บทที่ 455 ไร้สาระ

บัลลังก์พญาหงส์

เจียงอวี้เหลียนเองก็เริ่มออกอาการแล้วเช่นกัน แม้ว่าจะยังไม่อันตรายถึงชีวิต แต่อาการของเจียงอวี้เหลียนก็นับว่าแย่มากแล้ว ถาวจวินหลันรู้อยู่แก่ใจ ที่เจียงอวี้เหลียนแย่มากไม่ใช่เพียงเพราะติดโรคระบาด แต่เจียงอวี้เหลียนหวาดผวาจนตกอยู่ในสภาพนั้นเองด้วยต่างหาก

 

 

จากที่บ่าวรับใช้ข้างกายเจียงอวี้เหลียนพูด ตั้งแต่กลับจากเรือนของหลิวซื่อ เจียงอวี้เหลียนก็ไม่เคยหลับสนิทแม้แต่คืนเดียว ทุกวันเอาแต่อกสั่นขวัญแขวน จนซูบผอมไปกว่าครึ่งื้งที่ยังไม่ได้มีอาการโรคระบาด อารมณ์ก็ย่ำแย่ อีกทั้งไม่กินข้าวให้ดี อาการก็ยิ่งทรุดหนักเรื่อยๆ

 

 

ถาวจวินหลันคิดว่าที่เจียงอวี้เหลียนออกอาการเร็วเช่นนี้ ก็ด้วยสุขภาพที่อ่อนแอของนาง ด้วยเหตุนี้นางจึงยิ่งรักษาร่างกายของตัวเองให้ดี

 

 

เจียงอวี้เหลียนติดเชื้อโรคระบาด ถาวจวินหลันย่อมไปเยี่ยมไม่ได้ แต่ก็เรียกพบหมอหลวงผ่านฉากกั้นอีกครั้งหนึ่ง ไม่พบกันหลายวันหมอหลวงก็ซูบผอมไปกว่าครึ่งเช่นกัน แต่นั่นเป็นเพราะว่าเหนื่อยล้า

 

 

“ทางด้านชายารองเจียง…” ถาวจวินหลันเหนื่อยที่จะต้องพูดวกวน จึงพูดขวานผ่าซากว่า “ได้ยินว่าอาการไม่ค่อยดีนัก ท่านมีวิธีอะไรหรือไม่?”

 

 

หมอหลวงสวีส่ายหน้า พูดว่า “โรคทางใจต้องการยารักษาใจ ชายารองเจียงตกใจจนสิ้นสติ ยาย่อมไร้ประโยชน์”

 

 

ถาวจวินหลันหัวเราะขมขื่น นิ่งอยู่ในภวังค์ครู่ใหญ่ก็คิดได้ว่า “เช่นนั้นก็ไปบอกนาง ว่าท่านค้นพบวิธีรักษาได้แล้ว”

 

 

หมอหลวงสวีตะลึงไป “นี่…” ไม่ใช่การโกหกหรืออย่างไร? อีกทั้งหากถูกเปิดเผย นี่จะไม่ยิ่งแย่ไปอีกหรือ?

 

 

“ยังจะแย่กว่าตอนนี้อีกอย่างนั้นหรือ” ถาวจวินหลันพูดเนิบๆ “ต่อให้สุดท้ายจะต้องตายจริง อย่างน้อยช่วงเวลาสองสามวันนี้ก็ใช้ชีวิตให้มีความสุขเสียหน่อย ไม่ต้องทรมานขนาดนั้น หากเป็นเช่นนี้ต่อไป เกรงว่าโรคระบาดยังไม่ทันคร่าชีวิตของนางไป ตัวนางเองคงจะฆ่าตัวเองไปก่อนแล้ว”

 

 

หมอหลวงสวีเริ่มคล้อยตาม แต่ก็ยังอึดอัดใจอยู่ มีบ้านไหนบ้างที่อนุภรรยาไม่ต่อสู้แย่งชิงกัน? ทว่าชายารองถาวคนนี้ไม่เหมือนคนอื่น หากเป็นคนอื่นเกรงว่าคงจะหวังให้ชายารองเจียงตายไปทั้งอย่างนี้แล้ว ไฉนเลยจะมานั่งคิดเรื่องช่วยเหลือคน?

