ตอนที่ 52-1 มอบองครักษ์เงาให้

ข้ามกาลบันดาลรัก [ส่วนที่ 2 ภาคแต่งงาน]

เฮ่อเหลี่ยนตกตะลึงพรึงเพริด รู้สึกหวั่นใจ รีบร้อนดุด่าคนแบกเกี้ยวเสียงดังลั่นว่า “เร็ว รีบหันกลับ!”

 

 

บรรดาคนแบกเกี้ยวคิดหันเกี้ยวเลี้ยวกลับกันฉุกละหุก ไม่คิดว่าจะถูกกลุ่มคนที่แต่งกายคล้ายกับทหารอารักขามากดเกี้ยวเอาไว้ ทำให้ขยับเกี้ยวไม่ได้

 

 

เฮ่อเหลี่ยนตกใจจนอกสั่นขวัญแขวน เขาโถมตัวไปข้างหน้าโดยไม่สนใจอันตราย นั่นทำให้หล่นลงมาจากเกี้ยว หลังจากที่กลิ้งไปบนพื้นหลายตลบก็ตะเกียกตะกายลุกขึ้นหมายจะวิ่งหนีไป

 

 

ทุกคนต่างก็คิดไม่ถึงว่าเขาจะทำเช่นนี้ ต่างก็ตะลึงไปสักพักหนึ่ง

 

 

เหวินซื่อที่สังเกตทุกการกระทำของเขาตลอดเวลา พอเห็นเขากระโจนเข้ามาที่ด้านข้างของตัวเองก็ยกมุมปากขึ้นฉีกยิ้ม ใช้มือข้างหนึ่งจับเสื้อผ้าของเขาไว้

 

 

เฮ่อเหลี่ยนสะดุ้งตกใจพยายามสะบัดให้หลุดพ้น

 

 

พอเห็นท่าทางกระเสือกกระสนหนีตายของเขา เหวินซื่อก็รู้สึกตลก ส่งเสียงหัวเราะต่ำๆ ออกมาอย่างกลั้นไว้ไม่อยู่

 

 

เฮ่อเหลี่ยนดิ้นไม่หลุด จึงหันกลับไปดู พอเห็นว่าเป็นชายร่างใหญ่ตัวดำเมี่ยมที่กำลังอ้าปากหัวเราะจนเห็นฟันสีขาวทุกซี่ก็ยิ่งตกใจมากขึ้น รู้สึกหมดหวังจึงถอดเสื้อของตัวเองออก แล้วผลุนผลันวิ่งออกไปเลย

 

 

มองเสื้อผ้าที่อยู่ในมือแล้วเหวินซื่อก็หยุดหัวเราะ กล่าวอย่างโมโหว่า “มารดามันเถอะ ทำไมเสื้อตัวนี้ถึงรั้งไว้ไม่อยู่?”

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวกลั้นหัวเราะไม่ไหวส่งเสียง “คิกคัก” ดังออกมา

 

 

เหวินซื่อถลึงตามองนางแวบหนึ่ง แล้วพุ่งออกไปหมายจะตามไปจับเฮ่อเหลี่ยนมา

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวห้ามเขาไว้

 

 

มีทหารอารักขากระโดดตามไปก่อนแล้ว กระโดดไปไม่กี่ครั้งก็ตามเฮ่อเหลี่ยนทัน แล้วหิ้วเฮ่อเหลี่ยน กลับมาเหมือนลูกไก่ แล้วโยนไว้ข้างหน้าเมิ่งเชี่ยนโยว

 

 

เฮ่อเหลี่ยนกลัวมากยิ่งขึ้น ดุด่าคนแบกเกี้ยวว่า “เจ้าพวกสวะไร้ประโยชน์ ยังไม่รีบเข้ามาช่วยข้าอีก?”

 

 

คนแบกเกี้ยวหลายคนที่ยืนโง่งมอยู่จึงได้สติขึ้นมา วางเกี้ยวลงอย่างรีบร้อน คิดจะเข้ามาช่วยเฮ่อเหลี่ยน

 

 

“เรื่องนี้ไม่เกี่ยวกับพวกเจ้า ถ้ายังอยากมีชีวิตอยู่ก็รอตรงนั้นแต่โดยดี” หวงฝู่อี้เซวียนกล่าวขึ้นด้วยน้ำเสียงเยือกเย็น

 

 

พวกคนแบกเกี้ยวตกใจกลัวจากน้ำเสียงอันเยือกเย็นของเขา ชะงักฝีเท้าพลัน คนแบกเกี้ยวหนึ่งในนั้นกลอกตาไปมา หันหน้าหมายจะวิ่งกลับไป ทหารองครักษ์คนหนึ่งตาไวเห็นเข้าจึงเข้ามาขวางทางเขาไว้ กล่าวเสียงต่ำว่า “ถ้าไม่อยากเจ็บตัว ก็รอแต่โดยดี”

 

 

คนแบกเกี้ยวจึงไม่กล้าขยับอีก

 

 

หวงฝู่อี้เซวียนสั่งเหล่าทหารอารักขาว่า “ลงมือได้!”

