ส่วนที่ 4 ตอนที่ 25 ลืมพกเงินมา

ความลับแห่งจินเหลียน

จ่านป๋ายรีบหันหลังเดินกลับเข้าไปในบ้าน ก็เห็นซีเหมินจินเหลียนนั่งอยู่บนโซฟา 

 

 

“จ่านป๋าย ฉันว่า…เรามีเรื่องต้องคุยกัน!” ซีเหมินจินเหลียนเงยหน้าขึ้นไปมองเขา 

 

 

จ่านป๋ายนั่งลงข้างๆ เธอแล้วถามด้วยความระแวงว่า “เรื่องเมื่อกี้เหรอครับ?” 

 

 

“ใช่!” ซีเหมินจินเหลียนพยักหน้า “ฉันไม่เข้าใจเลยว่าทำไมถึงต้องทำอย่างนี้ ฉันแค่ต้องการมีบริษัทอัญมณีเป็นของตัวเอง ครั้งที่แล้วที่คุณวางแผนก็ราบรื่นไปด้วยดี ฉันก็คิดไว้ว่าในอนาคตจะมีวันนั้น วันที่หยกจะสามารถตีตลาดต่างประเทศได้ วันที่หยกสามารถได้รับความสนใจมากกว่าเพชร แต่ฉันไม่หวังว่าความสำเร็จของฉันจะมาจากการทำเรื่องชั่วร้ายผิดศีลธรรมหรอกนะ” 

 

 

“จินเหลียน พวกเราไม่ได้ทำเรื่องชั่วช้าผิดศีลธรรมแบบนั้น!” จ่านป๋ายจับมือเธอขึ้นมาแล้วปลอบใจ “หลินเจิ้งเป็นคนไร้คุณธรรม นี่ก็โทษพวกเราไม่ได้ คุณน่าจะรู้ดีนี่ว่าไม่กี่วันที่ผ่านมานี้เขาทำอะไรไว้บ้าง” 

 

 

“ทำอะไรไว้?” ซีเหมินจินเหลียนเบิกตากว้างขึ้นถามออกไป 

 

 

จ่านป๋ายนิ่งเงียบไปครู่หนึ่ง ก่อนที่เขาจะบอกความลับที่เคยแอบฟังหลินเสวียนหลานกับหลินเจิ้งคุยกัน ไหนจะช่วงที่พวกเขากลับมาถึงเมืองเซี่ยงไฮ้แล้วหลินเจิ้งจ้างคนมาสืบเสาะ สะกดรอยตามซีเหมินจินเหลียนมาถึงที่บ้าน แต่ยังไม่ทันได้ข้อมูลอะไรก็โดนจ่านป๋ายจับได้เลยไล่ออกมา  

 

 

นอกจากนี้ คนพวกนี้ก็ถูกเงินจ้างให้มาทำงาน ความลับจึงไม่สามารถรับประกันได้ว่าจะหลุดออกจากปากเมื่อไหร่ ไม่แน่ผ่านไปไม่กี่วันอาจจะเอาข้อมูลของหลินเจิ้งเปิดเผยออกมาก็ได้ 

 

 

“มีเรื่องแบบนี้ด้วย” ซีเหมินจินเหลียนฟังแล้วนิ่งไป 

 

 

“จินเหลียน ถึงคุณไม่มีจิตใจที่ทำร้ายคนอื่น แต่มันก็ไม่ได้หมายความว่าคนอื่นจะทำร้ายใจคุณไม่ได้ คนที่มีความสามารถ มีจิตใจที่ดีก็ถูกทำร้ายได้ คุณน่าจะเข้าใจ!” จ่านป๋ายพูดต่อ 

 

 

ซีเหมินจินเหลียนค่อยๆ ลูบข้อมือที่ใส่กำไลแสงดาวระยิบระยับของเธอ สมบัติที่หายากเช่นนี้ ใครเห็นก็เป็นอันต้องใจเต้นแรง เมื่อคิดดูแล้ว ถ้าไม่มีจ่านป๋าย ตอนนี้เธอคงตกอยู่ในน้ำมือของหลินเจิ้งไปแล้ว ไม่รู้ว่าจะได้รับโทษแบบไหน… 

 

 

คิดได้เท่านี้ เธอก็ตัวสั่นระริกขึ้นมาอย่างไม่รู้ตัว 

 

 

จ่านป๋ายลูบมือเธออย่างอ่อนโยนแล้วปลอบว่า “คุณวางใจได้!” 