 

 

อึดอัดก็ถือเป็นอีกเรื่องหนึ่ง ถึงอย่างไรเขาก็ไม่กล้าพูดอะไร และยิ่งไม่กล้าแสดงออกมาแม้แต่น้อย หลังจากพิจารณาคำพูดของถาวจวินหลันอย่างละเอียดถี่ถ้วนแล้ว สุดท้ายหมอหลวงสวีก็พยักหน้าเอ่ย “เช่นนี้ถือเป็นวิธีที่ดีเช่นเดียวกัน” ไม่ว่าอย่างไรก็ยืดเวลาออกไปได้ไม่ใช่หรือ? ขอเพียงคิดค้นวิธีรักษาได้ ทุกอย่างก็จะดีขึ้นเอง

 

 

ถาวจวินหลันพยักหน้า “เวลาท่านใช้ยาก็ต้องกล้ามากกว่านี้หน่อย ต่อให้รักษาไม่หาย แต่แค่ระงับโรคระบาดไม่ให้ออกอาการเร็วเกินไป และยืดเวลาให้คนทนต่อไปได้นานอีกหน่อยก็ถือว่าดีมากแล้ว”

 

 

นางรู้อยู่แก่ใจว่าหมอหลวงสวีอายุน้อยเกินไป จะฝากความหวังทั้งหมดไว้ที่หมอหลวงสวีก็ถือว่าเข้มงวดเกินไป ดังนั้นนางจึงคิดว่าถอยให้ก้าวหนึ่งแล้วร้องขอสิ่งที่รองลงมาถึงเป็นวิธีที่ดีที่สุด

 

 

หมอหลวงสวีพยักหน้า รู้สึกผ่อนคลายไปเล็กน้อย อย่างไรเป้าหมายก็ลดลงมาเล็กน้อย ระดับความยากย่อมลดลงมาเช่นเดียวกัน อย่างน้อยก็ไม่ได้ห่างไกลจนจับต้องไม่ได้

 

 

หลังจากส่งหมอหลวงสวีไปแล้ว ปี้เจี้ยวก็เอ่ยปากพูดก่อนอย่างที่ไม่ค่อยเห็น “ทำไมชายารองต้องเหนื่อยเพราะชายารองเจียงด้วยเจ้าคะ? คนอย่างนาง ไม่มีทางซาบซึ้ง ช่วยไปก็เสียแรงเปล่าเท่านั้น” อีกทั้งเจียงอวี้เหลียนก็ยังเป็นมารดาของเซิ่นเอ๋อร์อีกด้วย

 

 

ปี้เจียวไม่กล้าพูดเรื่องสุดท้ายออกมา แต่คิดว่าถาวจวินหลันน่าจะคาดเดาความคิดของนางได้อยู่แล้ว

 

 

ถาวจวินหลันคาดเดาได้จริง จึงคลี่ยิ้มออกมา “ไม่ว่าจะมีนางหรือไม่ วันข้างหน้าก็จะต้องมีคนอื่นอีก อย่างนั้นไม่สู้ให้นางอยู่ต่อดีกว่า อีกทั้งข้ากับนางก็ตกอยู่ในสถานการณ์เดียวกัน แล้วยังมีอะไรให้คิดมากอีก? อีกทั้งเซิ่นเอ๋อร์ก็ยังเล็กนัก ถ้าไม่มีแม่จะน่าสงสารเพียงใด?”

 

 

เจียงอวี้เหลียนไม่ได้เป็นคนคิดซับซ้อน ถ้าเทียบกับคนที่เก่งกาจเหล่านั้น นางก็ชอบเจียงอวี้เหลียนมากกว่า ส่วนเซิ่นเอ๋อร์ทำให้นางกดดันหรือไม่ คิดว่าภายในสิบปีนี้คงไม่เกิดเหตุการณ์เช่นนั้นขึ้น หรือจะพูดว่า หากเซิ่นเอ๋อร์มีอิทธิพลต่อซวนเอ๋อร์ อย่างนั้นก็อธิบายได้แค่ว่าซวนเอ๋อร์ไม่สู้คนเกินไป

 

 

อีกทั้งสถานการณ์เช่นเจียงอวี้เหลียนนี้ ก็ให้นางรู้สึกโศกเศร้าที่คนกลุ่มเดียวกันตายไป อย่างไรวันนั้นพวกนางก็เข้าไปในเรือนของหลิวซื่อพร้อมกัน ตอนนี้เจียงอวี้เหลียนมีสภาพเช่นนี้ ก็พลอยให้นางคิดถึงตัวเองไปด้วย ใครจะรู้ว่าวันพรุ่งนี้จะเป็นตัวนางด้วยหรือไม่?

