ตอนที่ 571 นางอยู่ที่เมืองหลวงก็ไม่มีประโยชน์ / ตอนที่ 572 รับเงินแล้วต้องช่วยเหลือเขา

ฮูหยินข้าอายุสามขวบครึ่ง

ตอนที่ 571 นางอยู่ที่เมืองหลวงก็ไม่มีประโยชน์

 

 

เหลียงอู๋เย่ว์และเว่ยหมิ่นทั้งสองคน หายไปอย่างไร้ร่องรอย เหมือนดั่งหินที่จมอยู่ในน้ำ คนของรัชทายาทหาพวกเขาไม่เจอ คนของเฝิงเยี่ยไป๋ก็หาไม่เจอเช่นกัน ป่าที่อยู่ข้างทะเลสาบเป้ยเอ่อร์นั้นจะว่าใหญ่ก็ไม่ใหญ่ จะว่าเล็กก็ไม่เล็ก เพียงแต่ตามหาอยู่หลายวันก็ยังไม่มีวี่แววเลย

 

 

ตอนแรกก็ไม่ตั้งความหวังแล้ว เพียงแต่ยามเที่ยงจู่ๆ ก็มีข่าวแจ้งมา คนใช้ไม่กล้ารอช้า รีบนำข่าวไปบอกเฝิงเยี่ยไป๋ คนหาเจอแล้ว เพียงแต่ไม่ได้อยู่ที่ทะเลสาบเป้ยเอ่อร์ แต่อยู่ในหมู่บ้านที่ห่างจากทะเลสาบเป้อเอ่อร์หลายสิบลี้ เว่ยหมิ่นได้รับบาดเจ็บ ตอนนี้ก็ยังไม่สามารถเดินได้

 

 

เฝิงเยี่ยไป๋กุมที่หว่างคิ้วถามว่า “คนของรัชทายาทยังไม่พบพวกเขากระมัง รับคนกลับมาแล้วหรือไม่”

 

 

คนที่มารายงานตอบว่า “ไม่ มีคนของรัชทายาทหลายคนตามอยู่ เพียงแต่ระหว่างทางล้วนถูกพวกเราจัดการแล้ว นอกจากคนของพวกเรา ก็ไม่มีใครทราบที่อยู่ของท่านหญิงและจวิ้นหม่า แต่เดิมข้าน้อยคิดจะรับท่านหญิงและจวิ้นหม่ากลับมา เพียงแต่ท่านหญิงได้รับบาดเจ็บ ไม่อาจขยับได้… แต่ข้าน้อยได้ให้คนเฝ้าหมู่บ้านเอาไว้และสั่งให้คนปกป้องท่านหญิงที่นั่น”

 

 

“อย่าทำให้สะดุดตานัก ที่นั่นไม่ห่างจากเมืองหลวงและทะเลสาบเป้ยเอ่อร์ อย่าได้ดึงดูดคนของรัชทายาทไปเสีย” จากนั้นเขาก็สั่งเฉาเต๋อหลุน “หาหมอที่เชื่อใจได้ไปดูเว่ยหมิ่น หากมีความต้องการใดๆ ก็ให้รีบแจ้งกลับมา”

 

 

เฉาเต๋อหลุนขานรับแล้วพูดอีกว่า “เช่นนั้นหากรับท่านหญิงและจวิ้นหม่ากลับมาแล้วจะจัดการเช่นไรดี ให้พักอยู่ในจวนก็สะดุดตานัก หากถูกรัชทายาทรู้เข้า เกรงว่าจะ…”

 

 

นี่ก็เป็นปัญหาเช่นกัน จะจัดการอย่างไร… เขาสะบัดมือ “เรื่องนี้รอให้ท่านหญิงแผลหายดีแล้วค่อยถามนาง อย่างไรเสียศัตรูก็ตายแล้ว นางอยู่ที่เมืองหลวงก็ไม่มีประโยชน์อันใด ควรจะทำเช่นไรต่อไป ก็ให้ถามนางเอง”

 

 

