บทที่ 458 เสียดายภายหลัง

บัลลังก์พญาหงส์

ความจริงทุกคนรู้เรื่องที่หลิวซื่อพูดอยู่แก่ใจ แต่กลับไม่มีใครรู้ดีไปกว่าหลิวซื่อ อย่างไรร่างกายของตนเอง ตนเองย่อมสัมผัสได้ชัดเจนที่สุด

 

 

ถาวจวินหลันถอนหายใจ นางไม่รู้จะพูดอะไรกลับไปดี สุดท้ายก็เพียงแค่พูด “อืม” เป็นการตอบกลับ

 

 

“ข้าผิดไปแล้ว” ท่าทีของหลิวซื่อเปลี่ยนไปอย่างน่าประหลาด แม้กระทั่งดวงตายังมีน้ำตาคลอเบ้า ส่งให้ดวงตาไร้แสงประกายของนางดูบริสุทธิ์มากขึ้นหลายส่วน

 

 

เมื่อได้ยินหลิวซื่อพูดเรื่องเหนือคาดหมาย ถาวจวินหลันก็ตะลึงไป รู้สึกทอดถอนใจและเยาะเย้ย หลิวซื่อเพิ่งรู้ว่าตัวเองผิดตอนนี้ก็ไม่มีประโยชน์ ถึงอย่างไรก็ไม่มีโอกาสให้กลับตัวแล้ว

 

 

ถาวจวินหลันเม้มริมฝีปาก ไม่รู้ว่าจะพูดอะไรออกมาดี จึงตัดสินใจรับมือด้วยความเงียบ นางไม่รู้ว่าหลิวซื่อคิดอยากให้นางพูดว่าอะไร แต่ในเมื่อมาแล้ว ก็ควรรอฟังสักหน่อย

 

 

“ฮองเฮา ฮองเฮา!” ท่าทีของหลิวซื่อดูเลอะเลือนไป ฉับพลันก็หัวเราะเสียงดัง ในขณะเดียวกันก็มีเสียงลมหายใจหอบถี่ออกมาด้วย

 

 

คิดว่าหลิวซื่อคงจะโกรธแค้นฮองเฮาเป็นอันมาก เรื่องนี้นางฟังจากน้ำเสียงก็รู้ได้ไม่ยาก แต่พูดไปแล้ว ไม่ว่าเป็นใคร ก็คงโกรธแค้นฮองเฮาจนอยากฉีกเนื้อออกมากินเป็นชิ้นๆ

 

 

แต่สำหรับหลิวซื่อนั้น ถาวจวินหลันกลับไม่ได้รู้สึกสงสารมากนัก บางทีที่หลิวซื่อตกอยู่ในสภาพเช่นนี้ก็ด้วยมีฝีมือของฮองเฮารวมอยู่ด้วย แต่เหตุผลที่สำคัญที่สุดก็เพราะตัวของหลิวซื่อเอง ในเมื่อนางถูกผูกมัดกับหลี่เย่ไปทั้งชีวิต หากนางคิดทำตัวดีๆ และพอใจกับสิ่งที่ตนเองได้รับ และอยู่กับหลี่เย่อย่างสงบ เรื่องแบบนี้ก็คงไม่เกิด

 

 

แต่เมื่อเห็นท่าทีหอบหายใจและโกรธแค้นของหลิวซื่อ ถาวจวินหลันก็อดเอ่ยเตือนเสียงเบาไม่ได้ “ท่านเป็นเช่นนี้ก็ไม่ได้มีประโยชน์อะไร ฮองเฮาไม่ได้ยินและมองไม่เห็น และยิ่งไม่ได้รับผลกระทบอะไรจากเรื่องนี้” ในทางกลับกัน หลิวซื่อทรมานเช่นนี้ต่อไป เกรงว่าจะทำให้ตัวนางเองทรมานจนตายไปเสียก่อน

 

 

หลิวซื่อถึงได้ค่อยๆ สงบใจ แต่ยังคงก่นด่าพลางหัวเราะเยาะ “ข้าเสียดาย”

 

 

ถาวจวินหลันขมวดคิ้ว แต่ยังคงรักษาความเงียบ

 

 

