บทที่ 273 วิธีการสังหารอันน่าพิศวง

พ่อเลี้ยงยอดเซียน (异界无敌奶爸)

บทที่ 273 วิธีการสังหารอันน่าพิศวง

จื่อเซี่ยงพาจื่อหวงกลับไปที่คฤหาสน์ตระกูลจื่อด้วยใบหน้าที่เศร้าหมอง และเริ่มตรวจดูร่างกายของจื่อหวง

และเมื่อเขาตรวจสอบอย่างละเอียด เขาพบว่าเกิดปัญหาใหญ่ในร่างกายของจื่อหวง

สิ่งเลวร้ายอัปมงคลมากมายในร่างกายของจื่อหวงได้ถูกปลุกขึ้นมาทั้งหมด ราวกับว่าสิ่งเหล่านี้มีอยู่มานานแล้วในตัวของจื่อหวง

ตอนนี้หลังจากที่ถูกปลุก พวกมันก็เริ่มหยั่งรากและงอกงามขึ้นในร่างของจื่อหวง

สิ่งเหล่านี้ส่วนใหญ่คือเลือดของสัตว์อสูรที่ตระกูลจื่อหลอมรวมเข้าไปในร่างกายของจื่อหวง เพื่อช่วยยกระดับความแข็งแกร่งของเขา…

แต่ตอนนี้พวกมันทำให้ร่างกายของจื่อหวงปั่นป่วนและไม่สามารถฟื้นตัวขึ้นมาได้อีก

จื่อหวงเป็นมนุษย์ ถ้าเขาไม่มีเลือดของสัตว์อสูรอื่น อาการของเขาก็คงจะไม่แย่ถึงขนาดนี้ เนื่องจากตอนนี้สายเลือดสัตว์อสูรที่เคยถูกหลอมรวมเข้าไปได้รับการปลุกให้ตื่นขึ้นและกำลังเริ่มต่อสู้กับเขาภายในร่างกายของตัวเขาเอง เพื่อแย่งชิงร่างนี้มาเป็นของมัน

“ท่านพ่อ รีบมาดูทีว่าเกิดอะไรขึ้นกับหวงเอ๋อ!” จื่อเซี่ยงกังวลมาก เขารีบอุ้มจื่อหวงมาหาจื่อคงทันทีให้ดูอาการ

ในฐานะที่เป็นผู้เชี่ยวชาญขอบเขตหลุดพ้นสามัญ ความเข้าใจของจื่อคงเกี่ยวกับกฎระหว่างสวรรค์และโลกของเขาจึงลึกซึ้งมากยิ่งกว่าคนทั่วไป

อย่างไรก็ตาม เมื่อจื่อคงตรวจสอบจื่อหวง แม้แต่ตัวเขาเองก็ยังไม่เข้าใจว่าเกิดอะไรขึ้นกับจื่อหวง

พูดง่าย ๆ ก็คือมันมีอำนาจพลังบางอย่างที่อนุญาตให้ทุกสิ่งที่เข้ากันไม่ได้ในร่างกายของจื่อหวงเติบโตขึ้นในร่างของเขา

“เขาไปยุ่งกับใคร?” จื่อคงขมวดคิ้วและถาม

“เป็นคนจากภูเขาฟีนิกซ์!” จื่อเซี่ยงพูดอย่างไม่สบายใจ “หลิวหนิงเท่านั้นที่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น เดี๋ยวข้าจะไปพาเขามาและท่านก็ลองสอบถามเขาดูห็แล้วกัน ท่านพ่อ ว่าเกิดอะไรขึ้น”