แผลของเว่ยหมิ่นถูกแทงจากหัวหน้าองครักษ์ของฮ่องเต้ตอนที่วิ่งหนี กององครักษ์ล้วนเป็นพวกถวายชีวิต พระชนม์ของฮ่องเต้ก็เป็นชีวิตของพวกเขา ย่อมไม่อ่อนข้อให้เพราะนางเป็นท่านหญิง หัวหน้าองครักษ์นั้นก็ไม่โง่ เขาตอบสนองไว เขาวิ่งไปตามทางที่นางชี้ไม่ทันไรก็รู้สึกผิดสังเกต จึงพาคนหันกลับมาไล่ตามเว่ยหมิ่น พอเข้าไปในป่า เดินอ้อมไปมาก็หลงแยกจากกัน เพียงแต่ก็ดีที่เดินแยกจากกัน เขาคนเดียวที่ไล่ทันเว่ยหมิ่น เว่ยหมิ่นยังสามารถรับมือได้ระยะหนึ่ง แต่อย่างไรเสียเขาก็เป็นคนฝึกวิชา วิชาอ่อนด้อยของเว่ยหมิ่นสู้ไม่ไหว สองกระบวนท่าก็พ่ายแพ้ ถูกเขาใช้กระบี่แทงเข้าที่ไหล่

 

 

เพียงแต่โชคยังดี ในป่านี้มีกับดักที่นายพรานละแวกนี้วางเอาไว้ เขาเหยียบถูกกับดักตกลงไปในหลุม ถูกไม้ไผ่แหลมแทงตาย เว่ยหมิ่นแอบดีใจ เพียงแต่นางวิ่งไปได้สองก้าวก็ตกลงไปในหลุมเช่นกัน โชคเข้าข้างนาง หลุมนั้นนายพรานไว้ใช้จับสุนัขจิ้งจอก เพื่อจะรักษาหนังสัตว์ กลไกในหลุมไม่ถึงขั้นทำให้ตายได้ นางจึงรอดจากการไล่ล่าขององครักษ์กองทัพต้องห้ามแล้วถูกนายพรานที่มาเก็บกับดักในวันถัดไปช่วยเอาไว้

 

 

นายพรานคนนั้นเห็นนางสวมชุดของนางกำนัลในวัง ตอนแรกก็ไม่อยากจะช่วยนาง เพียงแต่ภรรยาของเขามีเมตตา จะพานางกลับไปให้ได้ ก็ไม่ถามว่านางเป็นถึงนางกำนัลในวัง ไฉนถึงได้วิ่งออกมาแล้วยังถูกคนแทงจนบาดเจ็บอีก นางไม่พูด ผู้หญิงคนนั้นก็ไม่ถาม นางทำแผลให้เว่ยหมิ่นเสร็จก็ให้นางอยู่ต่อและดูแลเป็นอย่างดี ในบ้านมีของป่าดีๆ ก็ส่งมาให้นางบำรุงร่างกาย เพราะนางได้เจอคนดีๆ ถึงรอดมาจนถึงป่านนี้ได้

 

 

 

 

 

 

ตอนที่ 572 รับเงินแล้วต้องช่วยเหลือเขา

 

 

เฝิงเยี่ยไป๋ส่งคนมากมายเช่นนี้ก็ยังหหาเว่ยหมิ่นไม่พบ เหลียงอู๋เย่ว์กลับพบแล้ว วาสนานี้ บางครั้งจะให้ไม่เชื่อก็ไม่ได้ พวกเขาสามีภรรยาก็มีใจสื่อถึงกันเสียจริง

 

 

ตั้งแต่ที่เหลียงอู๋เย่ว์ออกจากเมืองหลวงก็ไปที่ทะเลสาบเป้ยเอ่อร์ทันที เขารู้ว่าป่านี้มักจะมีคนวางกับดักล่าสัตว์อยู่บ่อยๆ กลัวก็กลัวเว่ยหมิ่นไม่ถูกคนของฮ่องเต้จับได้แต่ตกลงไปในกับดัก กับดักนี้ไม่ได้ล้อกันเล่น บางครั้งจะจับสัตว์ใหญ่ เช่นหมีหรือหมูป่า กลไกที่วางอยู่ในกับดักนั้นล้วนถึงแก่ชีวิตทั้งสิ้น หากนางไม่ระวังตกไปอยู่ในกับดัก จะมีชีวิตรอดได้หรือไม่ก็ยากจะพูดได้

 

 

ระหว่างทางที่มาเขารู้สึกกังวล ในใจนึกถึงความเป็นไปได้ที่แย่ที่สุด หากเป็นดั่งที่เขาคิดเช่นนั้น… ต่อให้เป็นเช่นนั้นจริงๆ เขาก็ต้องหาศพของนางให้เจอ จะรอดก็รอดไปด้วยกันกับนาง ตายก็ตายไปพร้อมกับนาง อย่างไรเสียใจเขาก็ให้นางไปแล้ว นางไม่อยู่ จะมีชีวิตหรือไม่ก็ไม่ต่างกัน

 

 

