เทียนหยุน ทันใดนั้นก็รู้สึกเหมือนตนตกอยู่ในมนตร์สะกด พร้อมกับสติที่เริ่มพล่าเลือน
จากนั้น พวกเขาก็ไม่รู้สึกถึงร่างกายของตนอีก ราวกับว่าร่างกายนี้ไม่ใช่ของตน
“อืม ฉลาดมาก ไป” อี้เทียนหยุนโบกมือ
จากนั้น มหาจักรพรรดิทั้งสองก็หมุนตัว พร้อมกับเรียกอุปกรณ์ระดับศักดิ์สิทธิ์ของตนออกมาจากนั้นก็เริ่มการเข่นฆ่าผู้ใต้บังคับบัญชาของตนที่อยู่ใกล้ๆ อย่างรวดเร็ว!
“ปัง!”
ผู้เชี่ยวชาญระดับราชาวิญญาณทั้งสองเริ่มทําการโจมตีเข้าใส่ผู้ใต้บังคับบัญชาของตนอย่างบ้าคลั่ง เหตุการณ์ที่พลิกผันอย่างรวดเร็วนี้ ทําให้ทุกคนพากันตกใจ ทําไมมหาจักรพรรดิทั้งสองอยู่ๆ ถึงได้ทําการโจมตีใส่คนของตนล่ะ?