เมื่อพูดจบ จื่อเซี่ยงหันเดินออกไปตามหาหลิวหนิงทันที และจากนั้นก็พาเขามาหาจื่อคง

“ขอเรียนนายท่านจื่อ นายน้อยได้รับบาดเจ็บจากผู้หญิงที่อยู่ในขอบเขตประสานทะเลปราณระดับ 12 มันเป็นวิชาที่แปลกมาก ๆ ตอนนางร่ายคาถา ข้ารู้สึกถึงลมหายใจของฤดูใบไม้ผลิและผู้หญิงคนนั้นก็พูดว่า ‘ก่อเกิด’ จากนั้น นายน้อยก็ถูกสายฟ้าฟาดและหมดสติไป” หลิวหนิงเล่าทุกรายละเอียดโดยไม่กล้าที่จะปิดบัง

“ก่อเกิด?” จื่อคงและจื่อเซี่ยงมองหน้ากันด้วยความตกใจ

พวกเขาทุกคนเข้าใจความหมายของสองคำนี้ เมื่อโลกเริ่มเคลื่อนไหวสิ่งมีชีวิตทั้งหมดจะตื่นขึ้น

เป็นไปได้ไหมว่าพลังของคาถานั้นปลุกสิ่งที่อยู่ในร่างของจื่อหวงให้ตื่นขึ้นมา? แต่ไอ้พลังที่แปลกประหลาดนี้มันคืออะไรกันแน่?

จริง ๆ แล้ว มี่ไลไม่รู้ด้วยซ้ำว่า ท่าไม้ตายที่นางคิดค้นขึ้นมาจะมีผลแบบนี้ แม้แต่หลิงตู้ฉิงก็ไม่รู้เรื่องนี้เช่นกัน

ที่มี่ไลไม่รู้เรื่องนี้เพราะเป็นนี่เป็นครั้งแรกที่นางใช้มัน แต่ที่หลิงตู้ฉิงไม่รู้เรื่องนี้เพราะเขาไม่เคยเห็นผลของคาถาง่าย ๆ เช่นนี้ สิ่งที่เขาเคยเห็นมาก่อนหน้านี้คือผลของ วิชาเทวะสี่ฤดูแปรเปลี่ยน ที่สมบูรณ์และเขารู้ว่ามันน่ากลัวแค่ไหน

มิฉะนั้นทั้งสองอาจพัฒนาความเป็นไปได้ให้มากขึ้น

ในขณะที่จื่อคง ซึ่งเป็นผู้เชี่ยวชาญที่อยู่จุดสูงสุดของขอบเขตหลุดพ้นสามัญ เขาค่อย ๆ นำสิ่งอัปมงคงที่ตื่นขึ้นมาทั้งหมดออกจากร่างของจื่อหวง

ในเวลาเดียวกัน เขาก็ถามขึ้นว่า “ทำไมคนจากภูเขาฟีนิกซ์คนนี้ถึงมาที่เมืองเรา?”

จื่อเซี่ยงตอบ “น่าจะเป็นเพราะนางคงมาตามล่าพวกคนทรยศพวกนั้น! แต่ท่านพ่อเปลวเพลิงบรรพกาลฟีนิกซ์บนร่างกายของผู้หญิงคนนั้นน่ากลัวมาก ข้าคิดว่าแม้แต่ในหมู่ผู้เชี่ยวชาญขอบเขตสวรรค์สามัญด้วยกัน ความแข็งแกร่งของนางคงมีคนไม่มากนักที่เหนือกว่า ฉะนั้นนางย่อมไม่ธรรมดาแน่นอน”

จื่อคงครุ่นคิดอยู่สักพัก และพูดกับหลิวหนิงว่า “ไปเอาคนตายมาที่นี่ด้วย ข้าจะตรวจสอบศพพวกนั้นให้ละเอียด!”

เขารู้สึกแปลกมาก ๆ กับคำอธิบายของหลิวหนิง

ไม่นานต่อมาศพจำนวนมากก็มาอยู่ต่อหน้าเขา

เพียงแว๊บเดียวเขาก็มองออกถึงสาเหตุการตายของคนส่วนหนึ่งว่าผู้คนเหล่านี้เสียชีวิตจากปราณน้ำแข็งทมิฬ

ส่วนศพที่เหลืออีกส่วนหนึ่งที่ ‘เสียชีวิตจากความร้อน’ เขาได้โบกมือและหั่นศพเป็นสองท่อน หลังจากตรวจดูอย่างละเอียดแล้วเขาก็พึมพำกับตัวเองว่า “คาถาบ้านี่มันคืออะไร?”

