ตอนที่ 517 - ชะตากรรมตระกูลหวง

เทพกระบี่มรณะ (Chaotic sword god)

ตอนที่ 517 – ชะตากรรมตระกูลหวง

“ข้าผู้นี้คือเจี้ยนเฉิน ข้าขอคารวะท่านผู้อาวุโส” เจี้ยนเฉินโค้งกายลงต่ำ ด้วยท่าทีที่เต็มไปด้วยความเคารพ อย่างไรก็ตาม ที่ยืนอยู่ตรงหน้าเขาเป็นเซียนผู้คุมกฏ

ดวงตาของบรรพชนตระกูลหวงส่องประกายแสงราวกับแสงจันทร์ ขณะที่ยืนอยู่ ราวกับว่าเขามองทะลุผ่านจิตใจของเจี้ยนเฉิน ดวงตาของเขาเป็นประกายด้วยรอยยิ้มอ่อน​ และผงกศีรษะของเขา

ด้วยการจ้องมองของชายชรา เจี้ยนเฉินรู้สึกทันทีราวกับว่าภายในร่างกายของเขากำลังถูกตรวจสอบและถูกมองอย่างทะลุปรุโปร่ง ที่ด้านหน้านี้ เจี้ยนเฉินรู้สึกราวกับว่าเสื้อผ้าของเขามันว่างเปล่า ราวกับว่ามันไม่มีความลับอีกต่อไปภายในดวงตาของชายชรา

ประกายในดวงตาของบรรพชนแปรเปลี่ยนไปอย่างรวดเร็วและกลับกลายเป็นเช่นเดิม เอ่ยวาจาสนทนา บรรพชนเอ่ยชื่นชมเจี้ยนเฉิน “เจ้าสมควรได้รับสมญานามว่าเป็นบุรุษที่ยิ่งใหญ่และมีพรสวรรค์อันน่าประหลาดใจ ไม่เพียงแต่ตัดผ่านขอบเขตเซียนสวรรค์ด้วยอายุเพียงเท่านี้ เจ้ายังปราศจากความเย่อหยิ่งและก็ไม่ได้อ่อนน้อมมากเกินไป มันแปลกใจเลยว่าทำไมอาณาจักรฉินหวงจึงได้เชื่อมั่นในตัวเจ้าและเชิดชูเจ้าด้วยตำแหน่งของผู้พิทักษ์จักรพรรดิ ไม่เพียงแต่ด้วยพรสวรรค์ของเจ้า แต่พวกเขามองเห็นบุคลิกภาพของเจ้า”

คำพูดของบรรพชนเป็นเหตุให้เจี้ยนเฉินได้แต่ประหลาดใจ แม้กระทั่งเจี้ยนเฉินนั้นก็ถูกวางให้มีความสำคัญเทียบเท่ากับเซียนผู้คุมกฎ เขาไม่คาดคิดเลยว่า พลังของเขาจะถูกมองผ่านดวงตาเพียงคราเดียว นั่นมันน่าหวั่นกลัวมากเกินไป ชั่วพริบตา เจี้ยนเฉินรู้สึกกังวลและไม่แน่ใจ หากว่าเซียนผู้คุมกฎสามารถมองผ่านความลับของเขาว่าเขาไม่มีอาวุธเซียนและมองเห็นการคงอยู่ของจิตวิญญาณกระบี่สีม่วง-ฟ้า

เมื่อเขามองดูท่าทีของบรรพชน เจี้ยนเฉินผ่อนคลายลงชั่วขณะเพราะชัดเจนว่าบรรพชนไม่อาจมองผ่านทุกสิ่งของเจี้ยนเฉินไปได้ มิฉะนั้นแล้ว หากว่าเขารู้ว่าเจี้ยนเฉินแข็งแกร่งโดยปราศจากอาวุธเซียน จากนั้นแล้วเซียนผู้คุมกฎคงรู้สึกตกตะลึงและไม่อาจรักษาท่าทีสงบเช่นนี้ได้เป็นแน่

เนื่องจากว่าอาวุธของเขาได้ถูกทำลายลง นั่นหมายความว่าบุคคลนั้นก็ไม่ต่างกับคนพิการ นี่เป็นการพิจารณากันตามความเป็นจริง แต่กับเจี้ยนเฉินแล้วมันแตกต่างกัน