ความพยายามไม่ทิ้งคนตั้งใจ ในป่ามีกับดักที่ทำงานแล้วสองที่ ที่หนึ่งมีคนที่ถูกไม้ไผ่แหลมเสียบ สภาพการตายนั้นสยดสยองยิ่งนัก ดูไปน่าจะตายมาหลายวันแล้ว ชุดที่สวมอยู่เป็นชุดเกราะของราชสำนัก น่าจะเป็นคนที่ไล่ตามเว่ยหมิ่น ในใจเขากระตุก แล้วเดินต่อไป เห็นกับดักอีกอันหนึ่ง บริเวณรอบๆ กับดักมีเลือดที่แห้งแล้ววงหนึ่ง ในกับดักกลับว่างเปล่าไม่มีคน ไม่มีแม้แต่ซากสัตว์

 

 

มีเลือดกลับไม่มีคน นี่เป็นลางดี ไม่แน่นางอาจยังมีชีวิตอยู่ ถูกนายพรานที่วางกับดักช่วยไปแล้ว เขาถือความคิดเช่นนี้เดินไปข้างหน้าตามทิศทางของกับดัก จนเดินข้ามไปอีกฝั่งของป่า ต้นไม้ในป่านี้สลับซับซ้อน แต่ละต้นก็คล้ายๆ กัน อยู่ข้างในหลงทางได้ง่าย เขาไม่ได้มาหลายปี ยามที่เดินนั้นก็วนอยู่นานถึงหาทางที่ออกไปเจอ

 

 

ที่ปลายน้ำของทะเลสาบเป้เอ่อร์มีหมู่บ้านที่ไม่ใหญ่ สถานที่ก็ห่างไกล ดังนั้นจึงมีน้อยคนนักที่รู้ ที่จริงแล้วในใจเขาก็ไม่มั่นใจว่าเว่ยหมิ่นถูกคนช่วยไว้แน่ๆ เพียงแค่ในใจยังมีความดื้อดึงอยู่ ทำเอาเขาไม่ว่าจะข้ามน้ำข้ามทะเลหรือเดินจนสุดขอบฟ้าก็จะหานางให้เจอ

 

 

ก็เพราะความดื้อดึงนี้ ถึงหาหมู่บ้านนั้นเจอ เขาเล่าหน้าตาของเว่ยหมิ่นให้คนในหมู่บ้านฟังแถมยังถามนายพรานในหมู่บ้านเคยเห็นเว่ยหมิ่นในป่าหรือไม่ นายพรานได้ยินสิ่งที่เขาเล่าก็ค่อยๆ ขมวดคิ้ว พูดไม่มีซ้ำๆ พูดไปพลางยังไล่เขาไปพลาง

 

 

เหลียงอู๋เย่ว์ไม่ใช่คนโง่ ดั่งคำพูดที่ว่าอยู่ใกล้ใครก็จะมีนิสัยใกล้คนนั้น เขากับเฝิงเยี่ยไป๋เป็นเพื่อนกันมานาน อย่างอื่นไม่ได้จากเขา เพียงแต่การมองคนนั้นก็ยังพอมีอยู่บ้าง เขายังไม่ทันได้เล่ารูปร่างหน้าตาอย่างชัดเจนเลย นายพรานคนนั้นก็บอกว่าไม่เคยเห็น ไล่เขาไปด้วยความหงุดหงิด คนอื่นในหมู่บ้านจะอย่างไรก็รอให้เขาเล่าจบแล้วถึงบอกว่าเคยเห็นหรือไม่เคยเห็น มีเพียงเขาที่ต่างออกไป การตอบสนองไวเกินไป ในใจจะต้องรู้บางอย่างแน่ๆ

 

 

นายพรานคนนั้นได้รับสิ่งตอบแทนจากเว่ยหมิ่น รับปากว่าจะรักษาความลับให้นาง หากมีคนมาที่หมู่บ้านถามว่าเคยเห็นนางหรือไม่ก็บอกว่าไม่ ที่เหลือมากกว่านั้นก็อย่าพูด พูดยิ่งมากก็ยิ่งผิดพลาดได้มาก คนของราชสำนักเหล่านั้นล้วนฉลาดทั้งนั้น สองสามประโยคไม่แน่ก็ถามจนได้พิรุธ พูดยิ่งน้อยผิดพลาดยิ่งน้อยเสียดีกว่า

 

 

รับเงินแล้วต้องช่วยเหลือเขา เหตุผลง่ายๆ เช่นนี้ใครๆ ก็เข้าใจ นายพรานคนนั้นก็เป็นคนที่รักษาคำพูด พูดแล้วทำได้ ไม่ได้หลุดปาก เพียงแต่เขาไม่รู้เลยว่าเหลียงอู๋เย่ว์เห็นพิรุธของเขาออกแล้วและตามเขามาถึงบ้าน