ตอนที่ 339 หุบเขาเหล็กอัคคี

ตำนานเซียนปีศาจสะท้านภพ

ตอนที่ 339 หุบเขาเหล็กอัคคี โดย Ink Stone_Fantasy

สองวันต่อมา เรือเหาะลอยเงียบๆ อยู่เหนือเทือกเขาที่ทอดยาวติดต่อกันพันลี้ เมฆบริเวณรอบๆ ขาวเป็นยวงๆ ทิวทัศน์รอบด้านเขียวขจี งดงามเป็นอย่างมาก

ชายหนุ่มอายุยี่สิบกว่าปียืนอยู่ด้านหน้าของเรือเหาะ สีหน้าหม่นหมองเล็กน้อย ชุดคลุมสีเทาบนตัวโบกสะบัดเองโดยที่ไม่มีลม ด้านหน้ามีลูกเปลวไฟสีแดงลอยอยู่เจ็ดแปดลูก

คนผู้นี้ก็คือหลิ่วหมิงที่เพิ่งออกมาจากเมืองกู่หนานไม่นานนั่นเอง

ด้านหน้าของเรือเหาะมีทะเลเพลิงพวยพุ่ง มีผู้ฝึกฝนต่างเผ่าพยายามดิ้นรนอยู่ในนั้นหลายคน แต่หลังจากมีเสียงร้องออกมาอย่างน่าเวทนา พวกเขาก็ค่อยๆ กลายเป็นเถ้าถ่าน ไม่มีเสียงใดๆ เล็ดลอดออกมาอีก

พอหลิ่วหมิงสะบัดแขนเสื้อ ลูกเปลวไฟตรงหน้าก็ดับสลายจนหมดสิ้น

ตลอดการเดินทางที่ผ่านมา ทำให้เขารู้ถึงความวุ่นวายและความไม่มีขื่อไม่มีแปของเกาะตะพาบน้ำ

เรื่องการหายตัวของผู้ฝึกฝนในเมืองกู่หนาน ทำให้หลิ่วหมิงอำพรางระดับการฝึกฝนของตนเองให้อยู่ที่ระดับศิษย์จิตวิญญาณขั้นปลายที่สมบูรณ์แบบ เพื่อไม่ให้เป็นจุดสนใจ

ผลลัพธ์คือ ทุกระยะการเดินทางมักจะมีคนเจตนาหาเรื่องอยู่เสมอ โชคดีที่คนเหล่านี้มีพลังไม่ค่อยแข็งแกร่งมาก จึงถูกเขาสังหารไปจนหมดสิ้น

วันนี้ หลิ่วหมิงที่อยู่บนเรือกลเหาะค่อยๆ หรี่ตามองตลาดขนาดค่อนข้างใหญ่ที่อยู่ด้านล่าง

“ในที่สุดก็มาถึงหุบเขาเหล็กอัคคีแล้ว” หลิ่วหมิงพูดพึมพำ และบังคับเรือกลเหาะให้ค่อยๆ ร่อนลงไป

ครึ่งชั่วยามต่อมา ชายหนุ่มชุดคลุมสีเทา ใบหน้าธรรมดา ก็ปรากฏตัวในหุบเขาเหล็กอัคคี เมื่อปะปนอยู่กับคนต่างเผ่าอื่นๆ แล้ว ก็ดูไม่เตะตาเลยแม้แต่น้อย

ก่อนออกเดินทาง หลิ่วหมิงได้ทำความเข้าใจเกี่ยวกับหุบเขาเหล็กอัคคี และเหยียนเจวี๋ยจากปากคนอื่นๆ มาแล้ว

หุบเขาเหล็กอัคคีเป็นหนึ่งในตลาดใหญ่ที่วังเพลิงดำควบคุม

ส่วนเหยียนเจวี๋ย มนุษย์เผ่าอัคคีบริสุทธิ์ที่เป็นหนึ่งในสามผู้เชี่ยวชาญการหลอมอาวุธในเขตทะเลชังไห่ ก็เป็นผู้เชี่ยวชาญการหลอมอาวุธระดับสุดยอด ที่นั่งประจำการอยู่ในตลาดหุบเขาเหล็กอัคคีแห่งนี้