 

 

ทหารอารักขาเดินเข้ามา แล้วลงมือทั้งชกทั้งเตะเฮ่อเหลี่ยน

 

 

เหวินซื่อคันไม้คันมืออดใจไม่ไหวคิดจะเข้ามาผสมโรงด้วย แต่ก็ถูกเมิ่งเชี่ยนโยวมาขวางไว้ “การทำร้ายคนของพวกเขานั้นมีวิธีพิเศษ ดูผิวเผินภายนอกไม่อาจมองเห็นร่องรอยบอบช้ำได้ เจ้าทำไม่ได้หรอก”

 

 

เรื่องที่น่ายินดีเช่นนี้กลับได้แต่ดู ทำอะไรไม่ได้เลย เหวินซื่อรู้สึกอึดอัดใจ แล้วเดินวนกลับไปกลับมาอยู่ที่เดิมด้วยความกระวนกระวายใจ

 

 

เฮ่อเหลี่ยนรู้สึกว่าทุกครั้งที่ทหารอารักขาทุบตีตัวเองนั้นทำให้อวัยวะภายในเคลื่อนย้ายไปอยู่ผิดที่ผิดทาง นอนร่ำไห้ร้องครวญครางไม่หยุด

 

 

คนที่เดินผ่านเห็นคนที่ทุบตีกับคนที่โดนทุบตีต่างก็แต่งกายไม่ธรรมดา กลัวว่าจะมีเรื่องเดือดร้อนมาถึงตน จึงไม่ได้เข้ามายุ่ง เพียงแต่มองดูจากที่ไกลๆ เท่านั้น

 

 

เสียงร้องครวญครางของเฮ่อเหลี่ยนค่อยๆ เบาลง ร่างกายไม่มีแรงหลบอีก หวงฝู่อี้เซวียนจึงกล่าวขึ้นว่า “พอแล้ว”

 

 

เหล่าทหารอารักขาต่างก็หยุด แล้วเดินกลับไปอยู่ข้างหลังเขา

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวย่อตัวลง ยิ้มตาหยีถามเฮ่อเหลี่ยนที่เจ็บปวดเจียนตายว่า “คุณชายใหญ่ รสชาติที่ถูกทุบตีเป็นอย่างไรบ้าง?”

 

 

เฮ่อเหลี่ยนไร้เรี่ยวแรงไม่มีแม้แต่แรงด่า ได้แต่ใช้สายตาจ้องมองนางอย่างเคียดแค้น

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวก็ไม่ได้สนใจ บอกเขาด้วยรอยยิ้มละไมว่า “คุณชายใหญ่ คราวนี้ถือว่าทุบตีแทนกัวเฟย วันพรุ่งนี้เป็นเหวินเปียว วันถัดไปเป็นเหวินหู่ ยังมีวันถัดถัดไปอีก วันถัดถัดถัดไปก็ยังมีอีก เจ้าต้องอดทนไว้นะ อย่าตายง่ายๆ ไม่เช่นนั้นแค้นของพวกเขาข้าก็คงจะชำระให้พวกเขาไม่หมด เสียแรงที่เป็นนายหญิงของพวกเขากันพอดี”

 

 

นางพูดอย่างสบายๆ แต่คนข้างๆ ที่พอได้ยินแล้วกลับขนลุกขนชัน โดยเฉพาะคนแบกเกี้ยวพวกนั้น รู้สึกว่าเมื่องเชี่ยนโยวบ้าไปแล้ว มีใครกันที่บอกก่อนจะทุบตีคน วันนี้คุณชายใหญ่ของพวกเขาไม่ได้เตรียมตัวมาก่อน จึงเสียท่าให้พวกเขาอย่างง่ายดาย พอนางพูดเช่นนี้ ต่อไปเวลาจะออกจากบ้านก็ต้องพาคนติดตามไปมากมาย ถึงตอนนั้นใครจะทำร้ายใครก็ยังไม่แน่เลย