เขาสามารถเห็นได้อย่างชัดเจนว่ามันไม่ใช่การถูกเผาจนตาย แต่เป็นเพราะ ‘ความร้อน’ ที่ทำให้ตาย

สำหรับผู้บ่มเพาะสิ่งนี้แทบจะเป็นไปไม่ได้เลย การถูกเผาจนตายถือว่าเป็นเรื่องที่ไม่แปลกแต่ถูกทำให้ร้อนจนตาย? เรื่องแบบนี้มันเกิดขึ้นได้ไง? ร่างกายของผู้บ่มเพาะแน่นอนว่าแข็งแกร่งกว่าคนธรรมดามากและด้วยการเกื้อหนุนจากพลังวิญญาณภายในร่าง พวกเขาย่อมต้านทานความร้อนได้อย่างไม่ยากเย็น

“แปลกนะ คนจากภูเขาฟีนิกซ์มีวิธีการแปลก ๆ แบบนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่?” จื่อคงคิดไม่ออก

และเมื่อคำนึงถึงอำนาจของภูเขาฟีนิกซ์ พวกเขาก็ไม่กล้าที่จะทวงหนี้แค้นนี้

เนื่องจากถ้าพวกเขาทำให้พวกภูเขาฟีนิกซ์โกรธขึ้นมาจริง ๆ เมื่อถึงเวลาที่ภูเขาฟินิกซ์ส่งผู้เชี่ยวชาญระดับสูงมาเอาคืนพวกเขา ตระกูลของพวกเขาคงจะถูกลบหายออกไปจากเมืองนี้ตลอดกาล

ในขณะที่จื่อคงกำลังครุ่นคิด คนของเขาก็เข้ามารายงานว่า “ท่านผู้นำ จางเฉียนจากตระกูลจางขอเข้าพบ!”

จื่อคงโบกมือส่งสัญญาณให้หลิวหนิงนำศพเหล่านี้ออกไป และยังคงดึงสิ่งแปลกปลอมออกมาจากร่างของจื่อหวงต่อ ในขณะเดียวกันเขาก็พูดว่า “ให้เขาเข้ามา มาดูกันว่าตระกูลจางต้องการอะไร”

ในขณะนี้เมื่อจื่อหวงถูกดึงเอาพลังแปลกปลอมที่วุ่นวายออกไปจากร่าง ระดับการบ่มเพาะของจื่อหวงหรือแม้แต่ความเชี่ยวชาญในทักษะต่าง ๆ ของเขาก็ลดลง

อาจจะพูดได้ว่าที่จื่อหวงสามารถพัฒนาความสามารถของเขาได้ส่วนใหญ่ก็เพราะเขาได้ผสมสายเลือดสัตว์อสูรเข้าไปในร่างของเขาเอง

และในเมื่อตอนนี้เขาถูกเอาสิ่งเหล่านี้ออกไปจนหมด ความสามารถของเขาจึงถูกลดลงจนเหลือเท่ากับพรสวรรค์ติดตัวที่เขามี

ไม่นานนัก จางเฉียนก็เดินเข้ามาจับมือและทักทายจื่อคง “ผู้อาวุโสจื่อ!”

“เจ้ามาที่นี่มีอะไร?” จื่อคงพูดโดยไม่ได้ขยับเปลือกตาด้วยซ้ำ

เนื่องจากเขาที่เป็นเชี่ยวชาญขอบเขตหลุดพ้นสามัญ ด้วยความแข็งแกร่งของเขาเมื่อเทียบกับผู้เชี่ยวชาญขอบเขตสวรรค์สามัญ มันถือว่าต่างกันราวฟ้ากับเหวมากนัก เขาจึงไม่จำเป็นต้องใส่ใจกับคนที่อ่อนแอกว่าตัวเองเช่นนี้มากนัก