จากการกวาดสายตามอง ทำให้ค้นพบว่าสิ่งก่อสร้างทั้งหลายล้วนสร้างมาจากเหล็กและหินแร่ต่างๆ ภายใต้แสงแดดที่สาดส่องลงมา ก่อให้เกิดเป็นแสงทรงกลดสีขาวเทา ทำให้สิ่งก่อสร้างเหล่านี้ ดูหนาแน่นและแข็งแกร่งเป็นอย่างมาก

ระหว่างทาง นักรบชุดเกราะลักษณะน่าเกรงขามที่มีสัญลักษณ์ของวังเพลิงดำประทับอยู่บนตัว กำลังลาดตระเวณไปมา

นักรบชุดเกราะเหล่านี้ มีสีหน้าไร้ความรู้สึก กล้ามเนื้อบนใบหน้าแข็งทื่อราวกับก้อนหิน ราวกับร่างที่ไม่มีเลือดเนื้อ

หลิ่วหมิงส่งพลังจิตกวาดดูเล็กน้อย ก็ค้นพบว่า แม้นักรบชุดเกราะของวังเพลิงดำเหล่านี้ จะมีการฝึกฝนอยู่ระดับของเหลวลงไป แต่กลิ่นไอบนตัวกลับดูแปลกประหลาดมาก ทำให้รู้สึกราวกับว่าพวกเขาไม่มีชีวิต

นี่คือทหารโลหิตเหล็กที่มีชื่อเสียงของวังเพลิงดำนั่นเอง ว่ากันว่าแม้ระดับการฝึกฝนจะไม่สูง แต่กายเนื้อของพวกเขาผ่านการชุบของเหลวจิตวิญญาณชนิดพิเศษ ทำให้มีพลังมหาศาล สามารถขย้ำเสือด้วยมือเปล่าได้

หลิ่วหมิงได้ยินชื่อเสียงทหารโลหิตเหล็กของวังเพลิงดำมานานแล้ว ขณะนี้ได้เห็นกับตาตนเอง ย่อมรู้สึกตกใจเล็กน้อย เขาแอบอุทานในใจว่าวังเพลิงดำนี้ไม่ง่ายเลย

เดินอยู่ในหุบเขาเหล็กอัคคีซักพัก หลิ่วหมิงค้นพบว่า ร้านหลอมอาวุธในตลาดมีจำนวนมาก ดูเหมือนเดินไปไม่กี่ก้าวก็พบหนึ่งร้าน

และร้านหลอมอาวุธแต่ละร้านจะมีผู้เชี่ยวการหลอมอาวุธประจำการอยู่หนึ่งคน

โดยปกติแล้ว เงื่อนไขของการเป็นผู้เชี่ยวชาญการหลอมอาวุธแต่ละคนล้วนโหดร้ายเป็นอย่างมาก ต้องมีการฝึกฝนเป็นระยะเวลาอันยาวนาน และใช้วัสดุในการฝึกฝนเป็นจำนวนมาก

ในนิกายปีศาจ ผู้เชี่ยวชาญการหลอมอาวุธที่แท้จริง ก็มีแค่ศิษย์พี่หวงคนเดียวเท่านั้น ซึ่งเป็นผลลัพธ์จากการที่นิกายปีศาจทุ่มเทกำลังฝึกฝนมา

นี่เป็นหนึ่งในสาเหตุที่ผู้เชี่ยวชาญการหลอมอาวุธมีน้อย แต่หุบเขาเหล็กอัคคีในตอนนี้ กลับมีผู้เชี่ยวชาญการหลอมอาวุธเป็นจำนวนมาก มันทำให้เขารู้สึกแปลกใจเล็กน้อย

จากนั้น เขายังค้นพบว่าของที่ขายตามร้านค้าสองข้างทางก็มีอาวุธจิตวิญญาณชนิดต่างๆ เป็นหลัก สิ่งของจำพวกวัสดุการหลอมอาวุธชนิดต่างๆ สมุนไพรจิตวิญญาณ และอื่นๆ กลับพบเห็นไม่มาก

ชื่อเสียงของหุบเขาเหล็กอัคคี สมกับคำร่ำลือจริงๆ

สองชั่วยามผ่านไป หลิ่วหมิงเดินวนร้านค้านในหุบเขาไปได้หนึ่งรอบ และถือโอกาสสอบถามราคาของสิ่งของ ในที่สุดก็พอเข้าใจสถานการณ์คร่าวๆ ดังนั้นจึงไปหาที่พักในหุบเขา