 

 

“อาการของพระชายาวันนี้เป็นอย่างไรบ้าง?” ถาวจวินหลันนวดหว่างคิ้ว ถอนหายใจพลางเอ่ยถาม ตอนนี้นางกังวลว่าหลังจากเหตุการณ์โรคระบาดผ่านไป จวนตวนชินอ๋องจะเหลืออยู่ไม่กี่คน บรรดาบ่าวรับใช้ หญิงชราทั้งหลายไม่ต้องพูดถึง พูดแค่เพียงนายหญิงที่แต่เดิมมีน้อยอยู่แล้วจะดีกว่า

 

 

ปี้เจียวส่ายหัว พูดแค่ว่า “ยังเหมือนเดิมเจ้าค่ะ” เพียงแค่ทนให้วันเวลาผ่านไปเท่านั้น วันนี้ได้ยินมาว่าเริ่มเลอะเลือน นอนอยู่บนเตียงไม่ถึงหนึ่งหรือสองชั่วยามก็ตื่นขึ้นมาแล้ว

 

 

แต่นางกลับไม่กล้าพูดให้ถาวจวินหลันฟังตรงๆ กลัวว่าหลังจากถาวจวินหลันรู้เรื่องนี้แล้วจะยิ่งปวดหัวและคิดมากกว่าเดิม ดังนั้นจึงปล่อยผ่านไป

 

 

แม้ว่าปี้เจียวจะไม่พูด ถาวจวินหลันก็รู้อยู่แก่ใจ ดังนั้นจึงไม่ได้ถามอะไรมาก เพียงแค่กำชับว่า “ให้คนไปเตรียมของให้พร้อม” แม้ว่าจะเก็บร่างเอาไว้ไม่ได้ แต่ของที่ควรต้องเตรียมก็เตรียมให้พร้อม ฝังไปแค่เสื้อผ้าและเถ้ากระดูกก็พอแล้ว ไม่ว่าอย่างไรก็ต้องไว้หน้าบ้าง

 

 

บางทีอาจด้วยนางได้นอนกลางวัน ตกดึกนั้นถาวจวินหลันจึงไม่ง่วง หลังจากนอนหลับตาอยู่ครู่หนึ่งก็อดลุกขึ้นมาไม่ได้ แล้วให้คนไปจุดไฟเพื่อไปอ่านหนังสือที่ห้องหนังสือ

 

 

ตกกลางคืนไม่มีอย่างอื่นให้ทำ นอกจากอ่านหนังสือ ฝึกพู่กันแล้ว นางก็คิดอย่างอื่นไม่ออกแล้วจริงๆ

 

 

มองดูสีหน้าง่วงงุนของปี้เจียว นางก็หัวเราะพูดว่า “เจ้าไปนอนก่อนเถิด ไม่มีเรื่องอื่นให้ทำแล้ว ไม่ต้องให้เจ้ามาคอยปรนนิบัติ พรุ่งนี้ยังต้องตื่นแต่เช้าอีก”

 

 

ปี้เจียวลังเลอยู่นานก็ยังตัดสินใจไม่ได้

 

 

ถาวจวินหลันจึงพูดว่า “ข้าอยากอยู่เงียบๆ คนเดียว เจ้าถอยไปก่อนเถิด”

 

 

ปี้เจียวถึงได้ยอม ไม่ได้เดินตามไป

 

 

ถาวจวินหลันหยิบหนังสือเล่มหนึ่งมาพลิกดูสองสามหน้า แต่พบว่าอ่านไม่เข้าหัว ทำได้แค่ทิ้งหนังสือเล่มนั้นแล้วนั่งลงบนเก้าอี้ ถอนหายใจเบาๆ

 

 

นางคิดถึงหลี่เย่ ที่จริงแล้วก่อนหน้านี้ก็คิดถึงมาก แต่กลับไม่รู้ว่าวันนี้เป็นอะไรถึงได้คิดถึงมากเป็นพิเศษ นางคิดว่าคงเพราะวันนี้เจียงอวี้เหลียนเริ่มมีอาการ นางจึงรู้สึกตกใจ นางกลัวว่าตนเองจะเป็นเหมือนเจียงอวี้เหลีบน นางกลัวว่าจะไม่ได้เจอหลี่เย่ ซวนเอ๋อร์ และหมิงจูอีก

 

 