 

 

“ฉันจะวางใจได้อย่างไร?” ซีเหมินจินเหลียนถอนหายใจออกมา “ฉันไม่เพียงแต่ไม่วางใจ แต่ในใจฉันก็ไม่สงบเลย!” 

 

 

“จินเหลียน คนเราก็เป็นอย่างนี้ ชอบกลั่นแกล้งคนที่อ่อนแอกว่า แต่กลัวคนที่แข็งแรงกว่า รอวันที่พวกเรามีบริษัทเป็นของตัวเอง รอวันที่คุณพร้อม รับรองจะไม่มีทางที่จะมีคนมากลั่นแกล้งคุณได้ ถึงจะมีคนอยากจะทำร้ายคุณ เขาก็ต้องดูถึงพละกำลังในตัวเขา เพราะฉะนั้นการซื้อหุ้นของตระกูลหลิน ข้อหนึ่งคือประกาศว่าคุณมีทรัพย์สินและศักยภาพที่เพียงพอ ข้อสองเป็นการพิสูจน์ว่าคุณมีอิทธิพล มีเครือข่ายในสังคม” 

 

 

จ่านป๋ายวิเคราะห์สิ่งที่เขาคิดออกมา “อืม!” ซีเหมินจินเหลียนพยักหน้าอย่างเห็นด้วย ใช่แล้ว เธอต้องมีเครือข่ายในสังคม โลกใบนี้มีแต่คนคอยจับตามองคนอื่น ไม่ใช่แค่มีเงินก็จะอยู่รอด ถึงจะรู้ว่าเงินทองและอำนาจมีความเกี่ยวข้องกันอย่างจำเป็น แต่สิ่งที่เธอพบเจอในความจริงกลับพบว่าข้างในมีแต่ความแตกต่าง ไม่ใช่สิ่งที่เธอจะมองออกได้ชัดและเข้าใจอย่างลึกซึ้ง และไม่ใช่สิ่งที่เธอสามารถเข้าใจได้…  

 

 

ไม่น่าล่ะคนถึงพูดกันว่า ชีวิตเรียบง่ายคือความสุข! มีเงินทองร่ำรวยไม่ได้เป็นเรื่องที่ดีเสมอไป เธอโชคดีแค่ไหนที่มีจ่านป๋ายคอยช่วยเหลือ จนถึงตอนนี้ถึงเธอจะไม่รู้ประวัติของเขา และก็ไม่รู้ว่าจะเชื่อใจเขาได้สักแค่ไหน แต่ว่าอย่างน้อยตอนนี้ จ่านป๋ายก็ทำให้เธอรู้สึกปลอดภัย 

 

 

“จินเหลียน คุณไม่ต้องกังวลเรื่องที่คนข้างนอกเขาพูดกัน เรื่องทุกอย่างจะราบรื่นเป็นตามแผนที่พวกเราวางไว้” จ่านป๋ายพูดอย่างมั่นใจ 

 

 

“ฉันพอจะทำอะไรได้บ้าง” ซีเหมินจินเหลียนถาม 

 

 

“ผ่าหยกครับ” จ่านป๋ายยิ้มอ่อน 

 

 

ซีเหมินจินเหลียนได้ยินเช่นนั้นจึงพยักหน้า “โอเค พรุ่งนี้พวกเรามาผ่าหยกกันต่อเถอะ” 

 

 

“ห้องใต้ดินยังมีหยกอีกตั้งมากมาย คุณไม่ทำงานต่อเหรอ?” จ่านป๋ายถามอย่างสงสัย 

 

 

“หยกตั้งมากมายถ้าหากจะให้ฉันทำคนเดียวทั้งหมด ฉันคงเหนื่อยตายแน่” ซีเหมินจินเหลียนส่ายหน้าพูด หยกชนิดน้ำแข็งพวกนั้นทำเป็นเครื่องประดับธรรมดาหรืออาจจะเป็นของตกแต่ง ในอนาคตเมื่อซื้อหุ้นตระกูลหลินสำเร็จ ให้ผู้เชี่ยวชาญด้านการแกะสลักหยกมาจัดการก็เป็นอันใช้ได้  