……

ในหอลับตาคนที่สร้างตามภูเขา

หลิ่วหมิงนั่งขัดสมาธิอยู่บนเตียง เขาค่อยๆ หรี่ตาทั้งคู่ลงราวกับคิดอะไรอยู่ในใจ

“หุบเขาเหล็กอัคคีมีผู้เชี่ยวชาญการหลอมอาวุธมากมายเช่นนี้ คิดว่าคงต้องการวัสดุหลอมโลหะไม่น้อย โดยเฉพาะวัสดุหลอมอาวุธจิตวิญญาณที่หาได้ยาก”

หลิ่วหมิงกล่าวเช่นนี้ และพลิกฝ่ามือข้างหนึ่งขึ้นมา เผยให้เห็นกล่องสีแดงขนาดเท่าฝ่ามือ พอปล่อยพลังผ่านกล่องสีแดง ฝากล่องก็เปิดออก ขนแข็งสิบกว่าเส้นที่ถูกยันต์สะกดไว้เลื้อยขยุกขยิกอยู่ในนั้น

นี่คือขนแข็งสิบกว่าเส้น ที่หลิ่วหมิงได้มาจากบาทาปีศาจยักษ์ที่ถูกผนึกตนนั้น

หลังจากได้ขนแข็งเหล่านี้มา เขาเคยเจียดเวลาตรวจสอบมันอยู่หลายครั้ง ค้นพบว่าพอดึงยันต์ออก ขนแข็งเหล่านี้ก็จะบิดตัวไปมาราวกับสิ่งมีชีวิต แลดูคล้ายกับอสรพิษดำขนาดเล็ก

สำหรับวัสดุที่มีสติปัญญาเช่นนี้ แม้หลิ่วหมิงจะเคยได้ยินและได้เห็นเป็นครั้งแรก แต่ไม่ต้องถาม ก็รู้ว่าพวกมันเป็นวัสดุหลอมอาวุธที่ล้ำค่าเป็นอย่างมาก

แต่เพื่อโซ่ตรวนสะกดวิญญาณของเหยียนเจวี๋ยชิ้นนั้น หลิ่วหมิงจึงตัดสินใจนำมันออกมาแลกกับหินจิตวิญญาณจำนวนมาก หรืออาจจะลองนำไปแลกกับโซ่ตรวนสะกดวิญญาณโดยตรงก็ได้

ถ้าเป็นเช่นนี้ อย่างน้อยเขาก็ไม่ต้องไปแตะไข่เทพอสูรกับยันต์นักรบเกราะทองคำแล้ว

หลิ่วหมิงคิดเช่นนี้อยู่ในใจ และหยิบกล่องหยกออกมาอีกใบหนึ่ง จากนั้นก็ค่อยๆ วางขนแข็งสีดำลงไปในนั้นหนึ่งเส้น

แม้ในเวลานี้ แม้เขาจะรู้ว่าขนแข็งสีดำมีมูลค่าไม่น้อย แต่ก็ไม่อาจคาดเดาราคาได้อย่างแม่นยำ ด้วยเหตุนี้เลยตัดสินหาร้านในหุบเขา เพื่อลองขายดูก่อน

จากนั้นหลิ่วหมิงก็เปลี่ยนใบหน้าอีกรอบ เขาออกจากห้องไปด้วยร่างของชายฉกรรจ์หน้าดำ และหาร้านค้าที่ค่อนข้างดูภูมิฐานก่อนเดินเข้าไปด้านใน

ร้านนี้มีคนเบียดเสียดกันแน่น ดูท่าจะค้าขายได้ไม่เลว

“สหายท่านนี้ต้องการซื้ออาวุธจิตวิญญาณ หรือว่าขายวัสดุหลอมอาวุธกัน?” พอเห็นหลิ่วหมิงเดินเข้ามา ผู้ฝึกฝนหนวดสั้นที่มีลักษณะเหมือนเถ้าแก่ ก็ทักทายหลิ่วหมิงอย่างเป็นมิตร

“ข้าอยากขายของสิ่งนี้ เถ้าแก่ท่านดูก่อนเถอะ” หลิ่วหมิงนำหล่องหยกที่ใส่ขนแข็งสีดำออกจากแขนเสื้อ และเปิดมันออกเบาๆ แต่ให้เถ้าแก่ดูคนเดียวเท่านั้น