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวพูดจบก็ลุกขึ้นยืน กำชับทหารอารักขาอย่างใจดีว่า “พวกเจ้าไปช่วยคุณชายใหญ่เฮ่อขึ้นบนเกี้ยว ร่างกายของเขามีค่ามาก พวกเจ้าระวังอย่าทำให้เขาเจ็บล่ะ”

 

 

ทำร้ายคนจวนเจียนจะตายอยู่แล้ว ยังมาเสแสร้งแกล้งทำเป็นคนดีอีก เฮ่อเหลี่ยนแทบจะกระอักเลือดออกมา

 

 

ทหารอารักขาตอบรับคำสั่งด้วยความเคารพ แล้วเข้าไปช่วยยกเฮ่อเหลี่ยนขึ้นไปบนเกี้ยวจริงๆ เพียงแต่การกระทำที่หยาบคายเช่นนั้นทำให้เฮ่อเหลี่ยนเจ็บจนแทบหมดสติไป

 

 

พอเห็นพวกทหารอารักขาโยนเฮ่อเหลี่ยนขึ้นไปบนเกี้ยวเรียบร้อยแล้ว เมิ่งเชี่ยนโยวก็พูดกับคนแบกเกี้ยวที่ยังตกตะลึงอยู่ว่า “ไม่มีอะไรแล้ว พาเจ้านายของพวกเจ้ากลับไปเถอะ”

 

 

พวกคนแบกเกี้ยวจึงได้สติ ต่างก็ตะลีตะลานเดินกลับมาที่เกี้ยว ยกเกี้ยวขึ้นแบกอย่างลุกลี้ลุกลน แล้วก็เดินโยกเยกกลับไป

 

 

เดิมทีเฮ่อเหลี่ยนรู้สึกเจ็บปวดราวกับโดนไฟแผดเผาไปทั้งตัว ตอนนี้ยังถูกพวกเขาโยกไปโยกมาเช่นนี้อีกก็ยิ่งรู้สึกเจ็บปวดขึ้นอีกหลายเท่า ตะคอกด่าอย่างเกรี้ยวกราดว่า “เศษสวะไร้ประโยชน์ พวกเจ้ากำลังโยกให้ข้าตายหรืออย่างไร?”

 

 

พวกคนแบกเกี้ยวต่างก็ตื่นตระหนก คิดแต่ว่าจะพาเฮ่อเหลี่ยนกลับจวนให้เร็วที่สุด พอได้ยินเขาตะคอกด่าก็เดินช้าลงทันที ปรับท่วงท่าให้เป็นปกติ แล้วพาเขาเดินกลับไปอย่างมั่นคงและเชื่องช้า

 

 

เฮ่อเหลี่ยนไม่พอใจอีก ตะคอกด่าอย่างเกรี้ยวกราดเช่นเดิมว่า “พวกเจ้าชักช้าลีลาอยู่นี่ คิดจะรอให้ข้าเจ็บปวดจนตายไปก่อนหรือ?”

 

 

พวกคนแบกเกี้ยวยิ่งไม่รู้ว่าจะแบกอย่างไรดี คนนี้ก็ใช้แรงมากเกินไป คนนี้ก็เดินเร็วมากเกินไป อีกคนก็ชักช้า อยู่ๆ เกี้ยวก็คว่ำลงไป แล้วเฮ่อเหลี่ยนก็ถูกเทออกมา

 

 

เฮ่อเหลี่ยนที่เจ็บปวดจนหมดแรงดิ้นรนแล้ว หลังจากที่กลิ้งหลุนๆ ไปหลายตลบ ก็นอนแผ่หลาเงยหน้ามองท้องฟ้าอย่างน่าสมเพช

 

 

คนที่มุงดูพอเห็นพวกคนแบกเกี้ยวไปแบกเฮ่อเหลี่ยนออกไปแล้วก็ไม่มีอะไรให้ดู กำลังจะแยกย้ายกันไป ทันใดนั้นก็ได้ยินเสียงร้องโหวกเหวกโวยวายกันจ้าละหวั่น พอหันไปมองก็เห็นเฮ่อเหลี่ยนที่กำลังตกจากเกี้ยวลงมาพอดี ทุกคนต่างก็ตื่นเต้นดีใจ ต่างก็วิ่งเบียดกันเข้าไปดูเรื่องสนุก

 

 

เรื่องที่สนุกเช่นนี้เหวินซื่อเองก็อยากจะไปดูเช่นกัน แต่เมิ่งเชี่ยนโยวมาห้ามเขาไว้ก่อน “พอแล้ว ควรกลับไปแล้ว”

 

 