จางเฉียนไม่สนใจท่าทีของจื่อคง เขายิ้มและกล่าวขึ้นว่า “ผู้อาวุโสจื่อ ตอนนี้ตระกูลของพวกเรามีโอกาสที่จะรวยแล้ว! ข้าต้องการร่วมงานกับผู้อาวุโสจื่อ”

“ร่วมงาน?” จื่อคงถาม ในขณะที่มือของเขาก็กำลังเขาง่วนอยู่กับการปรับสมดุลลมปราณของจื่อหวง และในที่สุดจื่อหวงที่หมดสติก็ตื่นขึ้น แต่ก่อนที่จื่อหวงจะได้พูดอะไร จื่อคงก็ทำให้จื่อหวงสลบไปอีกครั้งด้วยการเคาะนิ้วเบา ๆ

จื่อเซี่ยง เมื่อเห็นเช่นนี้เขาจึงเข้ามาช่วยอุ้มจื่อหวงออกไปนอนพักที่ด้านข้าง เพื่อให้จื่อหวงได้พักผ่อนอย่างเต็มที่ ในขณะเดียวกันเขาก็อยากจะรู้เช่นกันว่าโอกาสรวยที่จางเฉียนพูดมันเป็นแบบไหน?

“ก่อนหน้านี้ข้าได้ข้อมูลเรื่องของคนทรยศจากภูเขาฟีนิกซ์มา” จางเฉียนยิ้ม “ถ้าเราสามารถช่วยภูเขาฟีนิกซ์ฆ่าผู้หลบหนีได้ เราก็จะได้รับรางวัลใหญ่! แต่ด้วยกำลังของข้าเพียงคนเดียวย่อมไม่มีพลังเพียงพอ ดังนั้นข้าจึงมาขอร่วมงานกับผู้อาวุโสจื่อ”

จื่อคงมองไปที่จางเฉียน และเย้ยหยัน “ข้าได้ข่าวมาว่า เมื่อเร็ว ๆ นี้เจ้าเองก็ได้ไล่ตามพวกเขาไปและถูกต้อนกลับมาไม่ใช่รึไง?”

“ใช่ ข้ายอมรับว่าข้าพ่ายแพ้ให้กับพวกเขา แต่ในตอนนี้ผู้ที่ข้าพ่ายแพ้ให้ก็ได้ปรากฏตัวอีกครั้งในเมืองนี้แล้ว” จางเฉียนหัวเราะอย่างมีความสุข

ดวงตาของจื่อคงหรี่ลงขณะที่เขาถาม “เจ้าหมายความว่าผู้หญิงคนนั้นไม่ใช้ผู้เชี่ยวชาญที่ถูกส่งมาจากภูเขาฟีนิกซ์จริง ๆ แต่นางเป็นคนทรยศที่หลบหนีจากภูเขาฟีนิกซ์มางั้นเหรอ?”

“ถูกต้อง! ตอนที่ข้าไล่ตามกลุ่มของเฟิงเชาชิง แต่แล้วจู่ ๆ ผู้หญิงคนนี้ก็โผล่มาให้ความช่วยเหลือพวกเขา และข้าก็ได้พ่ายแพ้ให้กับนาง ไม่เช่นนั้นข้าคงไม่มีทางถูกไล่ต้อนกลับมาแบบนี้แน่นอน เมื่อดูจากพฤติกรรมเช่นนี้ของนางแล้วข้าจึงแน่ใจว่านางไม่ใช่คนที่ภูเขาฟีนิกซ์ส่งมาแน่นอน มิฉะนั้นแม้ว่านางจะไม่ให้ข้าจัดการกับพวกผู้หลบหนี แต่นางก็ต้องฆ่าเฟิงเชาชิง และกลุ่มคนพวกนั้น แต่น่าเสียดายที่นางไม่ได้ทำ นางกลับอนุญาตให้เฟิงเชาชิงและคนอื่น ๆ จากไปยังทะเลชางหมาง”

จางเฉียนบอกข้อมูลทุกอย่างที่เขารู้ให้กับพวกตระกูลจื่อ

จื่อคงครุ่นคิดอยู่สักพักก่อนจะถามว่า “แล้วเราจะร่วมมือกันยังไง?”