พอเถ้าแก่เห็นขนแข็งของปีศาจยักษ์ที่ดูราวกับมีชีวิต ก็ตกใจจนหน้าเปลี่ยนสี และกล่าวกับหลิ่วหมิงทันที

“สหาย เชิญเข้าไปนั่งดื่มชาพักผ่อนด้านในสักครู่ก่อน ข้าจะรีบเชิญผู้เชี่ยวชาญการประเมินค่าออกมาประเมินวัสดุชิ้นนี้”

หลิ่วหมิงพยักหน้า และเดินตามเถ้าแก่เข้าไปนั่งในห้องด้วยใบหน้าไร้ความรู้สึก

ไม่นาน ผู้อาวุโสหนวดสีดอกเลาก็ผลักประตูเข้ามา เขายิ้มให้กับหลิ่วหมิง และป้องมือกล่าว “ที่แท้ก็เป็นสหายท่านนี้ ที่ต้องการประเมินค่าของวัสดุ แม้ข้าจะแก่หงำเหงือก แต่เชื่อว่ายังคงมีสายตาและความรู้ในการประเมินวัสดุอยู่บ้าง หากสหายไว้ใจข้า ก็นำของล้ำค่าออกมาให้ข้าดูหน่อยเถอะ!”

หลิ่วหมิงพยักหน้า มือขวาทำท่ามือแล้วโบกผ่านเหนือกล่องเบาๆ จากนั้นฝากล่องก็เปิดออกมา

พอขนแข็งสีดำที่บิดไปมาราวกับมีชีวิตเข้าสู่สายตาของผู้อาวุโส เขาก็ค่อยๆ หดรูม่านตาลง และพยายามทำสีหน้าให้ดูสงบ

พลังจิตของหลิ่วหมิงแข็งแกร่งกว่าเขามาก ย่อมมองเห็นอาการที่ซ่อนอยู่ของผู้อาวุโสตรงหน้า

จากนั้นผู้อาวุโสค่อยๆ เดินมาข้างหลิ่วหมิง พอสะบัดแขนเสื้อ มุกสีเหลืองในมือก็ลอยอยู่กลางอากาศ เขาทำท่ามือด้วยมือเดียว และเริ่มร่ายคาถาออกมา

“ฟู่!”

มุกสีเหลืองเปล่งแสงสีเหลืองออกมาเป็นจำนวนมาก และห่อหุ้มขนแข็งสีดำในกล่องไว้อย่างรวดเร็ว

ขนแข็งสีดำค่อยๆ เปล่งลำแสงสีดำออกมา จากนั้นมุกสีเหลืองที่ผู้อาวุโสโยนออกไปก็ค่อยๆ เปลี่ยนจากสีเหลืองกลายเป็นสีทอง

พอเห็นฉากเช่นนี้ ผู้อาวุโสก็ไม่อาจปิดบังความหวั่นไหวได้อีก ใบหน้าของเขาเริ่มเผยแววประหลาดใจและดีใจออกมา

ต่อมา เขาก็ทำท่ามือกระตุ้นอยู่ไม่หยุด แสงสีทองบนตัวมุกก็เปล่งประกายอย่างบ้าคลั่ง

……

ผ่านไปไม่กี่อึดใจ ผู้อาวุโสค่อยๆ เก็บมุกกลับมา สีหน้ายังคงมีร่องรอยของอาการตกตะลึงค้างอยู่ เขารู้ว่าฉากอันน่าประหลาดใจนี้ ได้เข้าสู่สายตาหลิ่วหมิงเป็นที่เรียบร้อยแล้ว จึงได้กล่าวออกมาตามตรง

“สหาย ขนแข็งสีดำเส้นนี้ไม่ใช่วัสดุธรรมดาอย่างแน่นอน แม้จะผ่านการประเมินค่าหลายรอบ ก็ยังไม่อาจมองเห็นที่มาของมันได้ แต่มันจะต้องเป็นวัสดุชั้นเลิศสำหรับสร้างอาวุธจิตวิญญาณระดับสุดยอดอย่างไม่ต้องสงสัย เอาอย่างนี้เถอะ หากสหายยอมขายมัน ข้าจะซื้อมันสองแสนหินจิตวิญญาณ”

“สองแสนหินจิตวิญญาณ!”