“ข้าผู้นี้เพียงรู้สึกประหลาดใจเล็กน้อยกับคำยกย่องของท่านผู้อาวุโส ข้านั้นไม่ได้โดดเด่นอย่างที่ท่านผู้อาวุโสกล่าวเปรียบเทียบ ข้าผู้นี้ไม่ได้มีค่าควรคู่กับคำยกย่องที่มากเกินไป”เจี้ยนเฉินป้องมือของเขาเข้าด้วยกัน แม้กรระทั่งรอยยิ้มบนใบหน้าก็ไม่ได้เปลี่ยนแปลง

ได้ยินสิ่งนี้ บรรพชนเพียงหัวเราะและลูบเคราที่คางของเขาอย่างช้า ๆ “ชายชราผู้นี้เพียงกล่าวไปตามที่เคยพบ ข้าใช้ชีวิตมาเกือบ 1,300 ปี หากมองย้อนกลับไปยามเมื่อชายคนนี้อายุเทียบเท่าเจ้า ข้าอยู่เพียงระดับเซียนปฐพีแต่มันก็เพียงพอ แต่เมื่อเทียบกับเจ้าแล้ว ด้วยอายุและความสำเร็จของเจ้า มันก็ไม่เทียบเท่าแล้ว หากว่าเจ้าบ่มเพาะพลังเทียบเท่ากับชายผู้นี้ เจ้าจะก้าวไปยังระดับที่เหนือกว่าข้า อย่างน้อยที่สุดเจ้าจะต้องกลายเป็นเซียนผู้คุมกฎ”

เจี้ยนเฉินไม่ได้มีความหยิ่งผยองบนใบหน้า ด้วยความทรงจำของชีวิตทั้งสอง เขามีประสบการณ์ผ่านร้อนผ่านหนาวมามากมาย เจี้ยนเฉินเชื่อมโยงระหว่างอาณาจักรหยินหยาง เทียบกับเด็กที่เกิดและเติบโตขึ้นภายในบ้านสีเขียวขนาดใหญ่ เจี้ยนเฉินแตกต่างอย่างสมบูรณ์ เขาเต็มไปด้วยประสบการณ์จำนวนมาก

“ผู้อาวุโสกล่าวชมมากเกินไป เหตุการณ์ในอนาคตคือสิ่งที่ไม่อาจมองเห็นได้โดยง่าย แม้ว่าข้าจะประสบความสำเร็จในยามนี้ แต่เส้นทางในอนาคตนั้นมันยังคงอีกยาวไกล ข้าผู้นี้ยังคงต้องผ่านโลกอีกมากมาย หรือไม่ข้าอาจจะตายตกไปบนเส้นทางเหล่านั้น” เจี้ยนเฉินกล่าวด้วยท่าทีสงบ

ได้ยินเช่นนั้น บรรพชนพยักหน้า “ด้วยคำพูดของเจ้านั้นมันเป็นประโยชน์อย่างยิ่ง ผู้คนมากมายในทวีปเทียนหยวน มีคนมากมายที่โดดเด่นเหนือเหล่าอัจฉริยะ แม้กระทั่งบุคคลที่มีพรสวรรค์ พวกเขาเพียงหลงใหลในความสำเร็จและสูญเสียชีวิตไปมากบนเส้นทางแห่งความสำเร็จเหล่านั้น”

บรรพชนหยุดกล่าวออกในทันที แล้วจ้องมองเจี้ยนเฉินด้วยท่าทีที่ไม่เปลี่ยนแปลง แต่เขาก็มีรอยยิ้มอ่อน ๆ บนใบหน้า “ดี เช่นนั้นอย่าได้เสียเวลา เจี้ยนเฉิน เจ้ารู้หรือไม่ว่าข้ามีเรื่องกล่าวกับเจ้าในวันนี้”

“ข้าไม่ทราบจริง ๆ ได้โปรดกล่าวออกมาเถิด” เจี้ยนเฉินกล่าวขึ้น

บรรพชนยืนขึ้น “บ้านของข้ามันเล็กเกินไป เอาละ เดินไปคุยกันที่ด้านนอกเถิด” ด้วยสิ่งนี้ บรรพชนกล่าวขึ้น ขณะที่เดินออกจากบ้านไม้