“เจ้าอยากเป็นชายาเอกตวนชินอ๋องหรือไม่” ฉับพลันหลิวซื่อก็จ้องถาวจวินหลันเขม็ง สายตาร้อยแรงจนแทบจะแผดเผา คำถามก็ยิ่งชวนให้คนรู้สึกยากจะเข้าใจ

 

 

เมื่ออยู่ต่อหน้าหลิวซื่อที่เป็นเช่นนี้ ถาวจวินหลันก็รู้สึกว่าตนเองไม่จำเป็นต้องพูดจาตามมารยาท หรือโกหก จึงได้พยักหน้าไปอย่างจริงใจ “คิดแน่นอน ใครไม่อยากได้ตำแหน่งที่ถูกต้องตามทำนองคลองธรรมบ้าง? ใครจะไม่ยินยอมเป็นภรรยาที่ถูกต้องเล่า? แต่ก็ต้องดูว่าตนเองมีบุญนั้นหรือไม่ หากไม่มี ก็ไม่จำเป็นต้องฝืนเอามา”

 

 

หลิวซื่อถามคำถามนี้กะทันหัน นางสงสัยว่าหลังจากนั้นยังจะต้องมีคำพูดอะไรอีก ดังนั้นจึงรีบพูดขัดหัวข้อสนทนานี้เอาไว้ก่อน

 

 

หลิวซื่อกระพริบตา พลางหัวเราะเยาะ “บุญอย่างนั้นหรือ? ไม่เรียกร้อง? เจ้าคิดว่าเจ้ากำลังหลอกข้าหรือว่าหลอกตัวเองอยู่? เจ้าเอาอกเอาใจหลี่เย่ในทุกด้าน ขอความโปรดปรานอยู่ตลอด หรือจะบอกว่าไม่ใช่เพราะต้องการครอบครองตำแหน่งนี้แทนข้าเล่า?”

 

 

ถาวจวินหลันเลิกคิ้วน้อยๆ “แล้วอย่างไร แต่ข้าก็ไม่ได้ทำร้ายท่านเพื่อตำแหน่งนี้มิใช่หรือ?” ต่อให้นางแก่งแย่ง แต่ก็ไม่ได้ใช้วิธีขายขี้หน้า หรือทำอะไรระอายใจ

 

 

“ถ้าข้าบอกว่า ข้าช่วยให้เจ้าได้ตำแหน่งนี้ เจ้าเชื่อหรือไม่?” หลิวซื่อแย้มยิ้ม ในดวงตาฉายแววคลุ้มคลั่ง

 

 

“ข้าไม่เชื่อ” ถาวจวินหลันส่ายหน้า หลิวซื่อไม่มีความอดทน เรื่องนี้นางพอจะรู้ ที่หลิวซื่อพูดเช่นนั้น ก็เพียงเพื่อโยนหินถามทางเท่านั้น อยากจะให้นางตกเข้าไปในกับดักนี้

 

 

หลิวซื่อหอบอยู่ครู่หนึ่ง รอจนสงบลงแล้ว ถึงได้หัวเราะและพูดว่า “แต่ข้ายังเป็นชายาเอกตวนอ๋องอยู่ หากยื่นฎีกา ขอให้แต่งตั้งเจ้าเป็นชายาเอกตวนชินอ๋อง เจ้าคิดว่าจะเป็นอย่างไร?”

 

 

ถาวจวินหลันใจกระตุกวูบ หากเป็นเช่นนั้นจริง ก็จะเกิดผลเล็กน้อยไม่ใช่หรืออย่างไร แต่… “ตอนนี้ต่อให้ท่านเขียนฎีกาไป ก็ใช่ว่าจะเสนอขึ้นไปได้”

 

 

ในความเป็นจริงแล้ว ของของหลิวซื่อจะต้องเผาทิ้งไปทุกชิ้น มีเพียงแค่เครื่องเบญจรงค์และของตกแต่งราคาแพงเท่านั้นที่ใช้น้ำส้มสายชูมาแช่ไว้ แล้วใช้ปูนขาวขัดเก็บเอาไว้ได้ พวกเสื้อผ้าและลายมือตัวหนังสือที่เขียนเอาไว้จะต้องเผาทิ้งทั้งหมด

 

 

“ส่งฎีกาส่งไม่ได้แล้วจะอย่างไร? ขอเพียงทำให้คนรู้เท่านั้นก็พอแล้ว” ตอนที่หลิวซื่อหัวเราะ ไม่สามารถพูดได้ว่าน่ามองอีกต่อไป ริมฝีปากที่ซีดเผือดช่างชวนให้รู้สึกหวาดกลัวขึ้นมาเล็กน้อย

 

 

ถาวจวินหลันเข้าใจความหมายที่หลิวซื่อต้องการจะสื่อ หลังจากนิ่งเงียบไปครู่หนึ่ง ไม่รีบร้อนตอบออกมา แต่กลับถามนางกลับว่า “ท่านอยากให้ข้าช่วยอะไร?”