พอหลิ่วหมิงได้ยิน ก็รู้สึกตกใจเล็กน้อย แต่ก็ไม่แสดงอาการใดๆ ออกมา และกล่าวกับผู้อาวุโสด้วยรอยยิ้ม

“แม้ว่าราคานี้จะไม่เลว แต่ให้ข้าคิดไตร่ตรองดูดีๆ เสียก่อน”

ผู้อาวุโสได้ยินก็พยักหน้า แต่กลับยิ้มขมขื่นอยู่ในใจ แอบโทษตัวเองที่เมื่อครู่ไม่สามารถระงับอารมณ์ไว้ได้ ทำให้ฝ่ายตรงมองออก ดูท่าหากอยากจะได้ของสิ่งนี้ คงไม่ใช่เรื่องง่าย

แต่วัสดุชั้นเลิศที่หาได้ยากในระดับนี้ ไม่ว่าใครก็ต้องรู้สึกหวั่นไหวเป็นธรรมดา

“ใช่สิ! ข้าได้ยินมาว่า เหยียนเจวี๋ยที่เป็นผู้เชี่ยวชาญการหลอมอาวุธ จะมีงานประมูลอาวุธจิตวิญญาณในเร็วๆ นี้ ไม่ทราบว่ามีเงื่อนไขพิเศษอะไรในการเข้าร่วมงานประมูลในครั้งนี้หรือไม่?” หลิ่วหมิงลังเลเล็กน้อยแล้วถามออกมา

“เงื่อนไขพิเศษ? อันนี้มีอยู่จริงๆ เงื่อนไขการเข้าร่วมงานประมูลมีอยู่สองข้อ ถ้าไม่เป็นผู้ฝึกฝนระดับของเหลวขั้นปลายขึ้นไป ก็ต้องมีกำลังทรัพย์เป็นอันมาก และยังต้องมีร้านค้าในหุบเขารับรองถึงจะได้” ผู้อาวุโสกล่าวอย่างไม่ลังเล เพราะเรื่องนี้ไม่ใช่ความลับอะไร ไม่จำเป็นต้องปิดบังหลิ่วหมิง

พอหลิ่วหมิงได้ยินเช่นนี้ สีหน้าก็ค่อยๆ เปลี่ยนไป

ตอนนี้พลังของเขาอยู่แค่ระดับของเหลวขั้นกลาง ย่อมไม่สอดคล้องกับเงื่อนไขแรก คิดว่าคงต้องใช้เงื่อนไขข้อที่สองแล้ว ดังนั้นเขาจึงกล่าวอย่างไม่เกรงใจ

“บอกตามตรง ที่ข้ามาหุบเขาเหล็กอัคคีในครั้งนี้ ก็เพื่อประมูลอาวุธจิตวิญญาณของผู้เชี่ยวชาญเหยียนเจวี๋ย หากสหายรับรองให้ข้าได้ ข้าจะพิจารณาขายสิ่งของในมือให้กับท่าน”

ผู้อาวุโสได้ยินเช่นนี้ ก็คิ้วขมวดขึ้นมาอย่างอดไม่ได้ และแอบคิดใคร่ครวญอยู่ในใจ

“สิ่งของในมือของคนผู้นี้ สามารถกระตุ้นแสงสีทองของมุกหายากเม็ดนี้ได้ มันจะต้องไม่ใช่สิ่งของธรรมดา ไม่อาจให้สหายเก่าเหล่านั้นเอาเปรียบได้”

พอผู้อาวุโสคิดมาถึงจุดนี้ ก็ฟั่นหนวดแล้วกล่าวออกมา

“เอาเถอะ! ข้าสามารถรับรองให้ท่านได้ ไม่ทราบว่าสิ่งของในมือสหาย ต้องการหินจิตวิญญาณเท่าใดกัน?”

“สามแสน” หลิ่วหมิงกล่าวโดยไม่ต้องคิด

“สามแสน? มันเกินกำลังที่ข้าสามารถซื้อได้ เอาอย่างนี้เถอะ พวกเราต่างก็ถอยกันคนละก้าว สองแสนห้าหมื่นดีไหม?” กล้ามเนื้อบนใบหน้าผู้อาวุโสกระตุกเล็กน้อย

หลิ่วหมิงคิดไปคิดมาอยู่ครู่หนึ่งแล้วก็พยักหน้าออกมา

“ได้! ตกลงตามนี้”

……………………………………