เหวินซื่อเหลือบมองไปทางนั้นอย่างไม่เต็มใจนัก แต่ก็ละสายตากลับมาด้วยความคับแค้นใจ

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวกำชับเขาว่า “เจ้ากลับไปสั่งให้คนดูแลพวกกัวเฟยไว้ให้ดีนะ ข้าจะกลับไปพักผ่อนก่อนสักพัก ยามบ่ายข้าค่อยไปดู ถ้าพวกเขาเป็นอะไรก็ส่งคนมาแจ้งข่าวกับข้า บ้านของข้าอยู่ที่…”

 

 

“ไปหานางที่จวนอ๋องฉีก็พอ” หวงฝู่อี้เซวียนขัดจังหวะนาง

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวไม่ได้คัดค้าน แล้วพยักหน้ากับเหวินซื่อ

 

 

เหวินซื่อลูบคาง ใช้สายตาแบบที่ตรวจสอบมาพิจารณาทั้งสองคน

 

 

“ไม่ต้องลูบแล้ว ถ้ายังลูบอีกก็ถูกคนจำได้พอดี” เมิ่งเชี่ยนโยวเตือนเขา

 

 

เหวินซื่อจึงนึกขึ้นได้ว่าตัวเองนั้นใช้เขม่าจากก้นหม้อมาแปลงโฉมอยู่ รีบดึงมือลงทันควัน แล้วตอบว่า “ข้ารู้แล้ว”

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวกำชับเขาอีกว่า “เจากลับจวนไปแล้วห้ามบอกใครนะว่าเจ้าเกี่ยวข้องกับเรื่องนี้ ถ้าเผื่อว่าหน้าต่างมีหูประตูมีช่องแล้วเรื่องเกิดแพร่ออกไปจะเดือดร้อนเจ้าได้”

 

 

“รู้แล้ว ทำไมเจ้าเด็กคนนี้ขี้บ่นขนาดนี้” เหวินซื่อกล่าวอย่างรำคาญ

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวทั้งยิ้มทั้งโมโห กล่าวขึ้นว่า “ถ้าเช่นนั้นพวกเรากลับแล้วนะ”

 

 

เหวินซื่อโบกไม้โบกมือ “รีบไป รีบไป”

 

 

มีหรือที่เมิ่งเชี่ยนโยวจะไม่เข้าใจความคิดของเขา กล่าวขึ้นว่า “เจ้าไปก่อน จ้ำแล้วพวกเราถึงจะไป”

 

 

แผนของเหวินซื่อถูกมองทะลุแล้ว บ่นพึมพำอย่างไม่พอใจ จึงขึ้นขี่ม้าแล้วควบม้าไปยังร้านยาเต๋อเหริน

 

 

รอจนกระทั่งเขาไปจนมองไม่เห็นแล้ว เมิ่งเชี่ยนโยวกับหวงฝู่อี้เซวียนจึงขึ้นมาแล้วพาทุกคนกลับจวนอ๋องฉี

 

 

เมื่อวานหวงฝู่อี้เซวียนได้ยินองครักษ์รายงานแล้วก็รีบพาเหล่าทหารอารักขาออกไป กลัวว่าจะเกิดอันตราย จึงไม่ให้หวงฝู่อี้ตามไปด้วย

 

 

หวงฝู่อี้รออยู่ในเรือนอย่างกระสับกระส่ายทั้งคืน ก็ไม่เห็นว่าหวงฝู่อี้เซวียนจะกลับมาเสียที จนถึงตอนเช้าอดทนไม่ได้อีก จึงไปรายงายพระชายาฉี

 

 

พอพระชายาฉีได้ยินก็เป็นห่วงแทบแย่ จึงสั่งให้องครักษ์ประจำจวนแยกย้ายกันออกไปหาข่าวคราว แล้วก็สั่งคนรับใช้ว่าถ้าหวงฝู่อี้เซวียนกลับมาแล้วก็ให้มารายงานนาง

 

 

ดังนั้นพอหวงฝู่อี้เววียนกับเมิ่งเชี่ยนโยวเดินเข้าประตูมาก็มีคนไปรายงานให้นางทราบทันที

 

 

หลังจากพระชายาฉีได้ยินแล้วก็ให้สาวใช้มาส่งข่าว บอกให้พวกเขาทั้งสองคนไปหานางก่อน

 

 

หวงฝู่อี้เซวียนปฏิเสธสาวใช้คนนั้น “บอกเสด็จแม่ว่าโยวเอ๋อร์ยังไม่ได้นอนเลยทั้งคืน ให้นางพักผ่อนก่อน รอตื่นแล้วพวกเราค่อยไปพบนาง”

 

 

สาวใช้รับคำ แล้วก็กลับไปบอกพระชายาฉีตามคำที่เขาบอก

 