 

 

ถ้าหากเธอมีชิ้นไหนที่สนใจ ก็อาจจะเอามาทำเป็นเครื่องประดับ เช่นหยกสีแดง ที่เธอเตรียมเอามาทำเป็นปิ่นปักผม กำไลข้อมือต่างๆ… 

 

 

สำหรับการจะนำหยกมาทำเป็นเครื่องประดับและของตกแต่งอย่างไรนั้น เธอก็ให้ความสนใจเป็นอย่างมาก ถ้าจะให้ทำออกมาแต่แบบเดิมๆ มันก็จะดูน่าเบื่อเกินไป แถมเครื่องประดับหยกตอนนี้ต่างก็มีแต่รูปทรงแนวเดิมผุดขึ้นอยู่มาก 

 

 

ตอนที่บริษัทเสียงเฟิงจิวเวอรี่แปรรูปหยกสีทองแดงให้กลายเป็นเครื่องประดับ พวกเขาได้ตั้งใจส่งภาพรูปแบบของหยกมาให้เธอเลือก เธอก็ไม่ได้รู้สึกว่ามีรูปแบบไหนพิเศษสะดุดตาสักภาพ 

 

 

ลูบคางอย่างพินิจพิเคราะห์ หรือว่าเธอควรจะหาสิ่งแปลกใหม่? เอาเถอะ ไว้ค่อยหาข้อมูลในอินเตอร์เน็ตเอา พรุ่งนี้ตัดหยกสีผสมกับฮกลกซิ่วออกมาก่อนแล้วค่อยว่ากัน ฮกลกซิ่วเธอจะทำเป็นกำไล สีสันสวยงามเช่นนั้น ทำให้เธอพึงพอใจเป็นอย่างมาก ส่วนสีม่วงทำเป็นปิ่นปักผมหยกทรงโบราณลายผีเสื้อแล้วกัน 

 

 

เมื่อคิดถึงปิ่นปักผม ซีเหมินจินเหลียนก็ใจเต้นแรงขึ้นมา ในหนังจีนโบราณ หญิงสาวชอบใช้ปิ่นปักผมชนิดนี้ ถึงจะเป็นของปลอมก็สวยงามเหลือเกิน แต่ถ้าหากสามารถใช้หยกจริงทำออกมาได้ มันจะยิ่งสวยขนาดไหนกันนะ 

 

 

เมื่อคิดได้เช่นนี้ เธอก็อดไม่ได้ที่จะถอนหายใจออกมา เครื่องประดับที่ละเอียดอ่อนและพิถีพิถันของชุดโบราณเหล่านี้ ในความจริงคงจะไม่สามารถสวมใส่ได้ ทำออกไปคงจะไม่เป็นที่นิยม 

 

 

ขนาดปิ่นปักผมของเธอ ถึงจะสามารถปักเข้าไปที่ผมได้เหมือนกัน แต่ว่านอกจากเธอแล้ว คนอื่นที่ซื้อกลับไปก็เอาไปวางไว้บนหิ้งเท่านั้น คงจะหาได้ยากที่จะนำออกมาใส่ ในเมื่อเป็นอย่างนี้ตอนที่เลือกซื้อเครื่องประดับ คนส่วนมากคงยอมเลือกเครื่องประดับโบราณแบบเรียบง่ายธรรมดาหรือเปล่านะ 

 

 

“จินเหลียน…จินเหลียนครับ…” จ่านป๋ายเห็นเธอสติล่องลอย จึงใช้โอกาสตอนที่เธอยังโกรธพูดออกมา 

 

 

“คะ!” ซีเหมินจินเหลียนฟังเขาเรียกชื่อเธออยู่สองครั้งจึงได้สติกลับมา พูดต่อว่า “มีอะไรเหรอ” 

 

 

“คุณกำลังคิดอะไรอยู่ครับ ถึงได้เหม่อลอยเชียว? ผมเรียกคุณตั้งสามครั้งแล้ว” จ่านป๋ายพูด “เรื่องของบริษัทตระกูลหลิน คุณไม่ต้องกังวลใจไปนะ” 