“แน่นอนเราต้องจับผู้หญิงคนนั้นตอนนี้และบังคับให้นางบอกที่อยู่ของคนอื่น ๆ จากนั้นเราก็จะสามารถไปจับพวกเขามาได้ทั้งหมด จากข้อมูลที่ข้าได้รู้มาจากการประกาศของภูเขาฟีนิกซ์ ระดับการบ่มเพาะของพวกผู้หลบหนีไม่มีคนไหนที่สามารถเทียบชั้นกับผู้อาวุโสจื่อได้แน่ ๆ ดังนั้นเมื่อจบงานข้าหวังว่าเมื่อถึงเวลาตระกูลจางของข้าจะได้รับหนึ่งในสามของเงินรางวัลจากภูเขาฟีนิกซ์ ข้าคิดว่าคำขอนี้คงไม่มากเกินไป ข้าเชื่อว่าผู้อาวุโสจื่อคงจะเห็นด้วย” จางเฉียนยิ้ม

ทางด้านจื่อคง เมื่อเขาเห็นว่าจางเฉียนไม่ได้รู้ในส่วนของข้อมูลนอกเหนือไปจากพวกคนหลบหนี เขาจึงพูดว่า “อืม ในเมื่อตระกูลจางของเจ้าเองก็ลงแรงใช้ความพยายามอย่างมาก ฉะนั้นข้าจะให้ส่วนแบ่งกับเจ้าแค่หนึ่งในสามได้ยังไงกัน? ข้าคิดว่าเพื่อเป็นการให้ความยุติธรรมกับพวกเจ้าทำไมเราไม่แบ่งครึ่งกันจะดีกว่า! แต่ข้ามีข้อแม้ว่าข้าจะขอจับเป็นพวกกลุ่มคนทั้งหมดที่ทำร้ายหลานชายของข้า”

จื่อคงสนใจเป็นอย่างมากในวิชาของมี่ไลและหลิวเฟ่ยเฟ่ย ขนาดผู้ใช้มันยังเป็นแค่ผู้เชี่ยวชาญขอบเขตประสานทะเลปราณเท่านั้นอำนาจมันยังรุนแรงจนน่าตกตะลึง แล้วถ้ามันอยู่ในมือเขาล่ะ?

ดูเหมือนว่ายังไงเขาต้องจับตัวพวกนางมาและรีดเค้นข้อมูลอย่างละเอียด

จางเฉียนพยักหน้าเล็กน้อยพร้อมกับขมวดคิ้ว “ถ้าอย่างนั้นเอาตามที่ท่านว่าก็ได้ เดี๋ยวข้าจะกลับไปรวบรวมคนมาก่อนแล้วเราจะบุกไปหาพวกเขาพร้อม ๆ กัน”

จางเฉียน ในตอนนี้รู้สึกสงสัยเป็นอย่างมากว่า ตั้งแต่เมื่อไหร่กันที่ตาเฒ่าจื่อเป็นคนใจกว้างขนาดนี้? หรือว่าคนเหล่านั้นจะมีอะไรพิเศษที่เขาไม่รู้กัน? ดูเหมือนว่าเขาต้องกลับไปตรวจสอบเรื่องนี้เพิ่มซะแล้ว

จื่อคงพูดขึ้นอีกว่า “เมืองเจินไห่เป็นถิ่นของข้า ข้าจะส่งคนของข้าออกไปดูความเคลื่อนไหวของคนเหล่านี้ก่อน เจ้าก็กลับไปเตรียมคนทางฝั่งเจ้าให้พร้อมเถอะ!”

“ได้ เราจะไปด้วยกันเมื่อถึงเวลา!” จางเฉียนจากไปด้วยสีหน้าแปลก ๆ