เจี้ยนเฉินเดินออกจากบ้าน เพียงตระหนักถึงบางสิ่งที่เป็นม่านพลังโปร่งใส ที่ปกคลุมล้อมรอบภูเขาสูง ภายในยอดภูเขา มันมีลมที่กำลังพัดแรง ที่ซึ่งไม่มีผลกระทบต่อคนที่อยู่ด้านใน

ไม่ไกลจากนั้น พลังงานธาตุดินก่อตัวขึ้น เริ่มกลายเป็นโต๊ะหินตรงหน้าเขา บรรพชนเพียงมองไปที่เก้าอี้หินนั้นและนั่งลง

“เข้ามา นั่งสิ” บรรพชนจ้องมองไปที่เจี้ยนเฉิน

เจี้ยนเฉินไม่ได้มีท่าทีลังเลใจอย่างไร และนั่งลงบนโต๊ะ

บรรพบุรุษหยิบจอกสุราและหยิบขวดหยกออกจากแหวนมิติ ก่อนจะรินมันลงในจอกของเจี้ยนเฉิน “ชายชราผู้นี้สร้างม่านพลังไว้รอบบริเวณเพื่อป้องกันการรบกวนจากภายนอก ภายในนี้จึงไม่มีใครที่จะมองเห็นมันได้”

เจี้ยนเฉินรู้ว่าบรรพชนของตระกูลหวงเริ่มที่จะพูดเรื่องสำคัญออกมา ด้วยท่าทีเคร่งเครียดและท่าทางที่ขรึมลง แต่ก่อนที่เขาจะเปิดปากพูดขึ้นนั้น เขาก็กำหมัดแน่น

“เจี้ยนเฉิน ชายชราผู้นี้เชิญเจ้ามาในวันนี้ ด้วยเรื่องแรกที่จะพูดคือธุระกับอาณาจักรฉินหวง เนื่องจากเจ้าเป็นผู้พิทักษ์จักรพรรดิ เจ้ามีสถานะที่สูงมากกว่าราชา” เขากล่าวขึ้น

ด้วยความสงสัย เจี้ยนเฉินถามขึ้น “มันเป็นธุระประเภทใดกันที่ท่านจะกล่าว”

บรรพชนไม่ได้ตอบในทันที เขามองไปที่จอกสุรา หลังจากนั้นชั่วขณะหนึ่ง ในที่สุด เขาก็กล่าวต่อ “เจี้ยนเฉิน ชายแก่ผู้นี้ไม่คิดจะอ้อมค้อมอีกต่อไป ดังนั้น ข้ากล่าวอย่างสัตย์จริง ตระกูลหวงปรารถนาที่จะได้ความร่วมมือกับอาณาจักรฉินหวง หากว่าอาณาจักรฉินหวงช่วยเหลือพวกเราบางอย่าง ตระกูลหวงของเราจะตอบแทนอาณาจักรฉินหวงอย่างดี”

“ผู้อาวุโส มันเป็นไปได้หรือไม่ว่ามันจะเกี่ยวกับเรื่องภายในระหว่างตระกูลชิ ? ” เจี้ยนเฉินถาม

บรรพชนเพียงสั่นศีรษะ “หากว่ามันเป็นเรื่องเกี่ยวกับตระกูลชิแล้ว ตระกูลหวงไม่ต้องกังวลเช่นนี้ แต่ในเวลานี้ มันเพราะว่าตระกูลหงฝู”

“ตระกูลหงฝู ท่านผู้อาวุโส ตระกูลหงฝูนั้นมีความแข็งแกร่งยิ่งกว่าตระกูลชิงั้นหรือ ? ” เจี้ยนเฉินกล่าวขึ้น ด้วยท่าทีสนใจ

บรรพชนพยักหน้าลง “ถูกต้อง โดยเฉพาะเจาะจงแล้ว ตระกูลหงฝูนั้นคงอยู่มาอย่างยาวนานมากกว่าตระกูลชิ นั่นเป็นเพราะตระกูลของเขามีเซียนผู้คุมกฎถึง 2 คน และยุทธ์ภัณฑ์ถึง 2 ชิ้น”

“อะไรนะ เซียนผู้คุมกฎถึง 2 คน” เจี้ยนเฉินกลายเป็นโง่งมทันที บนทวีปเทียนหยวน ตระกูลที่มีเซียนผู้คุมกฎนั้นถูกพิจารณาได้ว่าเป็นตระกูลที่ยอดเยี่ยม แต่ทว่าตระกูลหงฝูนั้นมีเซียนผู้คุมกฎถึง 2 คน พวกเขานั้นแข็งแกร่งกว่านิกายพยัคฆ์มังกรมาก