 

 

“ไม่มีอะไร ฉันก็ไม่ได้คิดถึงเรื่องนี้ แต่กำลังคิดเกี่ยวกับการแกะสลักหยกน่ะ” ซีเหมินจินเหลียนพูด “ฉันแค่รู้สึกว่าเครื่องประดับหยกแบบโบราณมันค่อนข้างล้าสมัยไปแล้ว ไม่สามารถดึงดูดใจคนได้มากพอ” 

 

 

“เครื่องประดับหยกไม่ใช่นิยมความเรียบง่ายหรอกเหรอครับ” จ่านป๋ายไม่ค่อยเข้าใจในเรื่องนี้เลยถามออกไปอย่างสงสัย 

 

 

“มันแน่นอนอยู่แล้ว!” ซีเหมินจินเหลียนพยักหน้าพูดต่อ “เพราะฉะนั้น กำไลหยกถึงเป็นที่นิยมมากที่สุด” 

 

 

“คุณก็อย่าเพิ่งคิดหนักจนปวดหัวเลยครับ อยากจะมีความสร้างสรรค์ ก็ไม่ใช่ว่าจะใช้เวลาแค่หนึ่งชั่วโมงกว่าๆ แล้วคิดออกมาได้ เรื่องนี้ต้องมีแรงบันดาลใจ อย่างไรพวกเราก็มีหยกมากมายให้เลือก คุณค่อยๆ คิดดูก็ยังไม่สาย” 

 

 

“เอาเถอะ พรุ่งนี้ค่อยมาผ่าหินต่อแล้วกัน!” ซีเหมินจินเหลียนพูด 

 

 

“แล้วตอนนี้ล่ะ?” จ่านป๋ายถามพลางอดไม่ได้ที่จะมองไปข้างนอก ไม่รู้เมื่อไหร่ที่ฟ้ามืดค่ำลงแล้ว พลบค่ำของฤดูใบไม้ร่วงในช่วงแรก ไม่ร้อนไม่หนาว ช่างเหมาะสมกับการออกไปเดทยิ่งนัก 

 

 

“ถ้าหากคุณไม่ได้เตรียมจะทำกับข้าว ถ้าอย่างนั้นพวกเราออกไปกินข้าวข้างนอกกัน!” ซีเหมินจินเหลียนยอมรับว่าจ่านป๋ายมีฝีมือในการทำอาหารพอๆ กับเธอ นอกจากหมูผัดที่ไหม้ในครั้งนั้น กับข้าวอย่างอื่นก็ทำเพื่อความอยู่รอดของปากท้องประทังความหิวไปวันๆ  

 

 

ถ้าไม่มีเงินก็ว่าไปอย่าง ในเมื่อตอนนี้มีเงินเก็บเหลือใช้ ของกินที่วางแผงอยู่ข้างทางก็ไม่ได้แพงนัก ยังพอจะกินได้ ไม่จำเป็นต้องทรมานกระเพาะของตัวเอง 

 

 

“ฝีมือผมไม่ได้แย่ขนาดนั้นเสียหน่อย!” จ่านป๋ายบ่นพึมพำ 

 

 

“ใช่ ก็อร่อยเหมือนกับที่ฉันทำนั่นล่ะ!” 

 

 

ตอนที่ซีเหมินจินพูดประโยคนี้ครั้งแรก จ่านป๋ายคิดว่านั่นเป็นคำชม แต่ตอนนี้เขาทำได้แค่ยิ้มแห้งเ**่ยวส่งกลับไป กับข้าวที่ซีเหมินจินเหลียนทำนั้น เป็นแค่การปรุงแต่งอย่างเรียบง่ายไม่มีหลักการ 

 

 

ซีเหมินจินเหลียนยักไหล่แล้วพูดออกมา “ฉันก็ทำตามสูตรอาหาร แต่รสชาติมันออกมาเหมือนแต่ก่อนไม่มีผิด” 

 

 

“มีคนพูดว่า การทำอาหารก็เหมือนการเขียนบทความ ต้องมีพรสวรรค์ แต่เห็นได้ชัดว่าพวกเราไม่มีสิ่งนี้” จ่านป๋ายยิ้มขมขื่น “ไปเถอะครับ เราออกไปกินข้าวข้างนอกกัน” 

