ตอนที่ 539 เล่นก็เล่น / ตอนที่ 540 กลับจวน

ลิขิตฟ้าชะตารัก

ตอนที่ 539 เล่นก็เล่น 

 

 

 

 

 

ไหนเลยจะสามารถเอากลับคืนมาอย่างง่ายดาย 

 

 

อาหารมื้อนั้นดำเนินไปอย่างเงียบสงบ เมื่อทานอาหารเสร็จ ฉู่เกอก็รบเร้าให้นางบรรเลงเพลงพิณให้ฟัง 

 

 

“ข้าเพิ่งเริ่มเรียน ยังคงเล่นได้แย่ พวกเจ้าอย่าฟังเลย” อวี้อาเหราพูดขึ้นอย่างเกรงอกเกรงใจ 

 

 

แม้ว่าก่อนหน้านี้จะเป็นการแสดงต่อหน้าพระพักตร์ไทเฮา แต่ที่นางเล่นเพลงได้ไม่ไพเราะนั้น นางไม่ได้แกล้งทำเลยแม้แต่น้อย 

 

 

เมื่อเห็นนางลังเลไม่กล้าตัดสินใจ ฉู๋เกอก็ยิ้มอย่างเอาอกเอาใจ “พี่เหราเอ๋อร์ เล่นให้เราฟังหน่อยเถิด หากไม่อย่างนั้นข้าคงต้องนอนไม่หลับแน่ ท่านอยากให้ข้านอนไม่หลับหรือ?” 

 

 

อวี้อาเหราย่นจมูกขณะที่พูดขึ้นว่า “ข้าอย่างไรก็ได้” 

 

 

“โอย พี่เหราเอ๋อร์เหตุใดถึงเป็นคนเช่นนี้!” ฉู่เกอเห็นว่าการออดอ้อนนั้นไม่ได้ผล จึงว่าขึ้นด้วยน้ำเสียงขึ้นจมูก 

 

 

อวี้อาเหราขี้เกียจจะสนใจนาง จึงเสมองไปทางอื่น 

 

 

ฉู่ป๋ายหันไปออกคำสั่งด้านหลัง “เอาพิณมา” 

 

 

“ขอรับ” หานสือเปิดตามองไปทางอวี้อาเหรา แล้วรีบถอยออกไปทันที 

 

 

อวี้อาเหราไม่รู้ว่าจะพูดอะไร “ข้ายังไม่ได้บอกเลยว่าจะบรรเลงเพลงพิณเลยแม้แต่น้อย” 

 

 

“เจ้ารับปากข้าแล้ว จะต้องทำให้ได้” ฉู่ป๋ายกล่าวอย่างเย็นชา มองนางแล้วจึงต้องการที่จะเอ่ยปาก สายตาที่มองก็ดูเย็นชาขึ้น “เจ้าอยากให้ข้าป่าวประกาศว่าเจ้าเป็นคนไม่รักษาคำพูด หรืออยากจะให้เจ้าแมวอ้วนนี่ข่วนหน้าสักรอยสองรอย แต่หากเป็นแผลขึ้นมา ก็ไม่เกี่ยวกับข้านะ” 

 

 

“ก็ได้ เล่นก็เล่น” อวี้อาเหราว่าเสียงสะบัด ก็แค่เล่นเองมิใช่หรืออย่างไร ไม่ใช่เรื่องคอขาดบาดตายเสียหน่อย 

 

 

เพียงไม่นาน หานสือก็หยิบพิณมาให้อย่างเร็วรี่ เป็นงานที่วิจิตรนัก คงจะเป็นพิณชั้นดี แต่เมื่อคิดไปแล้วก็ช่างน่าหัวเราะ ของในจวนเซิ่นอ๋องจะไม่ใช่ของดีได้อย่างไร? 

 

 

“เล่นสิ” ฉู่ป๋ายมองไปทางพิณ จากนั้นก็เบนสายตาไปที่ร่างของนาง 

 

 

อวี้อาเหราเดินออกไปท่ามกลางสายตาของทุกคน ยื่นมือออกไปลูบไล้สายพิณ ทำให้เกิดเสียงขึ้นระหว่างร่องนิ้ว ดีที่มีจวินฉางอวิ๋นสอนไว้ก่อนหน้านี้ มิเช่นนั้นนางก็ไม่รู้ว่าจะเล่นอย่างไร นางจึงม้วนแขนเสื้อ แล้วเดินไปนั่ง เสียงพิณใสเสนาะก้องกังวานสะท้านไปทั่ว เมื่อสำเนียงเสียงและการกระทำสอดคล้องกัน 

 

 

หลังจากที่เลียนแบบการกระทำของจวินฉางอวิ๋นแล้ว นางจึงหลับตาลง เมื่อให้หัวสมองระลึกถึงเพลงพิณที่ท่องไปก่อนหน้านี้ โชคดีที่นางจำได้ไม่ผิด มิเช่นนั้นนางจำเล่นผิดทำนองไปหลาย หลังจากนิ่งไปสักครู่ ในที่สุดนางก็เริ่มบรรเลงเพลงขึ้นมา 