ยามเมื่อมองเห็นท่าทีตกตะลึงบนใบหน้าของเจี้ยนเฉิน บรรพชนตระกูลหวงให้เพียงรอยยิ้มอ่อนแรง “เจี้ยนเฉิน เจ้าอย่าได้กังวล ขณะที่ตระกูลหงฝูนั้นมีเซียนผู้คุมกฎ 2 คน แต่ความแข็งแกร่งของพวกเขาอยู่เพียงวัฎจักรที่ 2 และ 3 แม้ว่าพวกเขาทั้งสองถือครองยุทธภัณฑ์ แต่ชายชราผู้นี้ก็ถือครองมันเช่นกัน”

เจี้ยนเฉินตกตะลึงอีกครั้ง เขามองไปที่บรรพชนด้วยประกายในตาที่แปลกไป หากว่าเขาต้องต่อสู้กับผู้ถือครองยุทธภัณฑ์ 2 คนด้วยตัวของเขาเอง จากนั้นแล้ว ความแข็งแกร่งของบรรพชนผู้นี้ก้าวไปถึงระดับใดกัน วัฎจักรที่ 4 อย่างน้อยเขาต้องอยู่ในวัฎจักรที่ 4

บรรพชนยังคงกล่าวต่อ “ความขัดแย้งระหว่างตระกูลหวงและตระกูลหงฝูนั้นมีมาอย่างยาวนาน และมันมาถึงจุดที่ไม่อาจหวนกลับ พวกมันมีมาตั้งแต่หลายพันปีก่อนและมาจนบัดนี้ ตระกูลหวงและตระกูลหงฝูนั้นมีความแข็งแกร่งเป็นอย่างมาก แม้กระทั่งในตอนนี้ ตระกูลทั้งสองได้รับความทรมานอย่างมาก หากว่าพวกเราสู้กันในตอนนี้ ดังนั้นแล้ว มันจึงไม่เคยมีการต่อสู้กับทั้งสองฝั่ง แต่ทว่ามันยังคงมีการปะทะอย่างลับ ๆ ไม่น้อย แม้กระทั่งชายชราผู้นี้ก็ปะทะกับเซียนผู้คุมกฎทั้งสอง แต่มันก็ไม่เคยร้ายแรงไปมากกว่านั้น”

“ไม่กี่ปีหลังจากนั้น ตระกูลหงฝูและอีกตระกูลเริ่มที่จะใกล้ที่จะถึงจุดแตกหัก รวมกับตระกูลหยานที่เตรียมจะหมั้นหมายเพื่อที่จะสานสัมพันธ์ พวกเขาเริ่มที่จะล่าถอยจากตระกูลหวง เช่นนี้เอง มันใกล้ที่จะเรียกได้ว่าเป็นศึกชี้เป็นชี้ตายที่เพิ่มแรงกดดันจำนวนมาก เหตุผลนี้เอง มันจึงเป็นเหตุผลที่ว่าทำไมตระกูลหวงจึงเข้าไปในมิติว่างเปล่า โดยปราศจากปราการป้องกันในงานชุมนุมทหารรับจ้าง ชายชราผู้นี้ไม่ได้มีพลังอำนาจมากถึงเพียงนั้น ดังนั้น ข้าจึงต้องการพลังงานจำนวนมาก ข้าจึงต้องแสวงหาพลังจำนวนมาก ในกรณีที่ตระกูลหงฝูและตระกูลหยานร่วมมือกันโจมตี”

“ชายชราไม่เคยคิดเลยว่า อะไรคือข้อเท็จจริง ขณะที่ตระกูลหวงจะต้องเผชิญศึกหนัก ตระกูลชิ ทันใดนั้น โจมตีตระกูลหวง พวกเขาพยายามที่จะช่วงชิงยุทธภัณฑ์ในการครอบครองของเขา และที่ซึ่งแม้กระทั่งเป็นชายแก่ผู้นี้ก็ยังไม่มีพลังมากพอที่จะเรียกคืนยุทธภัณฑ์ มันเป็นสิ่งที่อันตรายต่อตระกูลของเรา โดยปราศจากยุทธภัณฑ์ หากว่าตระกูลหงฝูและตระกูลหยานโจมตีอย่างไม่คาดฝัน แม้กระทั่งข้าก็ไม่อาจที่จะหยุดความร้ายแรงนี้ได้ จากสิ่งนี้ ข้าสามารถเพียงจินตนาการถึงตระกูลชิร่วมมือกับตระกูลหยาน จากนั้นแล้ว พวกเขาคงไม่เผอิญพบพานกันโดยบังเอิญเป็นแน่”