 

 

“โอเค!” ซีเหมินจินเหลียนพยักหน้าตอบรับ จ่านป๋ายออกไปข้างนอกสตาร์ทรถเบนซ์ขับออกมา ทั้งสองคนขับรถไปที่ถนนคนเดินใกล้บ้าน 

 

 

ถนนคนเดินห่างจากย่านหลานเหมยไม่ไกลนัก ของส่วนมากจะเป็นแผงขายอาหารวางเรียงกันเป็นสาย มีทั้งปิ้งย่างไปจนถึงกับข้าวทั่วไป รสชาติอร่อยถูกปาก ราคาไม่แพง ซีเหมินจินเหลียนและจ่านป๋ายชอบมากินที่นี้เพื่อลิ้มรสอาหารใหม่ๆ เปลี่ยนรสชาติอาหารเดิมๆ 

 

 

เพียงแต่ว่าถนนคนเดินไม่สามารถนำรถเข้าไปได้ โชคดีที่ปากประตูทางเข้าไม่ได้ไกลจากที่จอดรถของห้างสรรพสินค้าบริเวณนั้น จ่านป๋ายเลยจอดรถและจูงมือซีเหมินจินเหลียนอย่างที่เขาเคยชิน พวกเขาหาร้านอาหารเล็กๆ ที่สะอาดสะอ้าน แล้วสั่งอาหารที่ทั้งคู่ชอบกินเป็นประจำ จ่านป๋ายยังสั่งเบียร์ธรรมดาอีกขวด 

 

 

ซีเหมินจินเหลียนขอแค่ข้าวหนึ่งถ้วย จากนั้นค่อยๆ กินลิ้มรสความอร่อยอย่างช้าๆ จ่านป๋ายกรอกเบียร์เข้าไปลงท้อง จู่ๆ ก็นึกถึงปัญหาสำคัญขึ้นมา เมื่อเห็นละแวกนั้นไม่มีคน จึงกระซิบเข้าไปถามเธอ “จินเหลียน คุณพกเงินติดตัวมาหรือเปล่าครับ” 

 

 

ซีเหมินจินเหลียนอ้าปากค้าง เธอถึงเพิ่งนึกขึ้นได้ว่า ตอนที่เธอเปลี่ยนเสื้อผ้าไม่ได้เอากระเป๋าออกมาด้วย ในตัวเธอก็ไม่มีเงินสักหยวนเช่นกัน… 

 

 

เมื่อเห็นสีหน้าของซีเหมินจินเหลียนแล้ว จ่านป๋ายก็เข้าใจได้ในทันที ซวยแล้ว พวกเขาทั้งสองคนไม่ได้พกเงินติดตัวมา 

 

 

จ่านป๋ายหยิบถ้วยข้าวใส่เข้าไปในน้ำซุป แล้วรีบโซ้ยเอาจนหมดในไม่กี่คำ สายตามองไปที่ซีเหมินจินเหลียนอย่างเงียบๆ ซีเหมินจินเหลียนยิ้มแห้งๆ ใส่ เวลานี้มองเธอให้ได้อะไรขึ้นมา เธอจะมีหนทางอะไรเล่า? 

 

 

“จินเหลียน ฝีมือในการขโมยของผมไม่เลวเลยนะ ถ้าอย่างนั้นผมออกไปเดินเล่นข้างนอกก่อน คุณรออยู่ที่นี่ก่อนนะ?” จ่านป๋ายพูด 

 

 

“หยุดพูดเลยนะ!” ซีเหมินจินเหลียนด่าเขา ถ้าหากจะต้องให้จ่านป๋ายไปขโมย เธอยอมโดนเจ้าของร้านด่าเสียดีกว่า 

 

 

ดวงตาทั้งสองคู่จ้องมองกันไปมา จ่านป๋ายก็ยิ้มออกมาอย่างหุบไม่ได้ เสียงของความชั่วร้ายพูดออกมาอีกครั้ง “จินเหลียน ไม่อย่างนั้นพวกเราวิ่งกัน! คุณลองหันไปดูสิ เจ้าของร้านอ้วนท้วมใช้ได้ คงวิ่งไม่ทันพวกเราแน่…”