 

 

หลิวซื่อยินยอมทำเช่นนี้ ย่อมไช่เพราะเกิดมีเมตตา นางก็รู้อยู่แก่ใจว่าต่อให้หลิวซื่อรู้เรื่องที่ฮองเฮาบงการอยู่จริง แต่หลิวซื่อก็เกลียดนางเช่นเดียวกัน ดังนั้นหลิวซื่อย่อมมีเรื่องอยากร้องขออย่างแน่นอน

 

 

“ข้าอยากให้เจ้าแก้แค้นแทนข้า” หลิวซื่อยิ้มอย่างน่าเวทนา แฝงความรังเกียจอย่างรุนแรงเอาไว้ สุดท้ายแล้วก็แค่นหัวเราะ “ข้าอยากให้เจ้าทำให้นางตายไปไม่มีแม้แต่ผืนดินกลบหน้า”

 

 

ถาวจวินหลันครุ่นคิดอย่างละเอียด สุดท้ายแล้วก็หัวเราะขมขื่น “ข้าเกรงว่าจะทำไม่ได้ อย่างแรงเพราะข้าไม่มีความสามารถมากขนาดนั้น อย่างที่สองตัวของข้าเองในตอนนี้ก็ยากจะรักษา บางทีท่านอาจจะยังไม่รู้ ที่จริงแล้วที่ข้ากล้ามาพบหน้าท่าน ก็เพราะว่าข้าเองก็ติดเชื้อโรคระบาดเช่นเดียวกัน มิเช่นนั้นท่านคิดว่าทำไมข้าถึงกล้ามาเล่า?”

 

 

หลิวซื่อแสดงท่าทีตื่นตะลึง ทั้งเสียดายและไม่พอใจอย่างลึกซึ้ง ริมฝีปากของนางขยับ พูดพึมพำว่า “สวรรค์ยังไม่คิดจะช่วยข้า! สวรรค์ยังไม่ยอมช่วยข้า!”

 

 

ถาวจวินหลันมองหลิวซื่อวูบหนึ่ง “ท่านอยากเห็นข้าติดเชื้อตั้งแต่แรกไม่ใช่อย่างนั้นหรือ? ทำไมตอนนี้ท่านถึงไม่ดีใจเล่า?”

 

 

นางพูดกับหลิวซื่อเช่นนี้ก็ด้วยนางแค้นเคืองหลิวซื่อเท่านั้น นางไม่ใช่นักบุญ ย่อมไม่ใจกว้างยอมให้อภัยโดยง่าย

 

 

เห็นได้ว่าหลิวซื่อลืมเรื่องนี้ไปแล้ว ตอนนี้เมื่อถาวจวินหลันยกขึ้นมาพูด นางก็ตะลึงงันไปช่วงหนึ่งแล้วถึงได้สติกลับมา แต่หลังจากนั้นก็ตกอยู่ในภวังค์ เห็นได้ชัดว่าปัญหานี้ตรงและแทงใจดำมากเกินไป แม้แต่หลิวซื่อเองก็ทนรับไม่ไหวเช่นเดียวกัน

 

 

คิดไปแล้วก็ถูก เพิ่งจะทำร้ายคนอื่นไป อยู่ๆ จะหันมาทำข้อแลกเปลี่ยน แม้จะบอกว่าเป็นข้อแลกเปลี่ยน แต่สุดท้ายแล้วก็ดูไม่ละอายใจไปหน่อย

 

 

ถาวจวินหลันมองดูท่าทีลำบากใจของหลิวซื่อ ก็รู้สึกสบายใจขึ้นมาเล็กน้อย “คิดว่าท่านคงไม่รู้ ตอนนี้ชายารองเจียงก็ติดเชื้อโรคระบาดแล้วเช่นกัน บางทีอาจไม่เหลือเจ้านายหญิงที่ฐานะสูงสุดในจวนตวนชินอ๋องเลยก็ได้ พอใจท่านหรือยัง? ดีใจหรือไม่?”