 

 

ท่วงทำนองเพลงพิณถือว่าลื่นไหล แต่เมื่อเทียบกับคนที่ร่ำเรียนมาหลายปี ก็ยังห่างไกลหลายชั้น 

 

 

อวี้อาเหราก้มหน้าลงบรรเลงเพลงพิณ ขนตากะพริบไหว เส้นผมหนึ่งปอยปล่อยไปด้านหลัง นางขี้เกียจที่จะจัดการ จึงบรรเลงเพลงต่อไป ท่าทีสง่างามยามที่นางบรรเลงพิณ ทั้งนิ่งเงียบและชวนซาบซึ้ง งดงามต่างจากยามปกติ ทั้งยังให้ความรู้สึกสงบนิ่ง นางพยายามเป็นอย่างมาก ที่จะบรรเลงเพลงพิณออกมาสักหนึ่งบทเพลง 

 

 

ฉู่เกอดึงสติขึ้นมาจากบทเพลง มุมปากของนางอมยิ้ม มองไปทางอวี้อาเหรา และสายตายังทอดมองไปยังร่างของฉู่ป๋าย  

 

 

ทว่าเขากลับใช้สายตาสำรวจตรวจตรามองอวี้อาเหราที่กำลังบรรเลงเพลงพิณ ด้วยความเนิบนาบ 

 

 

ราวกับสัมผัสได้ถึงสายตาของคนคนหนึ่งกำลังมอง ทันใดนั้นนางก็เคลื่อนย้ายสายตามองสอบเข้ากับสายตาของนาง เขาไม่ได้ว่าอะไร แต่สายตากลับเต็มไปด้วยความไม่พอใจ 

 

 

ฉู่เกอยิ้มแหยๆ แล้วถอนสายตากลับมาอย่างรวดเร็ว ตบอกด้วยความใจหายใจคว่ำ สุดท้ายก็มองมาที่อวี้อาเหรา แล้วสังเกตริมฝีปากของนาง มุมปากโค้งขึ้นเล็กน้อย ฉายรอยยิ้มลึกซึ้ง 

 

 

ที่น่าขันที่สุดก็คือ อวี้อาเหราไม่รู้เลยว่าตอนนี้ริมฝีปากของตัวเองมีบางอย่างที่ผิดปกติ เพราะเอาแต่คิดว่าทุกคนสนใจนางเพราะอย่างอื่น แต่นางกลับไม่รู้ว่าสิ่งที่เด่นชัดที่สุดก็คือรอยกัดที่ริมฝีปากของนางเอง 

 

 

 

 

 

ตอนที่ 540 กลับจวน 

 

 

 

 

 

หลังจากบรรเลงเพลงพิณแล้ว อวี้อาเหราจึงค่อยๆ เงยหน้าขึ้นมองทุกคน 

 

 

เมื่อเห็นสายตานิ่งสงบปราศจากความเคลื่อนไหว นางจึงรู้ว่าตัวเองบรรเลงได้ไม่ไพเราะเท่าที่ควร 

 

 

ฉู่เกอปรบมือขึ้นมาเป็นคนแรก “พี่เหราเอ๋อร์เล่นได้ไม่เลวเลย ไพเราะยิ่งนัก ใช่หรือไม่ ฉู่ฉู่?” 

 

 

“อืม เพราะกว่าเจ้านิดหน่อย” ฉู่ป๋ายว่าเรื่อยๆ 

 

 

“…” ฉู่เกอ 

 

 

“…” อวี้อาเหรา 

 

 

พูดให้น่าฟังสักหน่อยจะตายหรือ? 

 

 

เมื่อเห็นว่าท้องฟ้าด้านนอกมืดลงแล้ว นางก็รู้สึกว่าตัวเองชักช้ามามาก จึงลุกขึ้นจากพิณ หันไปพูดกับสองพี่น้องสกุลป๋าย “เวลาล่วงเลยไปมากแล้ว ข้าควรจะกลับจวนหลิงอ๋องเสียที” 

 

 

“หานสือ” ฉู่ป๋ายกำลังจะสั่งให้หานสือไปส่ง แต่อวี้อาเหราส่ายหน้า “ข้ากลับกับเมี่ยวอวี้และเจาเอ๋อร์ก็ได้” 

 

 

ฉู่เกอดึงมือของอวี้อาเหราด้วยท่าทีเสียดาย “พี่เหราเอ๋อร์อยู่พักที่นี่เถิด จวนเซิ่นอ๋องของเรามีห้องหับมากมาย ท่านอยากพักห้องแบบใดก็ได้ ท่านว่าดีหรือไม่” 

 

 

“ไม่ได้หรอก ข้าต้องกลับจวน วันนี้ข้าเข้าวัง เสด็จพ่อต้องทรงไถ่ถามข้าเรื่องที่เข้าไปเรียนศิลปะสตรีแน่ พรุ่งนี้เช้าก็ยังต้องเข้าวังอีก แน่นอนว่าไม่อาจชักช้าจนเสียเวลาได้ วันหน้าหากว่างข้าจะมาเล่นกับเจ้าอีก” อวี้อาเหราอธิบาย 