 

พระชายาฉีคิดว่าเมิ่งเชี่ยนโยวน่าจะไม่เป็นอะไรก็สบายใจขึ้น สั่งคนใช้ทุกคนในจวนว่าถ้าไม่มีธุระอะไรก็อย่าไปรบกวนพวกเขา ให้พวกเขาพักผ่อนกันให้สบาย แล้วก็ส่งคนไปกำชับหวงฝู่อี้ ให้เขาเฝ้าประตูดีๆ ห้ามมิให้ผู้ใดเข้าไปในเรือนของหวงฝู่อี้เซวียน

 

 

หลังจากที่หวงฝู่อี้ได้ยินคำสั่งที่สาวใช้ถ่ายทอดมา ก็ยกตั่งเล็กๆ มาตั้งไว้และนั่งอยู่ที่หน้าประตูเรือน ถึงจะเป็นคนรับใช้ที่เดินผ่านมาก็บอกให้พวกเขาเดินเบาๆ

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวก็เหน็ดเหนื่อยจริงๆ ล้างหน้าเสร็จแล้วก็ขึ้นไปนอนอยู่บนเตียงใหญ่ในห้องด้านในทั้งชุดเดิม แล้วก็หลับตาลง

 

 

หวงฝู่อี้เซวียนเดินเข้ามา แตะนางเบาๆ

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวจึงลืมตาขึ้น

 

 

หวงฝู่อี้เซวียนฉุดนางให้ลุกขึ้น ช่วยนางถอดเสื้อคลุมด้านนอกอย่างอ่อนโยน ประคองนางลงนอนบนเตียง เอาผ้ามาห่มให้นาง ทุกขั้นตอนตั้งแต่ต้นจนจบ เมิ่งเชี่ยนโยวไม่ได้มีท่าทีต่อต้านเลย

 

 

หวงฝู่อี้เซวียนก็ถอดเสื้อคลุมด้านนอกของตัวเองออกเช่นกัน แล้วก็ล้มตัวนอนบนเตียง ดึงผ้าอีกมุมมาห่มบนตัวของตัวเอง จากนั้นก็เอื้อมมือไปโอบกอดนางไว้

 

 

รับรู้ได้ว่ามือของเขากำลังเคลื่อนไหวเบาๆ เมิ่งเชี่ยนโยวไม่ได้พูดอะไร

 

 

หวงฝู่อี้เซวียนซุกศีรษะที่ลำคอของนางโดยไม่พูดไม่จา

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวรู้สึกว่ามีอะไรอุ่นๆ มาซุกอยู่ที่ลำคอของตัวเอง

 

 

สักพักหวงฝู่อี้เซวียนก็พูดขึ้นด้วยเสียงขึ้นจมูกหนักๆ ว่า “คืนวาน ตามหาเจ้าไปหลายเรือนจำก็ไม่พบเจ้า พอคิดว่าเจ้าจะต้องเจอกับอะไรที่ไม่ดีต่างๆ นานา ข้าก็รู้สึกกลัวจนตัวสั่น ข้าสาบานว่าถ้าเกิดอะไรขึ้นกับเจ้า ข้าจะตัดแขนตัดขาแล้วก็ตัดคอคนที่จับเจ้าไป จากนั้นค่อยตายตามเจ้าไป”

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวหันกลับมาตบหลังเขาอย่างปลอบโยน

 

 

หวงฝู่อี้เซวียนเงยหน้าที่ดวงตาแดงก่ำขึ้นมา แล้วจ้องมองนางอย่างไม่ละสายตา “โยวเอ๋อร์ เจ้าคือชีวิตของข้า รับปากกับข้า ต่อไปไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น เจ้าต้องปกป้องตัวเองให้ดี เชื่อใจข้า ไม่ว่าจะมีอุปสรรคยิ่งใหญ่เพียงใดข้าก็จะตามหาเจ้าจนเจอ”

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวรู้สึกซาบซึ้งใจ พยักหน้าอย่างหนักแน่นแล้วกล่าวรับรองว่า “เจ้าวางใจ ข้าจะไม่ละทิ้งตัวเองไปง่ายๆ และไม่ทำให้ตัวเองต้องตกอยู่ในที่ที่อันตรายเด็ดขาด”

 

 

พอได้รับการรับรองจากนาง หวงฝู่อี้เซวียนก็สงบลงมาก เอื้อมมือไปดึงผ้าห่มมาห่ม “นอนเถอะ ข้าจะอยู่เป็นเพื่อนเจ้า”

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวหลับตา ไม่นานก็หลับสนิทไป