 

 

หลิวซื่อนิ่งเงียบ กุมผ้าห่มที่อยู่ในมือแน่น

 

 

ถาวจวินหลันเม้มริมฝีปาก สุดท้ายแล้วก็ไม่ได้พูดเยาะเย้ยต่อไป หากพูดต่อไป ก็เปลี่ยนแปลงอะไรไม่ได้อยู่ดี

 

 

“เจ้าเองก็แค้นฮองเฮา” ผ่านไปครู่หนึ่งหลิวซื่อก็เอ่ยปากพูดว่า “แม้ว่าข้าไม่ช่วยเจ้า เจ้าเองก็ไม่มีทางปล่อยนางไปแน่ กลับเป็นข้าที่เลอะเลือนไปเสียแล้ว”

 

 

ถาวจวินหลันได้ยินเช่นนี้ ความโกรธก็พุ่งทะลุขึ้นอีกครั้ง ก่อนอดแค่นหัวเราะไม่ได้ “น่าเสียดาย ไม่รู้ว่าจะมีวันนั้นหรือไม่ อย่าลืมไป ข้าเองก็ยังไม่รู้ว่าจะมีวันพรุ่งนี้หรือไม่ ทำให้ท่านผิดหวังเสียแล้ว”

 

 

หลิวซื่อไม่มองถาวจวินหลันอีก ทว่ามองเพียงแค่ยอดมุ้ง “เขาจะช่วยเจ้า”

 

 

พูดไปพูดมา ใบหน้าของหลิวซื่อก็แสดงสีหน้าเย้ยหยัน “เขาจะต้องช่วยเจ้าเป็นแน่ เขาจะยอมให้เจ้าตายที่ไหนกัน? ในสายตาของเขา นอกจากเจ้าแล้วยังจะมีใครได้อีก? ต่อให้คนบนโลกนี้ตายทั้งหมด เขาก็ไม่ยอมให้เจ้าตายอย่างแน่นอน”

 

 

ถาวจวินหลันพลันรู้สึกว่าคำพูดของหลิวซื่อไม่มีทางเป็นจริง แม้ว่าหลี่เย่ไม่อยากให้นางตายมากเพียงใด แต่หลี่เย่ก็เป็นเพียงมนุษย์คนหนึ่งเท่านั้น เขาสามารถควบคุมการเกิดแก่เจ็บตายได้อย่างนั้นหรือ?

 

 

นางจึงคิดว่าหลิวซื่อพูดเหลวไหลไปเท่านั้น แต่นางกลับไม่รู้ว่า คนที่พบเจออุปสรรคมักมองปัญหาไม่ออก แต่คนที่อยู่รอบกายกลับมองเห็นปัญหาได้อย่างทะลุปรุโปร่ง คำพูดนี้ไม่ผิดแม้แต่น้อย

 

 

“เจ้ามีอะไรจะพูดอีกหรือไม่?” ความอดทนของถาวจวินหลันเริ่มลดน้อยลง จึงได้ส่งเสียงถาม

 

 

หลิวซื่อส่ายหน้า “ไม่มีอะไรจะพูดแล้ว”

 

 

“ถ้าเช่นนั้นข้าก็จะกลับ” ถาวจวินหลันไม่ได้สนิทกับหลิวซื่อ กระทั่งพูดได้ว่าเป็นเหมือนศัตรู แค่นางอดทนฟังหลิวซื่อพูดอยู่ตั้งนานก็ถือว่าอดทนจนถึงขั้นสุดแล้ว อีกอย่างกลิ่นในห้องนี้ก็ไม่ดีนัก

 

 

“หลังจากที่เผาข้าไปแล้ว ก็ส่งเถ้ากระดูกไปฝังที่เดียวกับลูกของข้าเถิด” ตอนที่ถาวจวินหลันกำลังจะก้าวเท้าเดินออกไปข้างนอก หลิวซื่อก็พูดอีกว่า “หลี่เย่ไม่มีทางอยากจะพบเจอหน้าหลังจากที่ตายไปแล้วเป็นแน่ ดังนั้นไม่สู้ว่าทำอย่างนี้ดีที่สุด”