 

 

“ก็ได้ ถ้าเช่นนั้นก็ขอให้ท่านเดินทางปลอดภัย” ฉู่เกอเป็นคนรู้ธรรมเนียมดี สามารถแยกได้ว่าสถานการณ์ใดสำคัญกว่า เมื่อเห็นนางพูดเช่นนี้ก็ไม่บังคับอีก  

 

 

“อืม” อวี้อาเหราพยักหน้า  

 

 

ฉู่ป๋ายเห็นดังนั้นแต่กลับพูดว่า “เกอเอ๋อร์ เจ้าพาคนอื่นๆ ออกไปก่อน ข้ามีเรื่องจะพูดกับเหราเอ๋อร์” 

 

 

เหราเอ๋อร์? เมื่อได้ยินเขาพูดเช่นนี้นางก็นิ่งไป นี่เป็นครั้งที่สองแล้วที่เขาเรียกนางด้วยความสนิทสนมเช่นนี้ นางอดไม่ได้ที่จะคิดมาก ฉู่เกอยิ้มอย่างมีเลศนัย ก่อนจะเดินนำคนอื่นๆ ออกจากห้องไป 

 

 

เมื่อประตูปิดลง อวี้อาเหราก็เดินมานั่งที่ที่โต๊ะ ข้างๆ ชายหนุ่ม “เจ้ามีเรื่องอะไร” 

 

 

ฉู่ป๋ายยืดกายขึ้นในทันที แล้วค่อยๆ ก้าวเข้ามาหานาง 

 

 

ที่นอกประตู ฉู่เกอแอบมองอยู่ที่ช่องประตู กวาดตามองเข้าไปในห้องที่เงียบสงัด 

 

 

ฉู่ป๋ายรู้สึกได้ในทันที จึงหันไปมองด้วยสายตาดุดัน 

 

 

ทำเอาฉู่เกอตกใจจนยกมือขึ้นปิดปาก ปิดประตูให้มิดชิดในทันที 

 

 

อวี้อาเหรามองตามสายตาของฉู่ป๋าย จึงเห็นท่าทีลับๆ ล่อๆ ของฉู่เกอ อดไม่ได้ที่จะฉีกยิ้มออกมา ที่แท้ที่พวกหานสือรู้จักถ้ำมอง ก็เป็นเพราะฉู่เกอสอนพวกเขาให้เสียนิสัยนี่เอง เมื่อครู่นี้นางอยากจะดูอะไรกันแน่นะ? หรือว่าอยากรู้ว่าคนทั้งสองทำอะไรกันอยู่ในห้อง? 

 

 

ฉู่ป๋ายยังคงเดินหน้าเข้ามา ยิ่งเข้าใกล้เรื่อยๆ ใกล้เสียจนใบหน้าแทบจะแนวติดกับใบหน้าของนาง 

 

 

อวี้อาเหราถอยหลังไปอย่างทำอะไรไม่ได้ เมื่อยามที่นางถอยหลังไปได้ไม่กี่ก้าวนั้น แผ่นหลังของนางก็ชนเข้ากับผนัง นางตกใจอย่างเห็นได้ชัด 

 

 

ฉู่ป๋ายจ้องมองนาง จึงเห็นความกระวนกระวายในสายตาของนางอย่างชัดเจน ซึ่งไม่ค่อยจะได้เห็นเท่าไหร่นัก 

 

 

เสียงที่อวี้อาเหราพูดออกมานั้นแสดงให้เห็นถึงความกังวลใจ “เจ้าจะทำอะไร” 

 

 

หรือจะจูบนางอีกแล้ว? เมื่อคิดถึงเรื่องนี้ สมองของนางก็แสดงให้เห็นถึงภาพคนจูบกันมากมายนับไม่ถ้วน 

 

 

จูบก่อนหน้านี้เป็นเพียงการที่กลีบปากของเขาบดเข้ากับริมฝีปากของนางเท่านั้น ไม่มีรสสัมผัสของการแลกเปลี่ยนทางลิ้นแม้แต่น้อย หลังจากที่คิดมาเป็นเวลาเนิ่นนาน ในที่สุดนางก็ได้สติ รู้สึกได้ว่าฟันขบกัดลิ้น ใบหน้าเห่อแดงราวกับลูกแอปเปิ้ล 

 

 

นางคิดไปไกลเกินเสียแล้ว ถึงขนาดคิดไปถึงขั้นนั้นเลยทีเดียว 

 

 

หากฉู่ป๋ายรู้ว่านางกำลังคิดอะไร นางคงเสียหน้าเป็นแน่ จึงจำต้องซ่อนความคิดนี้เอาไว้ในส่วนลึกของจิตใจ 

 

 

โชคดี ที่ฉู่ป๋ายไม่รู้เลยว่านางกำลังคิดอะไรอยู่