ใบหน้าของบรรพชนรู้สึกไม่อาจเชื่อ ด้วยการถอนหายใจ เขากล่าวขึ้น “การร่วมมือกันของตระกูลหยานและตระกูลหงฝู มันถูกพิจารณาว่าเป็นแรงกดดันอย่างมากต่อตระกูลหวง ด้วยการเข้าร่วมของตระกูลชิ ตระกูลหวงนั้นไม่มีพลังอำนาจมากพอที่จะป้องกันตนเองได้ หากว่าพวกเขาโจมตีกันพร้อมกัน ดังนั้น ตระกูลหวงของข้าจะต้องยากลำบากเป็นแน่”

ได้ยินเช่นนั้น เจี้ยนเฉินได้แต่รู้สึกปวดเศียรเวียนเกล้า ตระกูลหวงนั้นแท้จริงเผชิญกับสถานการณ์ไม่สู้ดี ตระกูลหงฝูมีเซียนผู้คุมกฎ 2 คน ซึ่งบรรพชนตระกูลหวงนั้นยังคงนับว่ารับมือได้ยาก หากได้การร่วมมือของตระกูลหยานและชิ จากนั้นแล้วเมื่อเซียนผู้คุมกฎรวมกับพวกเหล่าอริศัตรู ด้วยบรรพชนเพียงคนเดียว เขาไม่อาจที่จะเป็นคู่มือของทั้งสี่

เจี้ยนเฉินลังเลอยู่ชั่วขณะ “ผู้อาวุโส เรื่องนี้เป็นเรื่องสำคัญ โปรดยกโทษให้ข้าที่ไม่อาจจะตอบสนองความต้องการของท่านได้” เจี้ยนเฉินไม่กล้าที่จะตอบสนองในเรื่องนี้ หากว่าเขาทำ จากนั้นมันเป็นไปได้ว่าอาณาจักรฉินหวงจะมีศัตรูที่แข็งแกร่งถึง 2 ทาง แม้ว่าอาณาจักรฉินหวงจะมีเซียนผู้คุมกฎถึง 4 คน แต่ศัตรูทั้งสองก็ยังมีเซียนผู้คุมกฏที่ไม่ยิ่งหย่อนไปกว่าอาณาจักรคู่อริ

จากนั้น หลังจากที่ลิ้มรสสุราอีกครู่หนึ่ง เจี้ยนเฉินก็เปิดปากเล่าเรื่องราวของนิกายพยัคฆ์มังกรกับเขา เซียนผู้คุมกฎทั้งสองของอาณาจักรฉินหวงเข้ามาเพื่อต่อสู้กับนิกายพยัคฆ์มังกร แม้กระทั่งเซียนผู้คุมกฏจากนิกายจะไม่ได้ต่อสู้ แต่มันก็มีความเสียหายไม่น้อย แต่บทสรุปสุดท้ายมันก็เกินความคาดเดาของเจี้ยนเฉิน ไม่เพียงแต่ไม่มีการต่อสู้ แต่ทว่าเซียนผู้คุมกฎทั้งสองจากอาณาจักรฉินหวงจากไปด้วยท่าทีเคร่งเครียด สิ่งนี้เองที่ทำให้เจี้ยนเฉินรับรู้ว่ามันไม่ใช่เรื่องง่ายและกังวลอยู่ภายในใจ แม้กระทั่งเขาก็ไม่รู้ว่า ผู้อาวุโสของนิกายนั้นบอกกล่าวสิ่งใดกับเซียนผู้คุมกฎทั้งสอง มันแน่ชัดว่า มันต้องเกี่ยวพันกับอาณาจักรฉินหวง หากว่ามันไม่เกี่ยวทั้งสองคงไม่ล่าถอยไปเช่นนั้น

ดังนั้น ในช่วงเวลาสำคัญเช่นนี้ เจี้ยนเฉินก็ไม่อาจลากอาณาจักรฉินหวงเข้ามาสู่ปัญหาเช่นนั้น