 

 

เท้าของถาวจวินหลันชะงัก สุดท้ายแล้วก็ส่งเสียงตอบรับ “ได้ ข้ารับปากท่าน”

 

 

“ขอบคุณ” คิดไม่ถึงว่าหลิวซื่อจะยังพูดสองพยางค์นี้ออกมาได้

 

 

ถาวจวินหลันได้ยิน แต่ก็ไม่ได้มีปฏิกิริยาอะไร เดินออกจากห้องไป ในความเป็นจริงแล้ว นางยังคิดไม่ถึงว่าคนนิสัยอย่างหลิวซื่อจะพูดคำว่าขอบคุณกับนาง นางรู้สึกแปลกใจเล็กน้อย แต่ก็คิดได้ว่า คนใกล้ตาย คำพูดก็จะดีไปด้วยเช่นกัน

 

 

ส่วนเรื่องที่นางรับปากหลิวซื่อ ก็เพียงเพราะว่าตัวนางเองก็เป็นแม่คนเช่นเดียวกัน ย่อมรับรู้ได้ถึงความรู้สึกของหลิวซื่อก็เท่านั้นเอง ไม่ว่าหลิวซื่อจะโหดร้ายน่ารังเกียจเพียงใด แต่ความรักที่หลิวซื่อมีให้ลูกก็ไม่ได้แตกต่างไปจากแม่คนอื่น

 

 

หากตอนแรกลูกของหลิวซื่อรอดมาได้ บางทีเรื่องอย่างในวันนี้คงจะไม่เกิดขึ้นใช่หรือไม่?

 

 

ตกดึกวันเดียวกัน ข่าวที่หลิวซื่อเสียชีวิตก็มาถึงหูของถาวจวินหลัน ตอนนั้นคนภายในจวนนอนไปหมดแล้ว ถาวจวินหลันย่อมไม่เป็นข้อยกเว้น ตอนที่ถูกปลุกมารับฟังข่าวนี้ นางก็นิ่งไปครู่หนึ่งแล้วถึงได้สติกลับมา “รู้แล้ว ไม่ใช่ว่าจัดเตรียมเอาไว้แล้วหรืออย่างไร? ควรจะจัดการอย่างไรก็จัดการไปเถิด พรุ่งนี้เช้าตรู่ก็ค่อยให้คนไปรายงาน”

 

 

อย่างไรหลิวซื่อก็เป็นชายาเอกตวนชินอ๋อง แม้ว่าจะไม่อาจจัดพิธีศพได้ แต่เกียรติยศที่ราชสำนักต้องมอบให้นั้นก็ไม่อาจขาดได้ หากเทียบกับชื่อเสียงตำแหน่ง เทียบกับของที่ใช้ฝังไว้ ของเหล่านี้ย่อมไม่อาจขาดไปได้ แม้ว่าตัวคนจะไม่มา แต่ก็ต้องส่งของมาด้วยเช่นกัน

 

 

อย่างไรชายาเอกตวนชินอ๋องจากไปแล้ว ย่อมไม่อาจนิ่งสงบ ไร้ความเคลื่อนไหวได้

 

 

พูดตามเหตุผลแล้ว ถาวจวินหลันควรต้องไปจัดการด้วยตนเอง แต่ตอนนี้เป็นสถานการณ์พิเศษ อีกทั้งร่างกายของนางก็ไม่แข็งแรง ย่อมไม่จำเป็นต้องเร่งร้อนเข้าไป แต่ในตอนนี้แม้แต่นอนก็ยังนอนไม่หลับ นางแทบจะนั่งพิงอยู่บนเตียงลืมตาตั้งแต่ตกดึกยันรุ่งสาง

 

 

นางยังเคยคิดว่า หลิวซื่อตายไปแล้วก็ยังพอได้หน้าได้ตาอยู่บ้าง แต่ถ้านางตายไปเล่า? จะเป็นเช่นใด?

 

 

เมื่อคิดได้เช่นนี้ นางก็อดสั่นสะท้านไม่ได้ จากนั้นก็ยิ่งรู้สึกว่าปวดหัวรุนแรงขึ้น และร่างกายอ่อนแรง แม้แต่แรงเพียงน้อยนิดก็ไม่มี