นางนั่งคิดถึงหลี่เย่และลูกทั้งสองคนอยู่อีกครู่หนึ่ง ฉับพลันก็รู้สึกว่าดวงตาของตนเองร้อนผ่าว นางจึงรีบหลับตาลงอย่างรวดเร็ว ไม่กล้าให้น้ำตาไหลลงมา

 

 

ผ่านไปครู่หนึ่ง นางถึงรู้สึกตัวว่าอารมณ์สงบลงไปแล้ว นางหัวเราะเยาะดูถูกความอ่อนแอของตนเอง ก่อนพูดเตือนสติตัวเองเสียงเบา “ลูกสาวตระกูลถาวไฉนเลยจะแพ้แพ้ไปเช่นนี้? แม้ว่าต้องตาย ก็ต้องตายอย่างสมศักดิ์ศรี”

 

 

เพียงไม่นานก็เหมือนย้อนกลับไปคิดเรื่องปฏิวัติ ตราบใดที่นางยังไม่สามารถเรียกคืนความบริสุทธิ์ของท่านพ่อได้ ชื่อเสียงของตระกูลถาวก็ยังไม่นับว่ากอบกู้ขึ้นมาใหม่ได้

 

 

ไม่พอใจ! ถ้ารู้จะเป็นเช่นนี้ ต่อให้มีหลักฐานไม่มากพอก็ควรเสนอเรื่องนี้ขึ้นมาก่อน อย่างน้อยนางก็ยังเห็นความหวังเล็กน้อยไม่ใช่หรืออย่างไร? ไม่รู้ว่าเมื่อไรถาวจิ้งผิงถึงจะทำได้สำเร็จ อีกทั้งไม่รู้ว่าถาวจิ้งผิงกับองค์หญิงเก้าคืนดีกันแล้วหรือยัง แล้วพวกเขาจะมีลูกด้วยกันเมื่อไร?

 

 

แม้นเข้าใจดีว่าถาวจิ้งผิงกับองค์หญิงเก้ายังอายุน้อย แต่พูดตามจริง นางเริ่มร้อนรนมากแล้ว ภาระสืบทอดตระกูลถาวตกอยู่ที่สองคนนี้ นางกระวีกระวาดร้อนใจอยากให้คนเรียกว่าท่านป้าจะแย่แล้ว

 

 

ขณะที่ครุ่นคิดวุ่นวายอยู่ ถาวจวินหลันกลับได้ยินเสียงคนเคาะหน้าต่าง นางจึงตกใจไปทันที รีบตะโกนถามว่า “ใคร?” พูดไปก็ขยับไปทางริมหน้าต่าง ตอนแรกนางอยากจะเปิดหน้าต่างออกดู แต่เมื่อคิดถึงเรื่องโรคระบาด นางก็รีบชักมือกลับ “ใครอยู่ตรงนั้น?”

 

 

ผ่านไปนานถึงมีเสียงคุ้นเคยดังมาจากข้างหน้าต่าง เสียงอ่อนหวานอ่อนโยนเอ่ยว่า “ข้าเอง”

 

 

ถาวจวินหลันตกใจ หยิกข้อศอกของตัวเองเต็มแรง พอมั่นใจว่าไม่ใช่ความฝัน ถึงได้ขมวดคิ้วถามกลับไป “ท่านเข้ามาได้อย่างไร? ทำไมท่านถึงกล้าเข้ามา! ท่านกำลังหาเรื่องอยู่นะเพคะ!

 

 

คนที่มาคือหลี่เย่ เมื่อครู่นี้นางฟังเสียงออกทันที ด้วยเป็นหลี่เย่ นางถึงได้สงสัยว่าตนเองคิดถึงมากเกินไปจนหูแว่ว พอได้สติกลับมาก็รู้ว่าไม่ใช่ความฝัน นางถึงได้ทำตัวไม่ถูก

 

 

หลี่เย่ควรอยู่ด้านนอกไม่ใช่หรืออย่างไร! เขาเข้ามาได้อย่างไร? เพราะทหารยามหละหลวม หรือเป็นเพราะอย่างอื่น? ที่สำคัญก็คือแม้ว่าจะเข้ามาได้จริง แต่เขาเลอะเลือนจนกล้าเข้ามาได้อย่างไร?! หรือเขาจะไม่กลัวติดโรคระบาดอย่างนั้นหรือ?

 

 

ถาวจวินหลันทั้งร้อนรนและโมโห แต่แล้วนางก็คิดได้ว่ามีหน้าต่างบานหนึ่งกั้นตนเองกับหลี่เย่เอาไว้ จึงรีบก้าวถอยหลังไปสองสามก้าว

 

 

“ข้าคิดถึงเจ้า” ด้านนอกมีเสียงถอนหายใจดังออกมา หลี่เย่เสียงแหบพร่าเป็นพิเศษ ทำให้คนที่ได้ยินรู้สึกเศร้าไปไม่น้อย

 

 

พอหลี่เย่พูดสามคำนั้นออกมา ถาวจวินหลันก็รู้สึกว่าหัวใจกำลังเต้นแรง ร่างกายพลันรู้สึกกระปรี้กระเปร่า ก่อนหัวเราะขมขื่นว่า “ข้าก็คิดถึงท่าน คิดถึงมาก”

 

 

แต่นางก็พูดต่อว่าเสียงเบาโดยเร็ว “แม้ว่าจะคิดถึงข้า ท่านก็ไม่ควรเสี่ยงอันตราย ทำไมคนใจเย็นเช่นท่านถึงได้เลอะเลือนไปแล้วเล่า?”

 

 

หลี่เย่ก็ไม่ได้คิดจะเข้าไป เขารู้ดีว่าต่อให้เขาอยากเข้าไปเพียงใด ถาวจวินหลันก็ไม่มีทางยอม ดังนั้นจึงยืนพิงกำแพงตรงนั้น มองดูท้องฟ้าที่ไร้แสงจันทร์ส่องสว่าง พร้อมทั้งหัวเราะเยาะตัวเอง “ข้ากลัว”

 

 

หลี่เย่กล้าสารภาพตรงๆ ว่าตนเองหวาดกลัวเช่นนี้ กลับทำให้ถาวจวินหลันพูดไม่ออก สุดท้ายแล้วพอได้สติกลับมานางก็พูดเสียงเบาว่า “ไม่มีอะไรต้องกลัวเพคะ ข้าจะต้องไม่เป็นอะไร ข้าไม่เชื่อ ใต้หล้านี้มีหมอมากมายเพียงใด? หรือว่าแม้แต่โรคระบาดก็รักษาไม่หาย?”

 

 

ประโยคสุดท้ายนางตั้งใจพูดให้ขบขันเย้าหยอก

 

 

หลี่อดหัวเราไม่ได้ แต่หลังจากนั้นก็ยิ่งรู้สึกเศร้ามากกว่าเดิม เขาเองก็เข้าใจเหตุผลนี้ แต่เขาก็กลัวว่าถาวจวินหลันจะรอไม่ถึงเวลานั้น

 

 

“จัดการเรื่องเซิ่นเอ๋อร์อย่างไรเพคะ?” ในเมื่อหลี่เย่มาแล้ว เกรงว่าคงไล่ไปทันทีไม่ได้ ดังนั้นถาวจวินหลันจึงตัดสินใจไม่ไปพูดเร่งเขา แต่ถามถึงเรื่องจิปาถะแทน

 

 

“ฝากไว้ที่ไทเฮา” หลี่เย่ตอบ ฉับพลันก็นึกถึงเจียงอวี้เหลียนได้ ด้วยรู้เรื่องที่เจียงอวี้เหลียนเกิดอาการป่วย เขาถึงกลัวว่าถาวจวินหลันจะเป็นเช่นเดียวกัน

 

 

“อืม วางใจได้เพคะ” ถาวจวินหลันหัวเราะพลางพยักหน้า นิ่งไปครู่หนึ่งก็พูดว่า “หากคราวนี้ชายารองเจียงทนไม่ไหว เกรงว่าต่อจากนี้พวกเราจะต้องปฏิบัติต่อเซิ่นเอ๋อร์ให้ดีเสียหน่อย ส่วนอาการของชายาเอก ข้าว่าท่านควรไปแจ้งครอบครัวนางเสียหน่อย เวลาของชายาเอกเหลือไม่มากแล้ว แต่เกรงว่ายามนี้จะจัดพิธีศพอย่างสมบูรณ์ให้ชายาเอกไม่ได้ แม้แต่ศพก็…”

 

 

“ไม่ต้องพูดถึงเรื่องนี้!” หลี่เย่พูดขัดถาวจวินหลันด้วยความรำคาญเล็กน้อย เขาไม่อยากพูดถึงเรื่องนี้ เรื่องเหล่านี้มีแต่ทำให้เขาหวาดกลัวเท่านั้น